ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 81 สองราชาพบจักรพรรดิ

ตอนที่81 สองราชาพบจักรพรรดิ

โห่วเซินกัวที่กำลังนั่งจิบชาเจรจาเรื่องธุรกิจอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็มีลูกน้องโทรสายเข้ามาบอกว่า ลูกชายของเขาได้รับบาดเจ็บจากเรื่องชกต่อย พอได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบเอ่ยถามด้วยความกังวลทันที

“ที่ไหน? ห้างสรรพสินค้าทางตะวันออกของเมือง? ได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ชายในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยทักขึ้นว่า

“นายท่านโห่ว เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ?”

“ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก ลูกชายฉันดันมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนในห้าง คิดว่าจะทะเลาะกันตามภาษาวัยรุ่นนั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง”

น้ำเสียงของโห่วเซินกัวนิ่งสงบเป็นอย่างมาก เรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลอะไรเลย แม้จะเป็นเรื่องของลูกชายเขาก็ตาม แต่ก็ยังเชื่อว่า เรื่องนี้จะต้องมีต้นสายปลายเหตุ

“ประธานโห่ว ให้ผมช่วยอะไรไหม?”

ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาจากที่นั่งตรงข้าม

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ผอ.หวังสุภาพเกินไปแล้วเรื่องเล็กน้อยครับ ผมไม่อยากรบกวนผอ.หวัง”

“อืม งั้นก็มาคุยธุรกิจต่อกันก่อน ตามที่ข้อกำหนดระบุไว้ในหนังสือสัญญาทุกประการ หลักจากหักเงิน30%ที่ได้มาจะถูกโอนไปยังบัญชีของประธานโห่วโดยตรงเหมือนครั้งที่แล้ว”

“ได้เลยครับ ผมดีใจอย่างยิ่งครับที่ได้ร่วมงานกับผอ.หวัง”

หัวเซินกัวยืนขึ้นพร้อมจับมือกับผอ.หวัง จากนั้นก็เดินถือกระเป๋าเดินจากร้านน้ำชาออกไปโดยเร็ว

หัวเซินกัวรีบเดินทางเข้าไปในสถานีตำรวจของเขตเมืองตะวันออกทันที พอเปิดประตูห้องผู้กำกับเข้าไป ก็เห็นชายวัยกลางคนในชุดนอกเครื่องแบบกำลังคุยสายกับใครสักคนอยู่

“พี่หู เกิดอะไรขึ้นกับโห่วเจียน? แล้วลูกพี่กับคนอื่นๆ ล่ะ? ไอ้บัดซบคนไหนมันกล้าทำร้ายลูกผม!”

ดูเหมือนว่าหัวเซินกัวจะค่อนข้างสนิทสนมกับผู้กำกับสถานีตำรวจคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงเลือกใช้คำพูดที่เป็นกันเองถึงขนาดนี้

ผู้กำกับคนนี้ยกมือให้สัญญาณกับหัวเซินกัวเชิงว่าให้เงียบลงก่อน จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับปลายสายต่อ

รอประมาณ5นาทีต่อมา ในที่สุดหูหวงก็วางสายลง

“พี่หู เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หัวเซินกัวเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างร้อนใจ

หูหวงส่งบุหรี่ให้หัวเซินกัวมวลหนึ่ง ก่อนจะนำอีกมวลคาบปาก ขณะจุดไฟแช็กก็เอ่ยขึ้นว่า

“ไม่ต้องห่วงน่า หมอนั่นถูกนำตัวมาที่นี่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลูกชายนายหรอกนะ หูจือลูกชายฉันเองก็โดนเหมือนกัน อาการค่อนข้างสาหัสเลยล่ะ”

หัวเซินกัวถามสวนขึ้นทันที

“มันเป็นใคร?”

“มันเป็นใครงั้นเหรอ? เท่าที่ฉันถามจากพวกเด็กๆ เห็นบอกว่า อีกฝ่ายเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง”

“เป็นถึงอาจารย์? แล้วมาทำแบบนี้กับเด็กได้ยังไง! พี่หู ฟังผมนะ ที่นี่เป็นอาณาเขตของพี่ แถมลูกพี่เองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากไอ้หมอนั่น! พี่ปล่อยมันไม่ได้เด็ดขาด!”

หูหวงเหลือบหางตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ตอบกลับไปว่า

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ฉันมีแผนจัดการมันแล้ว จะตามไปหาหมอนั่นด้วยกันไหม?”

“ไป ไป ไปดูหน้ามันหน่อย”

เมื่อผลักประตูห้องผู้กำกับออกมา ทั้งคู่ก็เดินไปที่ห้องสอบสวน เผยให้เห็นฉีเล่ยกับหลี่ถงซีที่กำลังนั่งอยู่ ในขณะเดียวกันหลี่ถงซีเองก็กำลังติดต่อหาปู่ของเธอ เพื่อให้หลี่ฮั่วเฉินมาหา

ทันทีที่เจอหน้า ไม่รีรอให้หูหวงปริปากประเดิมใดๆ ก่อน โห่วเซินกัวตรงไปหยุดอยู่ต่อหน้าฉีเล่ยทันทีและกล่าวว่า

“แกใช่ไหมที่ทำร้ายลูกชายฉัน?”

ฉีเล่ยแสยะยิ้มถามไปว่า

“ลูกคุณคนไหน?”

“โห่วเจียน! หรือจะแถว่าตัวแกไม่ได้ทำร้ายลูกชายฉัน!?”

“โอ้?”

ฉีเล่ยทำหน้าทำตาครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง

“โห่วเจียนใช่ไหม? ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่คุณพูดไม่ถูกต้องทั้งหมด ไม่ใช่ผมที่ไปทำร้ายเขา เขาต่างหากที่ต้องการจะเข้ามาทำร้ายผม ในตอนนั้นผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องป้องกันตัว เห้อ…ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ ครับ แต่ถ้าไม่ทำกลับต้องเป็นผมแทนที่ถูกหามส่งโรงพยาบาล หวังว่าจะเข้าใจกันนะครับ อ่อ! แล้วก็…ถ้าไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดไป ลองไปถามผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้นะครับ ทุกคนพร้อมที่จะเป็นพยาน”

“นี่แก…”

เมื่อเห็นว่าพูดกับหมอนี่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา โห่วเซินหัวจึงเบี่ยงเป้าหมายไปทางผู้หญิงอีกคนที่อยู่ข้างๆ แต่พอหันไปมองหลี่ถงวี เขาก็ถึงกับตกตะลึงในทันใด

ผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นมาก…

ในเวลาเดียวกัน พอหลี่ฮั่วเฉินมาถึงเขาก็รีบวิ่งเข้าห้องสอบสวนทันที และดันไปเห็นภาพฉากที่โห่วเซินกัวกำลังสอบปากฉีเล่ยอยู่พอดีราวกับเป็นตำรวจซะเอง

หลังจากเข้าห้องสืบสวนมา หลี่ฮั่วเฉินก็กวาดสายตาเข้าสังเกตอย่างรวดเร็ว และพอเห็นว่าฉีเล่ยกับหลี่ถงซีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปถามโห่วเซินกัวว่า

“รองประธานโห่ว มาทำอะไรที่นี่?”

โห่วเซินกัวที่ได้ยินสุ้มเสียงอันสุดแสนจะคุ้นเคยก็ถึงกับสะดุ้งโหย่ง รีบหันควับมามองและพอเห็นว่าเป็นหลี่ฮั่วเฉินตัวจริงเสียงจริง สีหน้าของเขาก็ดูซีดเซียวลงในบัดดล

ตั้งแต่ตอนที่วิ่งเข้ามาในห้องสืบสวนแล้ว โห่วเซินกัวรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ฉีเล่ยเหลือเกิน ทีแรกคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร แต่พอมาตอนนี้เป็นที่ชัดเจน เธอคือหลานสาวของประธานหลี่ไม่ใช่เหรอ?!

ปรากฏว่าโห่วเซินกัวเป็นรองประธานคณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่ง ในขณะที่หลี่ฮั่วเฉินดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของที่แห่งนี้

ด้วยอายุอานาของหลี่ฮั่วเฉิน อีกไม่กี่ปีเขาจะต้องลงจากตำแหน่งนี้แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น โห่วเซินกัวในฐานะรองประธานจะต้องขึ้นมาแทนอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ หลี่ฮั่วเฉินไม่ได้เป็นแค่ประธานคณะกรรมการของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งเท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ทั้งยังเป็นรองประธานคณะแพทย์แห่งสภาการแพทย์อีกด้วย ถ้าให้พูดตามตรงเลยคือ เส้นสายของชายชราคนนี้มันแข็งแกร่งเกินไป ภูมิหลังที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือของเขามีมากมายนับไม่ถ้วน ถึงจะเป็นโห่วเซินกัวที่มีเส้นสายในวงการแพทย์อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วมันคนละชั้นกันเลย

อย่างไรก็ตามแค่ เขาไม่มีทางก้มศีรษะลงต่อหน้าทุกคนให้เสียศักดิ์ศรีแน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือ ครั้งนี้คนของหลี่ฮั่วเฉินเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู ดังนั้นเขาจึงชี้ไปที่ฉีเล่ยและกล่าวว่า

“ลองถามเขาเองสิครับ”

หลี่ฮั่วเฉินมองไปที่ฉีเล่ยและไม่ได้ปริปากถามแม้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เอ่ยขึ้นตามตรงว่า

“ฉีเล่ย ทั้งหมดเป็นความผิดฉันเอง ที่ปักกิ่งมันมีพวกอันตพาลอยู่ทั่วไปหมด ในฐานะที่เป็นคนพาเธอมาที่นี่ ฉันควรจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา แล้วฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปอธิบายกับครอบครัวเธอล่ะ?”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็หันไปบ่นกับหลี่ถงซีว่า

“ถงซี หลานเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงพาฉีเล่ยไปที่นั่น? สถานที่อย่างห้างมันเป็นแหล่งรวมคนทุกรูปแบบ ถ้าเกิดพวกอันตพาลทำร้ายพวกเธอสองคนขึ้นมา แล้วฉันจะทำยังไง?”

โห่วเซินกัวที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เดือดจัดจนควันแทบพุ่งออกจากรูหูแล้ว

หูหวงเองก็หัวเสียไม่ต่างกันเท่าไหร่

ตอนที่เห็นหลี่ฮั่วเฉินเข้ามา เดิมทีพวกเขาคิดว่า อีกฝ่ายจะต้องเข้ามาตำหนิต่อการกระทำของฉีเล่ย ซึ่งพวกเขาเองก็กำลังรอซ้ำด่าประณามเช่นกัน แต่พอได้ยินประโยคเหล่านั้นเปล่งดังออกจากปากของหลี่ฮั่วเฉิน ก็ตระหนักได้ทันทีว่า ไม่เพียงเขาจะเข้าข้างฉีเล่ยกับหลานสาวตัวเอง แต่ยังกลัวว่าทั้งสองจะถูกรังแกโดยคนภายนอก ที่สำคัญยังเรียกลูกชายของโห่วเซินกัวกับหูหวงอีกว่า ‘พวกอันตพาน’

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“อาวุโสหลี่ ผมสบายดีครับ หรือเห็นว่าผมไม่สบายตรงไหน?”

หลี่ฮั่วเฉินยิ้มตอบไปว่า

“ดีแล้ว ดีแล้ว! ทีแรกถงซูโทรมาบอกว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ ฉันก็คิดว่าเป็นเธอ แต่เห็นว่าปลอดภัยกันทั้งคู่ ฉันค่อยโล่งใจหน่อย”

โห่วเซินกัวทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ถ้าเขายังยอมให้หลี่ฮั่วเฉินปกป้องเด็กสองคนนี้ต่อไป ลูกชายของเขาก็เจ็บฟรีงั้นเหรอ?

เขาชี้หน้าใส่ฉีเล่ยและหันไปกล่าวกับหลี่ฮั่วเฉินทันทีว่า

“ประธานหลี่ คุณอย่ามาเปลี่ยนดำเป็นขาวแบบนี้นะ! คนที่เจ็บคือลูกชายผม! เพราะโดนไอ้หมอนี่ทำร้ายร่างกาย!”

“เป็นไปไม่ได้!”

หลี่ฮั่วเฉินขมวดคิ้วแน่นตวาดสวนกลับไปทันที

“ฉันรู้จักฉีเล่ยดีกว่าใครในที่นี้ เขาเป็นแพทย์มากพรสวรรค์จนฉันเห็นแวว ถึงได้ชวนให้มาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง คนดีๆ ของเขาไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระแบบนี้!”

โห่วเซินกัวโกรธจัดจนหัวเราะออกมา

“เหอะ เหอะ…ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้? แล้วไอ้ที่ลูกชายฉันนอนรักษาอยู่ใรโรงพยาบาลมันหมายความว่ายังไง!? ไม่ใช่แค่ลูกชายผมเท่านั้นที่โดนมันทำร้าย แม้แต่ลูกชายของผู้กำกับหูเองก็โดนเหมือนกัน หัดสั่งสอนคนของคุณซะบ้าง! ไม่ใช่สันดานเสีย ทุบตีคนอื่นไปทั่ว!”

หลี่ฮั่วเฉินหันไปถามฉีเล่ยว่า

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฉีเล่ยเล่าไปตามตรงว่า

“ทั้งหมดเป็นแบบนี้ครับ วันนี้ถงซีพาพบไปห้างเพื่อซื้อมือถือเครื่องใหม่ให้ หลังจากซื้อเสร็จแล้วพวกเราก็จะไปหาอะไรกินต่อ แต่จู่ๆ ก็ถูกวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาล้อม ทีแรกผมคิดว่าเป็นพวกอันตพาล แต่ต่อมาก็เพิ่งรู้ว่า เด็กพวกนี้เป็นนักเต้นสตรีท”

สีหน้าของหลี่ฮั่วเฉินดูไม่แยแสเลยสักนิด กล่าวตอบไปเพียงว่า

“อ่อ ก็แค่พวกนักเลงหัวไม้”

โห่วเฉินกัวกับหูหวงยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลี่ฮั่วเฉิน ไม่ว่ายังไงพวกเขาต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“ต่อมาผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้นำกลุ่มนักเต้นสตรีทคือ โห่วเจียนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของผมเอง แต่ระหว่างคลาสเรียน กลับไม่ตั้งใจเรียนเลยสักนิด เอาแต่กอดจูบกับนักศึกษาสาวกันกลางห้องไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ จนท้ายที่สุดผมก็ให้เขาเลือกครับว่า จะตั้งใจเรียนดีๆ หรือสมัครใจออกจากห้องเรียนนี้ไปซะ สรุปเขาก็ออกมาจับกลุ่มเต้นกลางห้าง จนกระทั่งผมไปเจอทีหลังอย่างที่เล่าไป”

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้าตอบว่า

“เธอไม่ผิดอะไรเลย ในฐานะอาจารย์ เธอมีสิทธิ์ไล่เขาออกจากห้องเรียนเลยด้วยซ้ำ”

ฉีเล่ยกล่าวเสริมต่อทันทีพร้อมปั้นหน้าราวกับกำลังรู้สึกผิด

“แต่…เด็กพวกนี้แย่มากครับ…ตอนที่เข้ามาดักล้อมพวกเราทั้งคู่ไว้ มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งบอกว่าถงซีน่ารัก แถมยังพูดจาเชิงล่วงละเมิดทางเพศใส่เธออีก รู้สึกว่าเด็กคนนี้จะชื่อ…หูจือ ทั้งยังขู่ผมอีกว่า หลังจากกระทืบผมเสร็จ เขาจะจับเธอไปเที่ยวด้วยกัน… อาวุโสหลี่ ถ้าคุณเป็นผมคงไม่ยอมปล่อยให้ถงซีถูกพวกวัยรุ่นรังแกจริงไหมล่ะครับ? หรือจะปล่อยให้เด็กพวกนั้นรุมทำร้าย แล้วฉุดถงซีไปทำอะไรมิดีมิร้าย? นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมต้องตอบโต้กลับไป…”

“ต่ำทรามที่สุด!”

หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินได้ยินเรื่องทั้งหมด เขาก็โกรธจัดในทันทีและคำรามขึ้นลั่นว่า

“กลับกันเถอะ! ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาเปล่า! รอเจอกันที่ชั้นศาลเลยทีเดียว!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset