ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 86 อาจารย์ผู้ได้รับความนิยม

ตอนที่86 อาจารย์ผู้ได้รับความนิยม

วันพุธ ฉีเล่ยเองก็มีคาบสอนเช่นกัน

เมื่อตรงเข้ามาในห้องเรียน เขาขึ้นไปยืนบนเวทีสอนดังเดิม และถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเหอจือนั่งหน้าสวยอยู่แถวหน้าสุด ฉีเล่ยคงเข้าใจผิดไปแล้วว่า ตัวเองเข้ามาสอนผิดห้องรึเปล่า

ก่อนหน้าเขาจำได้อย่างชัดเจนว่า ในคลาสสอนของเขามีนักศึกษาอยู่ประมาณ40คนเท่านั้น แต่พอสังเกตดูดีๆในตอนนี้ กลับพบว่า บรรยากาศในคลาสตอนนี้อัดแน่นไปด้วยนักศึกษาจำนวนมาก

“ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า ตัวผมเองมาสอนผิดห้องหรือพวกคุณเข้ามาเรียนผิดห้องกันแน่?”

ฉีเล่ยวางหนังสือสอนไว้บนโต๊ะ เดินลงมาจากเวทียกมือเท้าเอวจับจ้องด้วยสีหน้างุนงง

“ฮ่าฮ่าๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดติดตลกของตัวเขา นักศึกษาทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

“อาจารย์ฉี หนูไปบอกรูมเมทว่าอาจารย์คนใหม่ในคลาสหนู สามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยของทุกคนในห้องได้ เพียงแค่ปราดตามองก็รู้ละเอียดจนถึงขั้นเขียนใบสั่งยาได้ รูมเมทได้ฟังแบบนั้นกลับไม่เชื่อ หนูก็เลยชวนพวกเขาเข้ามา แถมอยากเห็นด้วยว่าใครกันที่มีภาวะไตบกพร่อง”

“ฮ่าฮ่าๆๆๆ”

“อาจารย์ฉี หนูมาจากหอ5 พอได้ยินเรื่องคลาสเรียนของอาจารย์ในวันนั้นก็เลยอยากมาเห็นด้วยตา วันนี้หนูมาเพื่อเปิดโลกทัศน์ในเส้นทางการแพทย์ของหนูค่ะ!”

“ผมเองก็เหมือนกันครับ ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้จู่ๆก็ปวดขามาก โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกติดต่อกัน ก็เคยวินิจฉัยตัวเองไปว่า เป็นโรคไขข้อ อาจารย์ฉีช่วยวินิจฉัยอาการผมด้วยครับ”

“ผมเองก็นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว…”

“หนูปวดตามกระดูกค่ะ…”

“….”

เมื่อจับจ้องไปที่กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวตรงแถวที่นั่ง ฉีเล่ยไม่ทราบเลยว่าตนควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี?

ดูเหมือนว่าทุกคนจะปฏิบัติต่อคลาสเรียนของเขาราวกับเป็นคลินิกแห่งหนึ่งไปแล้ว จุดประสงค์ที่มาค่อนข้างชัดเจน โดยส่วนใหญ่มาเพราะอาการเจ็บป่วย

แตก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากกลุ่มคนโดยส่วนใหญ่จะมาเพราะอาการเจ็บป่วยแล้ว ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่มาเพื่อดูว่าอาจารย์ฉีจะสามารถรักษาพวกเขาให้หายได้อย่างไร

ในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมนักศึกษาแพทย์มากพรสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อย่างไรก็ตาม เพราะเป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่รักและคลั่งไคล้วิถีการแพทย์ พอได้ข่าวว่ามีอาจารย์มากฝีมือเข้ามาสอน จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะแห่กรูกันเข้ามาอย่างมากมายเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ทางมหาวิทยาลัยเองก็มีหน้าเว็บบนโลกอินเตอร์เน็ต ข่าวสารฮิตประเด็นฮอตต่างๆมักจะถูกโพสต์ในทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ แล้วก็บังเอิญเหลือเกินที่วันนั้นเป็นวันแรกที่ฉีเล่ยเข้ามาสอน และได้จัดการกับโห่วเจียนจนคอตกหมดสภาพในระหว่างคลาสเรียน ข่าวดังกล่าวขึ้นติดหน้าแรกของเว็บมหาวิทยาลัยในทันที

เมื่อมองออกไปนอกห้องเรียน ยังมีนักศึกษาอีกกลุ่มใหญ่ที่กำลังยืนสุมหัวแอบมองผ่านช่องกระจกเข้ามา พวกเขาทำราวกับว่ามาที่นี่เพื่อยืนฟังอาจารย์ฉีสอนโดยเฉพาะ

ฉีเล่ยอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆสักครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อได้รับความนิยมจากนักศึกษา ชื่อเสียงของอาจารย์จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะไม่ช้าก็เร็ว ความสนใจของตัวนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจะสะท้อนออกไป จนทำให้ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยเกิดความสนใจได้ แม้ฉีเล่ยจะไม่ได้สนใจชื่อเสียง แต่เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องโง่ปฏิเสธผลประโยชน์ที่ได้

ส่วนที่ว่าไม่ใช่เรื่องดีเช่นกันนั้นก็หมายถึง ความนิยมที่มากเกินไปอาจสร้างแรงริษยาให้กับอาจารย์คนอื่นๆได้

ฉีเล่ยเดินกลับขึ้นไปบนเวทีสอนและเคาะกระดาษดำเสียงดังสนั่น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบพร้อมกล่าวว่า

“ผมเข้าใจนะครับกับสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้ และตัวผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นบทบาทของนักศึกษาคือการมาเรียนและศึกษาหาความรู้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละทิ้ง ถ้าพวกคุณชอบในด้านการแพทย์แผนจีน ผมก็ยินดีต้อนรับทุกคนสู่คลาสเรียนของผม แต่ถ้ามาเพื่อตามกระแสหรือประโยชน์ส่วนตัว ผมเกรงว่าไม่จำเป็นต้องมาครับ ทุกวินาทีในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีค่า ทุกคนเองก็มีสาขาเรียนที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่ได้มีใจรักในวิชาแพทย์แผนจีนจริงๆ อย่ามาเสียเวลากับผมเลย มันไม่คุ้มหรอกครับ”

“อาจารย์ฉี พวกเราชอบแพทย์แผนจีนมากเลยครับ!”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนขึ้นมา

“อาจารย์ฉี เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ไม่ชอบพวกศาสตร์แผนจีนเลย แต่พอเห็นอาจารย์เท่านั้นแหละ หนูรักเลยค่ะ!”

นักศึกษาสาวตัวน้อยเปล่งเสียงตะโกนลั่น ราวกับว่าเธอกำลังสารภาพรักกับชายหนุ่มอยู่

“อาจารย์ฉี หนูเป็นประธานกลุ่มแฟนคลับของอาจารย์ค่ะ สโลแกนประจำกลุ่มแฟนคลับของเราคือ ร่ำเรียนแพทย์แผนจีนด้วยใจรัก พิทักษ์อาจารย์ฉีด้วยใจจริง!”

มุมปากของฉีเล่ยถึงกับกระตุกอย่างแรง

ห่ะ? นี่ฉันเพิ่งมาสอนได้สองวันเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมีกลุ่มแฟนคลับของตัวเองแล้ว?

ถ้ายังขืนเป็นแบบนี้ต่อไป จะเป็นอันได้เรียนกันรึไง?

นี่ฉันกลายเป็นไอดอลไปแล้วเหรอ?

ไอดอลแพทย์แผนจีนคนแรกในประเทศ? ใช้วิธีรักษาโดยการขายบัตรจับมืออะไรทำนองนั้นเหรอ?

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นใจยิ่ง และเคาะกระดาษดำอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเงียบ เขากล่าวเสียงดังฟังชัดขึ้นว่า

“ถือเป็นเรื่องดีแล้วครับที่ทุกคนชอบการแพทย์แผนจีนกัน ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มเรียนกันเถอะ ผมหวังว่าพวกคุณในคลาสจะสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์กลับไปได้บ้างไม่มากก็น้อย จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียเวลาเปล่าที่มาเข้าคลาสของผม”

ฉีเล่ยไม่มีประสบการณ์การสอนมากเท่าไหร่นัก และไม่รู้จักวิธีการเตรียมบทเรียนในการสอนแต่ละคาบด้วย ถ้าจะให้พูดถึงความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างเขากับอาจารย์ท่านอื่น คงเปรียบได้ว่า อาจารย์ท่านอื่นสอนวรยุทธ์ในคัมภีร์ ส่วนฉีเล่ยมุ่งเน้นไปทางการต่อสู้ออกกระบวนจริง

ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ นักศึกษาแพทย์จะได้ออกภาคปฏิบัติหลังจากปีสามเท่านั้น บางคนอาจต้องรอจนกระทั่งเรียนจบปริญญาโทก่อนด้วยซ้ำจึงจะออกไปฝึกงานจริงได้

อย่างไรก็ตาม ฉีเล่ยเองก็พยายามไม่ละทิ้งความรู้เชิงทฤษฎีเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เขาทราบดีว่าทฤษฎีนั้นสำคัญมากเพียงใด โดยเฉพาะกับการแพทย์แผนจีน สิ่งที่นักศึกษาพูดออกมาไม่ควรมาจากการท่องจำ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกมาจากความเข้าใจและรู้จักมันอย่างลึกซึ้ง

มันก็เหมือนกับว่าก่อนเล่มหมากรุกจำเป็นต้องเข้าใจกฎของหมากรุกอย่างทะลุปรุโปร่งเสียก่อน เพื่อจะได้สามารถเลือกใช้หมากให้เหมาะสมกับการเดินในแต่ละตา

ในคลาสเรียนวันนี้ มากกว่าครึ่งห้องเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาฟังเป็นวันแรก ถึงเวลาต้องแสดงศักยภาพกันแล้ว

ฉีเล่ยกล่าวขึ้นว่า

“ก่อนอื่นเลย ผมขอถามคำถามพวกคุณทุกคนสักสองสามข้อ นี่ถือเป็นการทบทวนบทเรียนก่อนและนักศึกษาหน้าใหม่ในวันนี้ก็จะได้ฟังไปในตัวด้วย ไม่จำเป็นต้องยกมือแข่งกันตอบ ผมจะเดินไปถามทีละคนเอง”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เดินไปหยุดตรงหน้านักศึกษาคนหนึ่งและถามขึ้นว่า

“ภาวะPyrexiaคืออะไร? คุณตอบมา”

นักศึกษาคนนั้นกล่าวตอบด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น

“ภาวะเป็นไข้สูง อุณภูมิร่างกายสูงเกินกว่าเกณฑ์ มีอาการกระหายน้ำ เหงื่อออกเยอะ ชีพจรไม่เสถียรครับอาจารย์ ผมจดทุกคำพูดที่อาจารย์สอนในคาบก่อนหน้าได้ทั้งหมด อิอิ”

ฉีเล่ยพยักหน้า

“ดีมาก แม้ผมจะไม่ค่อยสนับสนุนให้นักศึกษาก้มหน้าก้มตาจดเท่าไหร่ แต่ถ้าจดแล้วนำไปทำความเข้าใจต่อนอกห้องเรียน อาจารย์ก็มองว่าเป็นเรื่องดีนะ”

เขาถามคำถามที่สองต่อทันทีว่า

“อาการของผู้ป่วยที่มีเหงื่อออกทั่วศีรษะ รู้สึกหนาวๆร้อนๆ แขนขาเกิดอาการชา สาเหตุเกิดจากอะไร? ไหนเธอลองตอบมา”

นักศึกษาสาวกล่าวตอบไปว่า

“สาเหตุเกิดจากธาตุหยางในร่างกายที่แตกซ่าน จนเกิดภาวะเสียสมดุลในร่างกายค่ะ”

“ถูกต้อง ธาตุหยางเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ เมื่อแตกดับความมืดย่อมคืบคลานเข้ามาแทนที่ คำถามต่อไป ผมจะเริ่มเพิ่มความยากขึ้นแล้วนะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวถามต่อว่า

“สืบเนื่องจากคำถามเมื่อสักครู่ ถ้าเกิดสภาวะธาตุหยางแตกซ่าน ควรเขียนใบสั่งยาสมุนไพรอย่างไรถึงจะเหมาะสม? เหอจื่อตอบมา”

เหอจื่อครุ่นคิดอยู่นานสักพัก เธอกล่าวตอบไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า

“กิ่งอบเชยสองถึงสามแท่ง มาฮวง[1]แปดชั่ง เกลือจืดยี่สิบสามชั่ง ขิงแก่สามชั่ง พุทราอีกสิบสองชั่งค่ะ”

“แน่ใจไหม?”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเหลือบมองไปที่เหอจื่อ

เหอจื่อดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก หลังจากใช้ความคิดไปอีกครู่หนึ่ง เธอก็เปลี่ยนคำตอบทันที

“เปลี่ยนจากเกลือจืดเป็นดอกโบตั๋นสองชั่งค่ะ และเพิ่มชะเอมเทศลงไปอีกสองชั่งด้วยค่ะ”

ฉีเล่ยไม่ได้ให้คำตอบว่า สิ่งที่เธอกล่าวไปถูกหรือผิด แต่กลับยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาแทนและส่ายหัว

“ช้าเกินไป คุณใช้เวลาตั้ง50วินาทีเพื่อเปลี่ยนคำตอบ ถ้าอยู่ในสถานการณ์จริง ผู้ป่วยคงนำสูตรยาจีนแรกไปดื่มและตายตั้งแต่50วินาทีที่แล้ว”

“ขอโทษค่ะอาจารย์…”

ใบหน้าของเหอจื่อเห่อเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ทำได้เพียงยกมือป้องปากหัวเราะเพื่อปกปิดความเก้อเขินนี้

“ปัง!”

ฉีเล่ยตบโต๊ะเสียงดังลั่นและกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“คุณหัวเราะทำไม? ถ้าใบสั่งยาจีนมีปัญหาจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต คุณยังมีหน้าหัวเราะต่อหน้าครอบครัวผู้ป่วยอยู่อีกเหรอ? ขอโทษนะครับนี่ไม่ใช่การเล่นขายของ แต่มันคือการช่วยชีวิต!”

สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยดูผิดหวังอย่างชัดเจน

“คุณควรคิดตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้วว่า หลังเรียนจบไปยังต้องการเป็นแพทย์จริงๆใช่ไหม? ต่อให้ตัวคุณไปเป็นสัตวแพทย์ หนูตายเพียงหนึ่งตัว คุณควรรู้สึกผิดและสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก! เข้าใจไหมครับ?”

“อาจารย์ฉี นี่จะเป็นความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในชีวิตของหนูค่ะ! หนูจะจดจำเรื่องในวันนี้ไปจนวันตาย!”

เมื่อเผชิญหน้ากับฉีเล่ยที่ดุดัน ไม่เพียงแค่เหอจื่อจะไม่ล่าถอยหรือหวาดกลัว แต่เธอกลับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมสบสายตาอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset