ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 85 ยากเกินกว่าจะแก้ไข!

ตอนที่85 ยากเกินกว่าจะแก้ไข!

อ๊ะ!

หลี่ถงซีร้องเสียงดังออกมาด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นก็มีธารเลือดซิบจางๆค่อยๆรินไหลออกมาจากต้นขาของเธอ

การฝังเข็มคือการใช้เข็มเล่มยาวทิ่มแทงลงไปบนร่างกาย สาเหตุที่ไม่เจ็บหรือปราศจากเลือดออกเป็นเพราะแพทย์ผู้รักษาแทงเข็มเข้าไปถูกจุด และสอดรับกับร่างกายโดยสมบูรณ์

แต่ถ้าเข็มเล่มยาวเบี่ยงทิศทางผิดออกไปแม้เล็กน้อย มันจะกลับกลายเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยแทนทันที เวลาโดนของมีคมแทงเข้าร่างกาย ย่อมต้องรู้สึกเจ็บเป็นธรรมดา

“ขอโทษ ขอโทษ…”

ฉีเล่ยรีบมองหาผ้าสะอาดมาและรีบเช็ดบริเวณขาอ่อนของเธอทันที

โดยปกติแล้วการฝังเข็ม แพทย์กับผู้ป่วยจะเว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง และเนื่องจากฉีเล่ยไม่ค่อยสนิทกับหลี่ถงซีมากเท่าไหร่นัก เขาเลยยิ่งต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสเธอเข้าไปใหญ่ โดยทั่วไปเขาจะเพ่งสมาธิใช้ดวงตาจับจ้องไปที่จุดฝังเข็ม และเวลาลงเข็มมีเพียงตัวเข็มเท่านั้นที่เข้าสัมผัสกับเนื้อหนังของเธอ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดชั่วขณะทำให้ฉีเล่ยลืมตัว รีบหยิบผ้ามาเช็ดเลือดบริเวณขาอ่อนโดยตรง พอมือของเขาเข้าสัมผัสกับขาอ่อนของอีกฝ่ายก็เริ่มลูบไล้ผ้าเพื่อเช็ดทันที หลี่ถงซีสะดุ้งโหยงราวกับถูกไฟช็อต เสียวสันหลังวูบร่างกายอ่อนยวบลงในพริบตา

นี่คือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของเธอ ทำให้หลี่ถงซีไม่สามารถนั่งทรงตัวอยู่บนเตียงได้อีกต่อไป

ส่วนฉีเล่ยก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงก้มศีรษะเช็ดเลือดต่อ พอเห็นว่าเธอกำลังจะล้มลงก็พลันคิดว่า เป็นเพราะอาการเจ็บที่เขาฝังเข็มพลาด จึงรีบยืนตรงเข้าไปโอบแผ่นหลังของเธอโดยเร็ว เนื่องด้วยสัญชาตญาณของคนเรา เวลาจะล้มก็มักจะหาที่ยืดเกาะ เธอจึงรีบยื่นมืออกไปคว้าตัวฉีเล่ยไว้เช่นกัน

และภาพฉากที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นก็ดันเกิดขึ้น…

หลี่ถงซีล้มตัวลงนอน โดยมีฉีเล่ยล้มทับร่างของเธออีกทีบนเตียง ถ้าดูจากภายนอกราวกับทั้สองกำลังโอบเอวกอดกันและพร้อมเผด็จศึกอยู่ทุกเมื่อ

“…”

นอกจากเฉินอวี้หลัวแล้ว ฉีเล่ยก็ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน

เขาตื่นตระหนกอย่างมาก ชิบหายแล้ว!

แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่จู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็เปิดประตูห้องตรงดิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น พร้อมกล่าวขึ้นว่า

“ฉีเล่ย ฉันอยากเห็นฝีมือฝังเข็มของเธอ จะรังเกียจไหมถ้าฉันจะขอดู…”

ชายชราถึงกับอ้าปากค้างอยู่หน้าประตูชั่วขณะ แต่แล้วเขาก็ฟื้นสติขึ้นมาอย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาทีถัดมา

“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ! พวกเธอทำต่อเลยไม่ต้องเกรงใจฉัน คิด…คิดซะว่าฉันมองไม่เห็นก็แล้วกันนะ”

ทันทีที่พูดจบ หลี่ฮั่วเฉินก็รีบปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

“อย่าเพิ่ง!”

ฉีเล่ยรีบตะโกนลั่นด้วยความกังวล

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด!”

แต่มีหรือที่ชายชราคนนี้จะเชื่อ

ฉีเล่ยกับหลานสาวของตนกำลังนอนกอดกันอยู่บนเตียง นี่คิดว่าชายชราคนนี้อ่อนต่อโลกนักรึไง? ถ้าไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้เลย แล้วลูกหลานมากมายในตระกูลหลี่มันมาจากไหนกันล่ะ? เกิดจากกระบอกไม้ไผ่หรือยังไง?

หลี่ฮั่วเฉินตะโกนตอบจากนอกประตูไปเพียงว่า

“คราวหน้าอย่าลืมล็อกประตูด้วยล่ะ”

พูดจบชายชราก็เดินจากไปทันที

ฉีเล่ยกับหลี่ถงซีหันมามองหน้ากันโดยไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรดี

“อย่ากังวลไปเลย”

หลี่ถงซีกลับเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากพูดก่อน ดูราวกับว่าเธอสงบนิ่งกว่าฉีเล่ยเสียอีก

“คุณควรไปเปลี่ยนชุดนะ ถ้ายังใส่ชุดแบบนี้อีก มีหวังฝังเข็มกันไม่ได้พอดี”

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลี่ถงซีกระพริบตาปริบๆเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไมล่ะ? ชุดนี้ฉันว่าน่าจะสะดวกกว่า”

“ชุดเดิมเถอะ ผมถนัดกว่าจริงๆ”

ฉีเล่ยหัวเราะอย่างขมขื่นและเอ่ยถามต่อว่า

“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ช้าไปวันนึงไม่เสียหายอะไรหรอก”

“ไม่”

แววตาของหลี่ถงซีดูเรียบนิ่งราวกับไม่ได้ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย ฉีเล่ยเองก็อายเกินกว่าจะนำเรื่องนั้นมาก่อกวนใจได้อีกต่อไป จึงขอให้เธอไปเปลี่ยนชุดและมาฝังเข็มต่อ

ในคราวนี้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น

หลังจากที่ฉีเล่ยฝังเข็มเสร็จ เขาก็จัดเรียงเข็มเข้ากล่องเก็บ ขณะลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปก็กล่าวขึ้นว่า

“นอนพักผ่อนเถอะ ฝันดี”

“ฉีเล่ย?”

“ว่าไง?”

จู่ๆหลี่ถงซีก็เม้มริมฝีปากสวยของเธอและกล่าวถามขึ้นว่า

“ฉันอยากรู้…มีคนเป็นโรคเดียวกับฉันบ้างไหม?”

ฉีเล่ยพยักหน้า

“แน่นอน มีสิ”

หลี่ถงซีเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”

ฉีเล่ยกล่าวอธิบายไปว่า

“คนที่รักษาหาย พวกเขาก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่งงานมีครอบครัวกันอย่างสงบสุข แต่บางคนที่ปล่อยไว้ไม่ยอมรักษา อาการทางจิตก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นเป็นจิตเวทโดยสมบูรณ์ ในกรณีที่แย่ที่สุดอาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระบวนการรักษาและเวลา ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่รักษา ไม่ต้องห่วงไปหรอก สักวันคุณจะต้องมีชีวิตเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แต่งงานกับคนที่รักและสร้างครอบครัวด้วยกัน”

หลี่ถงซีปิดปากเงียบไม่เอ่ยเสียงตอบใดๆ

เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของเธอ ฉีเล่ยก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

เหตุผลง่ายๆที่หลี่ถงซีเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ เพราะเธออยู่ในสภาวะmanophobia[1] เป็นสภาวะที่ผู้ป่วยจะรู้สึกกลัวการอยู่ตัวคนเดียว แต่ในกรณีของเธอจะเป็นกลัวว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นโรคประหลาดแบบนี้อยู่คนเดียวบนโลก

แน่นอนว่าฉีเล่ยไม่เคยมีประสบการณ์พบเจอโรคทางจิตชนิดนี้มาก่อน แต่หลังจากที่เขาได้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษตระกูลเฉิน ผนวกกับหนังสือจิตวิทยาที่ชอบอ่าน ทำให้สามารถให้คำตอบเธอได้ทันที

และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ทันทีที่ผู้ป่วยหายจากโรคดังกล่าว คนแรกที่ผู้ป่วยจะยอมเปิดใจก็คือแพทย์ผู้รักษา โดยเฉพาะกับกรณีที่ผู้ป่วยและแพทย์เป็นเพศตรงข้ามกัน

เพราะแพทย์คือผู้ที่เข้าใจสภาวะทางจิตใจที่บิดเบือนของผู้ป่วยที่สุด จึงส่งผลให้ผู้ป่วยจะตกหลุมรักแพทย์ผู้รักษามากที่สุดเช่นกัน

นี่แหละปัญหาหลังจากที่โรคกลัวผู้ชายของหลี่ถงซีหายแล้ว

เช้าตรู่วันถัดมา

เมื่อฉีเล่ยตื่นขึ้น ก็เดินออกไปเปิดหน้าต่างรับแสงแดดบนท้องฟ้าสีครามด้วยความสดชื่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายและเดินลงบันไดออกไปยืดเส้นยืดสายตามเคย

หลี่ฮั่วเฉินมาเร็วกว่าเขา พอเห็นฉีเล่ยออกมาก็เอ่ยปากทักขึ้นทันที

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”

“ไม่เลวครับ”

ฉีเล่ยตั้งท่าเตรียมฝึกเพลงหมัดของเขาทันที

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวต่อในขณะที่รำไทเก๊กไปด้วย

“เดิมทีฉันคิดว่าแผนที่จะทำให้เธอกับหลานสาวฉันสนิทสนมกัน คงต้องใช้เวลากันสักหน่อย ที่จริงฉันก็กังวลนะว่า จะทำยังไงให้เธอกับถงซีใกล้ชิดกันเร็วๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ต้องคิดแล้วล่ะ ทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดีสักทีนะ พูดตามตรงเลยนะ การที่ถงซีมีเธอเป็นสามีก็ถือว่าได้เสาหลักบ้านที่มั่นคง อีกอย่างฉันเองก็กำลังจะเกษียณแล้ว ถ้าในอนาคตจะต้องออกไปทำงานกันทั้งคู่ ฉันก็ว่างเลี้ยงหลานอยู่ตลอด ดังนั้นจะท้องก่อนแต่งก็ไม่มีปัญหา แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ เธอต้องไปหย่ากับภรรยาก่อนนะ แล้ว…วางแผนว่าจะไปหย่าตอนไหนล่ะ?”

“….”

ฉีเล่ยตัวแข็งทื่อในบัดดล

หย่า?

มีลูก?

เอ่อ…อาวุโสหลี่ครับ ตอนนี้คือ…คิดไปไกลถึงขั้นไหนแล้วครับ?

“อะแฮ่ม… อาวุโสหลี่ คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?”

 “เข้าใจผิด? เข้าใจผิดอะไร? เป็นไปไม่ได้! ก็เมื่อคืนเธอ…”

“ไม่ครับ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”

“เมื่อคืนเธอกับถงซีไม่ได้…”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ”

“จริงเหรอ?”

“ให้ผมสาบานต่อหน้าฟ้าดินก็ได้นะครับ”

“เฮ้ออ… อุตส่าห์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันแล้วแท้ๆ ไม่น่าเลย!”

“ผม…ผมไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิดนะครับ”

พอได้ยินว่าทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรกันเมื่อคืน หลี่ฮั่วเฉินก็รู้สึกเสียดายหนักจนขนาดตบต้นขาตัวเองไปทีด้วยความเจ็บใจ

“โถ่ว! มันเป็นความผิดของฉันเองล่ะ! ฉันไม่น่าอยากรู้วิธีฝังเข็มของเธอเมื่อคืนเลยจริงๆ! ถ้าฉันไม่เปิดประตูเข้าไปขัดจังหวะ ป่านนี้ฉันคงได้ลูกเขยไปแล้ว!”

ยิ่งชายชราพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นเท่านั้น จนแทบอยากจะตบหน้าสั่งสอนความไม่รู้เรื่องของตนเองจริงๆ

“ฉันผิดเองล่ะ! แต่ไม่เป็นไร! ครั้งหน้าฉันจะจับพวกเธอทั้งคู่ให้ลงเอยกันเอง!”

“…”

ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออก

นี่ผมคงจะสื่อสารกับคุณไม่รู้เรื่องอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? อาวุโสหลี่…ปีนี้คุณก็อายุปาเข้าไป70แล้ว น่าจะมีสติให้มากกว่านี้หน่อยไหม? หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันยิ่งแก่ก็ยิ่งทำตัวเหมือนเด็ก?

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ทัศนคติของหลี่ถงซีที่มีต่อฉีเล่ยดูอ่อนโยนขึ้นจนน่าใจหาย และนั่นก็ได้สร้างความกังวลใจให้เขามากพอแล้ว แต่ตอนนี้อาวุโสหลี่ยังประกาศอีกว่า จะจับทั้งคู่ให้ลงเอยกันให้ได้ ผู้หญิงที่กำลังมีความรักหากได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวเข้าไปอีก มันจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก ถ้าในเวลานั้นเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป ฉีเล่ยจะต้องตกเป็นลูกเขยสกุลหลี่แทนอย่างนั้นเหรอ?

ไม่มีทาง!

ใช่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อน ระหว่างที่คุยโทรศัพท์ เฉินอวี้หลัวเองก็พูดอย่างชัดเจนว่า เธออนุญาตให้เขามีผู้หญิงอื่นได้ แต่ใครจะไปรู้ว่า เฉินอวี้หลิวกำลังทดสอบเขาอยู่รึเปล่า?

ประการที่สอง ต่อให้ไม่ใช่การทดสอบ และเธอกลั่นคำพูดเหล่านั้นออกมาจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่หากฉีเล่ยทำแบบที่เธอบอกจริงๆโดยอ้างว่า เป็นความผิดของภรรยาที่ไม่เคยทำดีกับเขาสักครั้งตลอดแปดปี นั่นจะไม่ยิ่งตอกย้ำความผิดและทำร้ายจิตใจของเธอหนักกว่าเดิมอีกเหรอ

และสำคัญที่สุดคือ ฉีเล่ยไม่ใช่คนที่จะมีบ้านเล็กบ้านน้อย เขาเพียงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิต และอยู่กับภรรยาของเขาอย่างมีความสุขเท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่รับสืบทอดทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์จากบรรพบุรุษตระกูลเฉินมา ที่ฉีเล่ยรู้สึกว่า ทักษะการแพทย์ของเขายังไม่ดีพอ

ถ้าเขามีความสามารถมากกว่านี้ บางทีอาจจะสามารถรักษาหลี่ถงซีให้หายได้ โดยไม่ให้ความสัมพันธ์เกินเลยมากไปกว่าแพทย์และผู้ป่วย

และถ้าปัจจุบันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป หลังจากที่เขารักษาเธอจนหายเป็นปกติ เธอจะต้องแต่งงานกับเขาแน่นอน และถ้าฉีเล่ยเลือกที่จะปฏิเสธ ก็อาจทำให้อาการป่วยทางจิตของเธอกลับมากำเริบอีก…

ถ้าคุณเลือกที่จะถามกลับว่า กับเรื่องแค่นี้ทำไมต้องไปสนใจอะไรหนักหนา หากจะกลับมาป่วยกับเรื่องแค่นี้ก็ปล่อยให้เธอป่วยไป งั้นผมเองก็อยากจะถามกลับเช่นกันว่า คุณจะปล่อยให้คนไข้ที่ตัวคุณพยายามรักษาแทบตายป่วยซ้ำอีกอย่างนั้นเหรอ?

ระหว่างมื้ออาหารเช้า ทั้งสามคนนั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน หลี่ฮั่วเฉินเหลือบมองไปทางหลานสาวของตน และขยิบตาส่งสัญญาณให้เธอคีบอาหารไปให้ฉีเล่ย

ฉีเล่ยแอบสังเกตเห็นจังหวะที่ชายชราขยิบตาให้หลานสาวเข้าพอดี ภายในใจถึงกับร้องอุทานขึ้นทันที

‘อย่า อย่า ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ปัญหายากเกินกว่าจะแก้ไขในอนาคต ขอร้องล่ะ!’

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลี่ถงซีเองก็เป็นหลานสาวที่เชื่อฟังคุณปู่ของเธอมาแต่ไหนแต่ไร ผนวกกับตัวเธอเองที่เบื้องลึกภายในใจแล้วก็อยากทำเช่นกัน… คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบคีบปลาชิ้นหนึ่งและวางลงบนชามข้าวของฉีเล่ยอย่างว่าง่าย

ฉีเล่ยไม่เหลือทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคีบเข้าปากทั้งอย่างนั้น

แทนที่จะได้สัมผัสกับรสหวานของเนื้อปลา เขากลับรู้สึกถึงรสขมแทน…

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset