ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 8 ต่งซีหยุน

ตอนที่  8  ต่งซีหยุน

ต่งซีหยุนเป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นประธานใหญ่ของกลุ่มบริษัทฮัวหยุนในกรุงปักกิ่ง อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจอันดับหนึ่งของประเทศจีนอีกด้วย

ต่งซีหยุนรู้เรื่องที่เฉินเทียนกรุ๊ปกำลังเผชิญวิกฤติด้านการเงินอยู่ และหวู่เฉิงเฟิงเองก็เป็นรุ่นน้องของเขา และได้เข้าไปขอให้ต่งซีหยุนช่วยยื่นมือประคับประคองเฉินเทียนกรุ๊ป เพื่อให้เฉินเทียนกรุ๊ปสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้

แต่เวลานี้ ฉีเล่ยกลับบอกว่า ภาพอักษรของหวังซีจีที่สองพ่อลูกสกุลหวู่ได้เตรียมไว้เป็นของขวัญ เพื่อมอบให้กับต่งซีหยุนนั้นเป็นของปลอม ทำให้ทั้งคู่ถึงกับตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบากใจอย่างมาก ..

และหากหวู่เฉิงเฟิงไม่นำภาพอักษรล้ำค่านี้ มามอบให้เป็นของขวัญสำหรับเพื่อนรุ่นพี่อย่างต่งซีหยุน ก็คงจะดูเหมือนเขาไร้ซึ่งความจริงใจในความสัมพันธ์

แต่ถ้าเขานำออกมามอบให้ และต่งซีหยุนพบว่าเป็นภาพอักษรเป็นของปลอม ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น

แต่หากจะเปลี่ยนเป็นของขวัญชิ้นอื่นในวินาทีสุดท้าย ก็คงจะไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะต่งซีหยุนนั้นร่ำรวยมหาศาล ของขวัญธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจสร้างความประทับใจให้กับชายชราผู้นี้ได้

และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้หวู่เฉินเทียนต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมาก ในการที่จะเสาะหาของขวัญล้ำค่าที่คิดว่าต่งซีหยุนจะต้องถูกใจเป็นอย่างมากมา ..

แต่ในระหว่างที่สองคนพ่อลูกกำลังครุ่นคิดหาทางออกกันอยู่นั้น เลขานุการของหวู่เฉินเทียนก็ได้เดินเข้ามาเคาะประตูห้อง พร้อมกับรายงานว่า

“ท่านประธานหวู่คะ เครื่องของอาวุโสต่งจะมาถึงในอีกราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว  เวลานี้รถที่เตรียมไว้สำหรับไปรับอาวุโสต่งพร้อมแล้วค่ะ ”

หวู่เฉินเทียนยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับหันไปบอกผู้เป็นพ่อว่า

“ไปกันเถอะครับพ่อ ! ในเมื่อเราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว ผมเองไม่เชื่อว่า อาวุโสต่งจะไม่เห็นความจริงใจของพวกเราสองพ่อลูก ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ผมยินดีที่จะปฏิบัติต่ออาวุโสต่งเหมือพ่อคนหนึ่งเลยทีเดียว !”

หวู่เฉิงเฟิงลุกขึ้นยืน พร้อมกับพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเดินตามหลังลูกชายไปทันที และภายในใจได้แต่แอบคิดว่า

‘เจ้าลูกคนนี้นับว่าแปลกไม่น้อยทีเดียว ! ยิ่งเผชิญหน้ากับอันตรายมากเท่าไหร่ กลับยิ่งสงบนิ่ง และเยือกเย็นพร้อมที่จะเผชิญปัญหา ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โตแค่ไหน ..’

………..

ในเวลาที่เครื่องบินส่วนตัวของต่งซีหยุนมาถึงสนามบินนั้น พ่อลูกสกุลหวู่พร้อมด้วยพนักงานต้อนรับกลุ่มหนึ่งของเฉินเทียนกรุ๊ป ก็ได้มายืนรอต้อนรับต่งซีหยุนอย่างพร้อมเพรียงกัน

แทบไม่ต้องพูดถึงราคาเครื่องบินส่วนตัวที่มีราคาแพงมาก เพียงแค่ค่าบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายต่างๆในการบินแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเช่าเส้นทางการบิน ค่ากัปตัน ค่าลูกเรือง ค่าน้ำมัน ค่านำครื่องลงจอดในสนามบินต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่า ค่าใช้จ่ายในปีหนึ่งๆ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเครื่องส่วนตัวลำนี้ ก็มีมูลค่าเกินร้อยล้านแล้ว

แม้หวู่เฉินเทียนจะจัดว่าเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในหนานหยาง แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตหรูหราอย่างเช่นอาวุโสต่งได้

หลังจากที่เครื่องบินส่วนตัวของต่งซีหยุนลงจอด เจ้าหน้าที่ในสนามบินก็ได้นำบันไดมาเทียบหน้าประตูเครื่องให้ จากนั้น ต่งซีหยุนก็ได้ก้าวลงบันไดมาด้วยขาที่สั่นเทาเล็กน้อย

และในขณะที่เดินลงมานั้น จู่ๆ ชายชราก็เดินเซจนเกือบล้มตกบันไดลงมา แต่นับว่าโชคดีที่บอดี้การ์ดของเขาได้เข้าไปพยุงร่างของต่งซีหยุนไว้ได้ทันท่วงที

หลังจากเดินลงบันไดมาได้แล้ว ต่งซีหยุนถึงกับต้องทรุดลงนั่งยองๆกับพื้นอยู่ครู่ใหญ่ พร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่หยดลงมาจากหน้าผากของเขา

เมื่อเห็นต่งซีหยุนมีอาการเช่นนั้น หวู่เฉิงเฟิงถึงกับรับรู้ได้ทันทีว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับชายชราผู้นี้

นั่นเพราะในความเป็นจริง แม้ว่าอาวุโสต่งจะอยู่ในวัยเจ็ดสิบปี แต่ก็ยังหูตาดีมาก อีทั้งสุขภาพร่างกายของเขายังแข็งแรงยิ่งกว่าชายในวัยห้าสิบปีเสียอีก

และที่สำคัญ รอบตัวต่งซีหยุนนั้นยังมีทีมแพทย์ส่วนตัว ที่คอยติดตามเขาไปไหนต่อไหนด้วยตลอดเวลา และทุกคนต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องสุขภาพด้านต่างๆ ทั้งหมดมีหน้าที่คอยดูแลสุขภาพให้กับต่งซีหยุนเป็นการส่วนตัว

แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้น อาวุโสต่งก้าวลงบันไดได้เพียงแค่สองสามก้าว ก็เกือบจะล้มลงตกบันไดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่า มีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อต่งซีหยุนเดินมาถึง หวู่เฉิงเฟิงก็ไม่ได้สอบถามเรื่องราวส่วนตัวของเขามากมายนัก แต่รีบเชื้อเชิญต่งซีหยุนไปที่รถ พร้อมกับต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น โดยมีบอดี้การ์ดสองคนเดินตามหลังไปไม่ห่าง

ส่วนทีมแพทย์ประจำตัวของต่งซีหยุน รวมทั้งเลขานุการส่วนตัว และคนอื่นๆอีกราวสิบกว่าคน ก็ได้เดินตามหลังมาด้วยเช่นกัน การเดินทางมาหนานหยางของต่งซีหยุนในครั้งนี้ มีคนติดตามมาด้วยมากมายไม่ต่างจากผู้นำประเทศ แต่พ่อลูกสกุลหวู่ก็ได้เตรียมรถมาหลายคัน จึงสามารถรับทุกคนกลับไปได้หมดอย่างไร้ปัญหา

สองพ่อลูกสกุลหวู่พาอาวุโสต่งไปที่คฤหาสน์ ซึ่งได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้แล้ว ..

ภายในห้องรับประทานอาหาร หวู่เฉินเทียนนำไวน์แดงราคาแพงออกมาหนึ่งขวด แต่ในขณะที่เขากำลังจะรินไวน์แดงให้กับอาวุโสหวู่นั้น แพทย์ที่นั่งข้างๆ ก็รีบห้ามไว้ทันที

“ขอโทษด้วยครับ !  พอดีสองสามวันนี้อาวุโสต่งสุขภาพไม่สู้ดีนัก จึงไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้”

หวู่เฉินเทียนถึงกับชะงัก พร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความเก้อเขิน ก่อนจะวางขวดไวน์ในมือลง และเปลี่ยนไปตักเป่าฮื้อในจานให้กับชายชราแทน

แต่แล้ว แพทย์ส่วนตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้ห้ามหวู่เฉินเทียนอีกครั้ง “ขอโทษด้วยนะครับ !  พอดีอาวุโสต่งไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงได้ รวมถึงอาหารทะเล ทุกชนิด  และเนื้อสัตว์ต่างๆ”

หากไม่สามารถดื่มไวน์ได้ ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีไขมัน อาหารทะเลทุกชนิด แล้วก็เนื้อสัตว์ต่างๆได้ หวู่เฉินเทียนก็ไม่รู้ว่าจะสามารถดูแลต้อนรับอาวุโสต่งได้อย่างไรเช่นกัน

ความจริงแล้ว หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หวู่เฉินเทียนคงจะรีบนำของขวัญที่ได้ตระเตรียมไว้ ออกมามอบให้ต่งซีหยุนทันที เพื่อแก้ไขบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนใจนี้ให้ดีขึ้น แต่ในเมื่อภาพอักษรนั้นเป็นของปลอม เขาจะกล้านำออกมาได้อย่างไรกันเล่า ?

แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว การที่ต่งซีหยุนมาถึงบ้านสกุลหวู่ทั้งที หากไม่มีของขวัญมอบให้ ย่อมบ่งบอกถึงความไร้มารยาทของตนเองกับผู้เป็นพ่อ ในที่สุด หวู่เฉินเทียนจึงคิดที่จะเดิมพัน ด้วยการนำอักษรภาพนั้นมามอบเป็นของขวัญให้กับชายชรา

แต่ดูเหมือนหวู่เฉิงเฟิงจะอ่านความคิดของลูกชายออก เขารีบปรายตามองไปทางหวู่เฉินเทียน เป็นการส่งสัญญาณให้ลูกชายไม่ต้องรีบร้อนนัก หลังจากนั้น ตัวเขาเองก็หันไปถามต่งซีหยุนว่า

“อาวุโสต่ง ไม่ทราบว่าสุขภาพร่างกายของคุณ เริ่มไม่ค่อยดีมานานเท่าไหร่แล้วเหรอครับ ? ”

ต่งซีหยุนได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับพยักหน้า และตอบกลับไปว่า “เฮ้อ ..  เมื่อสองสามวันก่อน ฉันไปดื่มเหล้าเข้า แล้วเกิดล้มลง ไป ในขณะเดินน่ะสิ ! ”

หวู่เฉิงเฟิงได้โอกาสจึงรีบถามต่อทันที “แล้วนี่เป็นอะไรมากมั๊ยครับ ?  อาวุโสต่งน่าจะบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้ก่อน ผมบังเอิญรู้จักกับหมอเทวดาคนหนึ่ง ทักษะทางการแพทย์ของหมอคนนี้ล้ำเลิศ แล้วก็น่าทึ่งมากทีเดียว !”

และทันทีที่หวู่เฉิงเฟิงพูดถึงหมอเทวดาขึ้นมา นายแพทย์ที่นั่งอยู่ข้างต่งซีหยุนถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจทันที

เขาได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ‘ฉันจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งนครปักกิ่งเชียวนะ และยังเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพที่มีชื่อเสียงมากอีกด้วย !  แต่จู่ๆ จะให้หมอในเมืองเล็กๆนี้มารักษาอาวุโสหวู่ ไม่เท่ากับเป็นการฉีกหน้าฉันหรือยังไง ?’

แม้ว่าอาวุโสต่งดูเหมือนจะไม่สนใจที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ในเมื่อหวู่เฉิงเฟิงสอบถามขึ้นมาด้วยความจริงใจ เขาจึงจำเป็นต้องบอกเล่าให้ฟังตามมารยาท

ปรากฏว่า เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ ต่งซีหยุนได้ไปร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่ง และได้ดื่มไวน์เข้าไปสองสามแก้ว หลังจากงานเลี้ยงจบลง ในระหว่างที่เดินทางกลับ เขาได้หกล้มอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงแรมพอดี

เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับน่าแปลกประหลาดอย่างมาก ..

ในระหว่างที่ต่งซีหยุนหกล้มอยู่หน้าโรงแรมนั้น กลับไม่มีอาการอะไรมากนัก แต่เมื่อกลับไปถึงบ้าน หลังจากที่เขานอนพักผ่อนอยู่บนเตียง และทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขากลับพบว่า ตนเองไม่สามารถที่จะมองต่ำลงที่พื้นได้เลย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่สามารถมองไปทางไหนได้เลยต่างหาก เพราะจะรู้สึกเวียนศรีษะเป็นอย่างมาก

ที่สำคัญ อาการของเขานั้น เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็หาย และตราบใดที่เขาไม่พยายามมองลงต่ำ ก็จะไม่ค่อยเกิดปัญหามากเท่าไหร่ ..

แต่หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับชายชราอีกครั้ง ครั้งหนึ่ง เขากำลังเดินอยู่บนท้องถนน แต่จู่ๆ ก็เกิดเป็นลมขึ้นมา เขาถูกนำตัวส่งไปที่โรงพยาบาล ตรวจสอบระบบประสาททั้งหมด

แต่ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน และไม่มีสิ่งใดกระทบต่อการทำงานในชีวิตประจำวันของตนเอง ชายชราก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก และยังคงออกไปทำงานทุกวันตามปกติ

แต่ถึงอย่างนั้น แพทย์ที่ดูแลรักษาอาการของต่งซีหยุน ก็ได้ขอให้เขางดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด แม้กระทั่งเล็กๆน้อยๆระหว่างในระหว่างรับประทานอาหารก็ไม่ได้ แต่ถึงแม้เขาจะปฏิบัติตามที่หมอสั่งทุกอย่าง อาการของเขากลับไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

เหมือนอย่างเช่นวันนี้ เขาเดินลงบันไดเครื่องบินมา ทันทีที่เขาก้มลงมองบันได เขาก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาในทันที จนเกือบจะล้มลงไปอย่างที่ทุกคนเห็น

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ต่งซีหยุนเล่า หวู่เฉิงเฟิงก็ถึงกับเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังไปหมด นับว่าโชคดีที่บอดี้การ์ดของอาวุโสต่งได้คว้าร่างของเขาไว้ได้ทัน เพราะหากชายชรามาเสียชีวิตที่หนานหยางเข้า บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฮัวหยุนคงต้องเล่นงานพวกเขาสองพ่อลูกตายแน่ !

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset