ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 82 ฉันเป็นหนี้บุญคุณเขา

ตอนที่82 ฉันเป็นหนี้บุญคุณเขา

หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินพูดจบ เขาก็ลากฉีเล่ยกับหลี่ถงซีออกไปด้วยกันในทันที

“เดี๋ยวก่อนครับ”

หูหวงที่ไม่ได้ปริปากขึ้นเลยตั้งแต่ทีแรกในที่สุดเขาก็เปล่งเสียงดังออกมา สีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า

“ไม่ทราบว่าจะออกไปไหนเหรอครับ?”

หลี่ฮั่วเฉินเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก

“คุณเป็นใคร?”

“ผู้กำกับสถานีตำรวจแห่งนี้ แล้วก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักงานเขตเมืองตะวันออกปักกิ่ง”

หลี่ฮั่วเฉินเข้าใจในทันใดและกล่าวประชดประชันสวนกลับไปว่า

“โอ้? จากที่คุยกันเมื่อกี้ ก็หมายความว่า ลูกชายของคุณเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอันธพาลที่มาทำร้ายร่างกายคนอื่น ให้ผมบอกอะไรคุณหน่อยนะ หัดสั่งสอนลูกตัวเองซะบ้าง ไม่ใช่วันๆไม่เรียนหนังสือ ออกไปเที่ยวท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นไปทั่ว เด็กแบบนี้นี่มันปัญหาของสังคมชัดๆ ก่อนจะขึ้นมารับตำแหน่งผู้กำกับหรือหัวหน้าเขต หัดสอนลูกตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่า”

“นี่คุณ!”

หูหวงขว้างก้นบุหรี่ในมือทิ้งลงพื้นทันทีพร้อมกระทืบเท้าอย่างแรง

“ไม่ว่าจะมีต้นสายปลายเหตุยังไง ทางตำรวจของเราจะต้องเข้าสอบสวนเพิ่มเติม! ตอนนี้มีเด็กสามคนที่ถูกฉีเล่ยทำร้ายร่างกาย และกำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ดังนั้นทางเราจะไม่มีทางปล่อยคนลงมือออกไปไหนจนกว่าคดีจะคลี่คลาย! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับญาติของเหยื่ออีกหลังจากนี้ ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ!”

“อย่าคิดจะใช้ยศบนบ่ารังแกคนอื่นแบบนี้”

หลี่ฮั่วเฉินโบกมือปัดท่าทีดูคร้านจะใส่ใจ

“ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้ผมรับผิดชอบดูแลพวกเขาต่อไป แล้วอีกอย่างนะ คนที่เป็นเหยื่อคือหลานสาวของผมกับฉีเล่ย ส่วนผู้ก่อเหตุก็นอนอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้คุณเองก็ได้ยินทั้งหมดแล้ว ถ้าจะจับก็ไปจับลูกตัวเองเถอะ”

หูหวงปั้นหน้ากลัดกลุ้มกล่าวเถียงเสียงแข็งว่า

“นี่เห็นเป็นเรื่องตลกรึไง! ที่นี่มันสถานีตำรวจนะ! มีที่ไหนตำรวจฟังความแค่ข้างเดียวก็ตัดสินคดีได้เลย? ตามขั้นตอนแล้ว ต้องรอให้เหยื่อออกจากโรงพยาบาลเพื่อให้ปากคำเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยพิจารณาอีกทีว่า สมควรปล่อยตัวหรือไม่ ดังนั้นผมจึงมีสิทธิ์กักขังผู้ต้องสงสัยได้ชั่วคราว!”

หลี่ฮั่วเฉินโมโหเป็นอย่างมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ชายชราคนนี้อารมณ์เดือดจัดจนแทบสามารถฆ่าคนตรงหน้าได้แล้ว นี่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า? หรือคิดจะเข้าข้างลูกตัวเองจนพูดจาฟังไม่รู้เรื่องแล้ว?

จากคำพูดของหูหวง เห็นได้ชัดว่า เขาต้องการลากฉีเล่ยกับหลี่ถงซีเข้าคุกให้ได้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นยังไงก็ตาม และจะมีสิทธิ์ปล่อยตัวออกไปได้ก็ต่อเมื่อ เด็กทั้งสามคนที่ได้รับบาดเจ็บออกจากโรงพยาบาล แล้วถ้าเด็กสามคนนั้นเข้ารักษาในโรงพยาบาลนานเป็นเดือนล่ะ? ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยกับหลานสาวเขาต้องติดคุกหัวโตเป็นเดือนเลยงั้นเหรอ?

นอกจากนี้เอง ถ้าฟังตามคำกล่าวอ้างของหูหวง ฉีเล่ยคือผู้กระทำผิดหลักและหลี่ถงซีจะถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

ฉีเล่ยเป็นผู้ชายกร้านโลกในระดับหนึ่งแล้ว ต่อให้ถูกขังคุกไปเป็นหลักเดือนก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง แถมสภาพจิตใจยังค่อนข้างเปราะบางอย่างหลี่ถงซี เธอจะสามารถทนต่อสภาวะแบบนั้นได้อย่างไร?

ในท้ายที่สุดนี้หูหวงคงไม่กล้าทำอะไรกับทั้งคู่มากกว่านี้ เพราะเส้นสายของหลี่ฮั่วเฉินยังค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ขึ้นชื่อว่าเคยเข้าคุก ชื่อเสียงของทั้งคู่จะต้องหม่นหมองลงโดยปริยาย และแทบจะไม่มีหวังเลยที่จะได้สอนต่อในมหาวิทยาลัยแพทย์

เพราะท้ายที่สุดนี้ มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งยังต้องคำนึงถึงชื่อเสียงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางมหาวิทยาลัยคงไม่สามารถจ้างอาจารย์ที่มี‘ประวัติเสีย’เข้ามาทำงานได้

ในบรรดาคนในห้องสอบสวน ณ ปัจจุบัน หูหวงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยพบกับหลี่ฮั่วเฉินเป็นการส่วนตัวมาก่อน เพียงแค่เคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาบ้างเท่านั้น

และในเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้รู้จักหลี่ฮั่วเฉินกันหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากเส้นสาย เพราะไม่อยากให้เรื่องเล็กกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะต้องใช้เส้นสายแล้วจริงๆ

หลี่ฮั่วเฉินทราบดีว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อ จึงเลือกจะไม่โต้เถียงใดๆกับหูหวงอีกต่อไป เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่สักครู่ ก่อนชี้หน้าใส่และกรนเสียงเย็นกล่าวว่า

“ไม่ว่ายังไงผมจะต้องปกป้องสองคนนี้ ทีแรกผมหวังว่าพวกคุณจะให้หน้าผมบ้าง แต่ในเมื่ออยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่นัก ผมก็จะสนองให้ เตรียมลงจากตำแหน่งได้เลย คุณชะตาขาดแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็คอยดู!”

หลี่ฮั่วเฉินสะบัดแขนเสื้อ หันหลังและเดินออกจากห้องสืบสวนไปทันที

“เหอะ แล้วจะคอยดูว่าแกมีปัญญาทำอะไรฉันได้บ้าง”

หูหวงเหลือบมองแผ่นหลังอีกฝ่ายที่เคลื่อนห่างสายตาออกไป พลางสบถเย้ยเยาะกับตัวเอง

อย่างไรก็ตาม โห่วเซินกัวกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีนักในขณะนี้

เขารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเส้นสายของประธานหลี่ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นถึงรองประธานคณะแพทย์สภา คนประเภทนี้มันไม่ใช่ระดับชั้นที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้เลย

และปัจจุบัน พวกเขาก็ทำให้ชายชราคนนี้ขุ่นเคืองไปเรียบร้อยแล้ว! หูหวงไม่แม้แต่จะเห็นแก่หน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ต่อจากนี้เป็นต้นไป ถึงจะคุกเข่าขอโทษขอโพยยังไง ชายชราคนนี้ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปอีกอย่างแน่นอน

เวรแล้วไง! ฉันอยากจะเป็นลม!

………

ข้างโต๊ะรับประทานอาหารยาว ชูซินซูกำลังนั่งกินข้าวอยู่พร้อมจิบชาเล็กน้อย ช่างเป็นภาพฉากที่ดูมีสง่าราศีอย่างยิ่ง

เธอคนนี้เปรียบดังเจ้าหญิงผู้คงความสง่างามและสงบนิ่งจนเยือกเย็นในเวลาเดียวกัน อย่างน้อยที่สุดก็ต่อหน้ากลุ่มคนหมู่มาก ทว่าในสนามบินตอนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้สูญเสียความสงบเสงี่ยมไปขนาดนั้นเมื่อครั้งที่ทั้งสองได้พบกันคราแรก

มันราวกับว่าตัวเธอทั้งรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขเกินจะกักเก็บไว้อยู่ภายในใจ

ชูซินซูยกมือขึ้นเท้าคางใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากอย่างเกียจคร้าน ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเลขาสาวรีบตรงเข้ามา โค้งศีรษะให้โดยไวพร้อมรายงานว่า

“คุณหนู เกิดเรื่องกับเขาแล้ว”

ช้อนในมือชูซินซูชะงักหยุดทันที เสี้ยววินาทีต่อมาค่อยตักฟัวกราส์เข้าปาก บรรจงเคี้ยวและกลืนลงคอไป เธอหันไปบอกให้เลขาสาวให้พูดต่อ

เฉิงเจียซินรายงานต่อขึ้นว่า

“เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนในสถานีตำรวจ ตอนนี้อยู่ในสถานทีตำรวจเขตตะวันออก”

“ต้นเหตุมาจากใคร?”

“อีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเขาก่อน”

“งั้นก็ปกป้องเขาซะ!”

“คุณหนู แต่นี่ไม่ได้อยู่ในแผนการนะคะ”

เฉิงเจียซินเร่งเอ่ยเตือนทันที

เลขาสาวคนนี้เป็นคนสนิทที่ชูซินซูไว้ใจที่สุด ไม่เพียงแค่มีหน้าที่ดูแลตารางงานของเธอเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ดูแลเรื่องส่วนตัวนอกเวลางานอีกด้วย ดังนั้นเธอจึงต้องคอยชั่งน้ำหนักและเลือกแผนการตัดสินใจที่ดี และเหมาะสมที่สุดสำหรับคุณหนูคนนี้อยู่เสมอ

เห็นได้ชัดว่า สำหรับเฉิงเจียซินแล้ว เธอไม่คิดว่าการลงทุนลงแรงกับฉีเล่ยเป็นแผนการที่ฉลาดเท่าไหร่

ชูซินซูวางช้อนส้อมลง หยิบผ้าสีขาวตรงหน้าอกขึ้นมาเช็ดมุมปากเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ถ้าใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับแผนการทั้งหมดคงหม่นหมองแย่ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างดีๆในชีวิตนะที่เกิดขึ้นโดยปราศจากแผนการ อย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินยังไงล่ะ”

เฉิงเจียซินยังถามต่อว่า

“แต่คุณหนู แล้วเหตุผลของเรื่องนี้ล่ะค่ะ? ชีวิตมันก็เหมือนการลงทุน ก่อนเดินหมากควรจะมีเหตุผลรองรับเพื่อประเมินความเสี่ยง…”

“เหตุผลงั้นเหรอ?”

ชูซินชูถอดผ้าเช็ดปากสีขาวออกจากต้นคอของเธอ ลุกขึ้นยืนมองเลขาสาวสักพักและกล่าวว่า

“ถ้าจะถามหาเหตุผลเพื่อให้สบายใจก็มี เพราะเขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ และฉันไม่อยากมีอะไรติดค้างกับเขา ในทางตรงกันข้าม เท่ากับว่าตัวฉันในตอนนี้กำลังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ ยามที่อีกฝ่ายลำบากฉันก็ควรยื่นมือเข้าไปช่วยถูกไหม?”

เฉิงเจียซินพยักหน้าตอบว่า

“เข้าใจแล้วค่ะคุณหนู”

ขณะที่โห่วเจียนกับหูหวงกำลังนั่งหารือกันอย่างหน้าดำคล่ำเครียดสำหรับแผนการรับมืออยู่ในห้องผู้กำกับ จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้น

โห่วเจียน, หูจือและหย่งซือพร้อมกับบรรดากลุ่มวัยรุ่นทั้งหลายก็ตรงเข้ามา ยืนอยู่ห่างอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเข้าไปใกล้

หูจือเป็นเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยกลัวใครยกเว้นพ่อตัวเอง

หูหวงเงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาราวกับรู้ตัวว่าเพิ่งทำผิดมา

“คอตกมาเลยนะ ว่าไงล่ะ? ครั้งนี้ยังมีอะไรจะแก้ตัวไหม?”

ในตอนที่หลี่ฮั่วเฉินเรียกลูกชายของเขาว่า พวกอันธพาล แม้ว่าจะรู้สึกโกรธแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดเขาไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆมาหักล้างได้เลย เพราะหูหวงก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า เจ้าลูกชายตัวดีคนนี้เป็นยังไงเมื่ออยู่นอกบ้าน และเป็นเขานี่แหละที่ต้องคอยตามเช็ดชี้เช็ดเยี่ยวให้ไอ้ลูกชายตัวดีคนนี้อยู่ตลอด

โห่วเฉินกัวรีบลุกขึ้นกวาดสายตาตรวจสอบร่างกายของโห่วเจียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า

“ทำไมแกถึงกลับมาเร็วขนาดนี้? ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ?”

โห่วเจียนรีบอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นให้ฟังทันที

“ตอนแรกไอ้หมอนั่นมันทำอะไรก็ไม่รู้กับหย่งซือ ตอนยังอยู่ในห้างเขาถึงกับล้มทั้งยืนแขนขาขยับไม่ได้ราวกับเป็นอัมพาต พวกผมตกใจกันอย่างมากก็เลยรีบโทรเรียกรถพยาบาล แต่ใครจะไปคิดว่า ไม่นานหลังจากนั้น เขากลับหายเป็นปกติดี ส่วนผมกับหูจือที่โดนทำร้าย ตอนนั้นพวกเราทั้งเจ็บทั้งปวดอย่างกับจะตาย แต่พอผ่านไปสักพักอาการกลับดีขึ้น แล้วไอ้ที่น่าโมโหที่สุดคือ พอไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอดันบอกว่า ร่างกายพวกเราไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย แถมยังบอกว่าปกติดีอีกด้วย!”

หูหวงชำเลืองมองพวกเขาเหล่านั้นและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นว่า

“นั่นเป็นเพราะเขามีฝีมือไงล่ะ เวลาพวกแกทำร้ายใครสักคนโดยปราศจากร่องรอยการทำร้ายหรือหลักฐาน โอกาสพ้นผิดจะสูงมาก”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset