ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 88 ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’

ตอนที่88 ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’

เมื่อกลับมาถึงห้องพักอาจารย์ ผ่านไปได้ไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ก้นสัมผัสเก้าอี้ ก็มีเสมียนคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาพร้อมกล่าวว่า

“อาจารย์ฉีคะ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเรียกให้ไปพบที่ห้องทำงานค่ะ”

เสมียนคนนี้ชื่อเสี่ยวเกอ เธอเป็นสาวแว่นหน้าตาน่ารักและดูอ่อนโยนอย่างมาก เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ ดังนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอกับนักศึกษาที่นี่จึงค่อนข้างใกล้ชิด รวมไปถึงอาจารย์ที่เคยสอนเธอมาเช่นกัน เธอมีหน้าที่ดูแลเอกสารในสำนักงานทะเบียนชั่วคราว

ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ฉีเล่ยก็ได้หันไปมองตาแก่ซงเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายในตอนนี้ ดูไม่ต่างจากคนขี้ขลาดคนหนึ่ง

เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์ซี ฉีเล่ยก็พบกับแขกสองคนที่นั่งรออยู่บนโซฟาอยู่

ฉีเล่ยจำหน้าสองคนนี้ได้อย่างแม่นยำ คนหนึ่งคือโห่วเจียนและอีกคนก็คือโห่วเซินกัวผู้เป็นพ่อ

เขายืนยิ้มอยู่หน้าประตูพร้อมถามขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี เรียกผมมาพบเหรอครับ?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่พูดไม่จาใดๆ เพียงผายมือเชิญให้ฉีเล่ยนั่งข้างๆเขาก่อน

“อาจารย์ฉี นักศึกษาคนนี้เป็นเด็กในคลาสคุณ และนี่คือพ่อของเขาคุณโห่วเซินกัว”

คล้อยหลังนั่งลง หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็แนะนำทั้งสองให้ฉีเล่ยได้รู้จัก

ฉีเล่ยลอบสังเกตสีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเล็กน้อย แต่ก็ดูจะไม่มีอะไรผิดแปลก จึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“รองประธานโห่ว พวกเราพบกันอีกแล้วนะครับ”

โห่วเซินกัวพยักหน้าตอบอย่างเฉยชา เขาไม่ต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแข็งกระด้างเกินไปเช่นกัน

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า

“อาจารย์ฉี คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ คุณโห่วต้องการย้ายคลาสเรียนของลูกชายไปลงกันอาจารย์คนอื่นแทน ในฐานะที่อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของคลาสนี้ ดังนั้นผมจึงต้องฟังความเห็นของคุณด้วย”

ถ้อยคำของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีค่อนข้างชัดเจน ที่จริงแล้วเพราะก่อนหน้านี้ โห่วเซินกัวลากลูกชายตัวดีของเขาไปเทศน์สั่งสอนชุดใหญ่ เพราะความเกเรของโห่วเจียนทำให้ถูกฉีเล่ยไล่ออกจากห้องเรียนไปในวันแรก หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะเท่ากับว่าโห่วเจียนนั้นหยุดเรียนเกินกำหนด และขาดสิทธิ์ในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้นโห่วเซินกัวจึงเดินทางมาขอร้องให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซี ช่วยย้ายคลาสเรียนของโห่วเจียนไปยังคลาสอื่นแทน

หากเป็นผู้ปกครองธรรมดาทั่วไปที่เดินทางมาร้องขอแบบนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่มีทางที่จะสนใจอยู่แล้ว แต่อย่างไร โห่วเซินกัวเป็นผู้ปกครองชนชั้นทั่วไปซะที่ไหน? ต่อหน้าคำร้องขอจากบุคคลผู้มีเบื้องหลังแข็งแกร่งปานนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมาพิจารณาไว้

เมืองหลวงอย่างปักกิ่งเปรียบเสมือนสระน้ำขนาดใหญ่ มีหมู่ปลามากมายหลายชนิด บางตัวมีขนาดใหญ่ ส่วนบางตัวมีขนาดเล็กนิดเดียว ทว่ากลับต้องถูกจับให้มาอยู่รวมกันอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าปลาเล็กปลาน้อยกล้าขัดปลาใหญ่ มีหวังโดนกินทั้งเป็นแน่นอน

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่ใช่คนที่มีอำนาจอิทธิพลอะไรมากนัก แต่เขายังคงเข้าใจระดับชนชั้นของสังคมดีและพยายามระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

 ฉีเล่ยได้รับคำแนะนำจากท่านอธิการบดีหลี่และหัวหน้าภาคหลิน ภายใต้ชื่อเสียงและอำนาจของพวกเขาทั้งคู่ ไหนเลยที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะกล้าคัดค้าน แต่ในวันนี้ดันวิ่งมาชนกับโห่วเซินกัวที่ไม่ง่ายเช่นกัน เขาจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้โดยไม่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ทั้งสองฝ่าย

“ครับ ผมอนุญาตครับ”

ฉีเล่ยแสดงความเห็นของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

“ในฐานะอาจารย์ ผมย่อมเคารพการตัดสินใจของลูกศิษย์เป็นธรรมดา ถ้าต้องการย้ายคลาสเรียน ผมก็สนับสนุนครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตกใจ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ฉีเล่ยจะเป็นคนดีขนาดนี้ เดิมทีเขาพยายามคิดวิธีเกลี้ยกล่อมแทบตายเพราะกลัวว่าฉีเล่ยจะหัวรั้นไม่ยอม

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“อาจารย์ฉี ผมได้ยินมาว่าคุณไล่โห่วเจียนขณะสอนอยู่จริงรึเปล่า?”

“ไม่ใช่ครับ”

ฉีเล่ยส่ายหัวและอธิบายต่อว่า

“วันนั้นผมได้อธิบายกฎกติกาทุกอย่างโดยละเอียดให้แก่ลูกศิษย์ทุกคนในคลาสฟัง และบอกไปตามตรงว่า ถ้าใครไม่สมัครใจเข้าเรียนในคลาสของผม ก็ออกไปทำอย่างอื่นจะไม่ได้ต้องมานั่งเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทุกคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาขอเลือกที่จะเรียนกับผมต่อ เว้นแต่โห่วเจียนเพียงคนเดียวที่เลือกจะเดินออกจากคลาสไป เขาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจไม่อยากเรียนกับผม ผมเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยเลยครับ แต่ก็ต้องเคารพสิทธิในการตัดสินใจของลูกศิษย์เป็นหลัก”

“นี่มันหลักสูตรการสอนบ้าบออะไร!?”

โห่วเซินกัวตวาดสวนกลับไปทันทีด้วยความโกรธจัด

“เหตุผลที่ผมส่งลูกชายมาเรียนก็เพื่อให้อาจารย์แบบพวกคุณได้อบรมสั่งสอนเด็กให้อยู่ในกรอบ! แล้วนี่สอนเด็กภาษาอะไรกัน? ยังมีหน้าเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?”

คล้อยหลังได้ยินแบบนี้ ฉีเล่ยหันไปหาโห่วเจียนและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ปีนี้อายุ20แล้วใช่ไหม?”

โห่วเจียนยักไหล่ตอบเพียงว่า

“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบและหันไปพูดกับโห่วเซินกัวว่า

“คุณได้ยินที่ลูกตัวเองตอบไหมครับ? ปีนี้เขาก็อายุ20แล้ว แต่คุณยังจะให้คนอื่นตีก้นสั่งสอนอะไรแบบนั้นอยู่อีกเหรอ? ทั้งๆที่ลูกชายของคุณบรรลุนิติภาวะแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่มีปัญญารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้เลย ถ้าเอาแต่พึ่งอาจารย์ให้ต้องมาโอ๋เป็นพี่เลี้ยงเด็ก หรือพ่อทูนหัวอย่างที่คุณบอก ต่อให้เขาโตจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็คงจะยังไม่มีความรับผิดชอบแน่นอน แล้วที่สำคัญนะครับ ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’ ผมมาที่นี่เพื่อให้ความรู้และประสบการณ์แก่นักศึกษา ไม่ได้มีหน้าที่มาสอนเรื่องความรับผิดชอบให้คนแบบลูกชายของคุณ”

“นาย…”

โห่วเซินกัวแทบจะอาเจียนิออกมาเป็นเลือดสด

“หัวหน้าคณะซี! ดูทัศนคติของผู้ชายคนนี้สิ! คนสันดานแบบนี้ยังเอามาเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?!”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีคลี่ยิ้มอย่างขื่นใจ

“มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า อย่าเพิ่งใจร้อนกันเลยครับ”

พอกล่าวออกไปเช่นนั้น เขาจึงหันกลับมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“อาจารย์ฉี มหาวิทยาลัยของเรามีระบบเช็คชื่อนะ แม้นักศึกษาคนนั้นจะทำคะแนนได้ดี แต่ถ้าขาดเช็คชื่นเกินที่กำหนดก็จะถูกปรับตกเช่นกัน ดังนั้นคุณไม่น่าจะปล่อยให้พวกเขาโดดเรียนแบบนี้เลย”

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจเสียงแผ่ว พลางคิดกับตัวเองว่า ฉันเองก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อคนมันไม่เรียน จะไปบังคับให้ตั้งใจเรียนและเชื่อฟังได้ที่ไหนเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นความคิดของเด็กคนนี้ยังมีความอคติต่อเขาโดยสิ้นเชิง

ฉีเล่ยชี้ไปที่โห่วเจียนและกล่าวอธิบายขึ้นว่า

“ในคลาสเรียนวันแรก ทันทีที่ผมเข้าไปสอน เขาค่อนข้างคลางแคลงใจในคุณสมบัติและฐานะอาจารย์ของผม ซึ่งในจุดนี้ผมเองก็เข้าใจได้ แต่เมื่อพิสูจน์ความสามารถให้เห็นแล้ว เด็กคนนี้ก็ยังเลือกใช้คำหยาบคายต่างๆนาๆสาดใส่ผม แถมระหว่างเรียนยังนั่งโอบนั่งล้วงนักศึกษาหญิงร่วมห้องอย่างเปิดเผย โดยไม่แม้แต่จะสนใจระเบียบวินัยหรือมารยาทในคลาสเลยสักนิด ในตอนนั้นพวกคุณไม่อยู่ จึงไม่เห็นว่าเขาทำเกินไปขนาดไหน มือข้างหนึ่งวางอยู่บนต้นขาของนักศึกษาหญิง สวนอีกข้างก็กำลังกอดคอล้วงบริเวณหน้าอกของเธอ…”

“ไร้สาระ! ผมไม่เคยกอดคอผู้หญิงร่วมห้องเลยสักครั้ง!”

โห่วเจียนตะโกนสวนขึ้นทันทีด้วยความโกรธจัด เขารับไม่ได้แน่นอนที่จะต้องโดนประจานเรื่องน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่

ท่าทีของฉีเล่ยทำราวกับรู้สึกผิดเล็กน้อยและกล่าวว่า

“โอ้ ผมขอโทษครับ ตอนนั้นคงจะตาฝาดไป เด็กคนนี้แค่ล้วงกระโปรงนักศึกษาสาวครับ”

“เขาโกหก! ผมแค่ลูบต้นขาเองเถอะ!”

“….”

โห่วเจียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้หลุดปากพูดอะไรออกไป เขานั่งตัวแข็งทื่อค่อยๆเหลือบไปมองสีหน้าท่าทางของพ่อในตอนนี้ทันที

โดยไม่ต้องรีรอ โห่วเซินกัวหันขวับจ้องตาลูกชายเขม็งพร้อมหวดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายสุดแรง

เพี๊ยะ!

“ไอ้ลูกเวร! ทำไมฉันถึงมีลูกอย่างแกได้! ซวยชิบหาย!”

ทั่วทั้งใบหน้าของโห่วเซินกัวบ่งบอกว่ากำลังโมโหสุดขีด แม้ว่าจะได้หวดตบใบหน้าของลูกตัวเองไปแล้วหนึ่งฉาด แต่ความโกรธที่จุกแน่นอยู่ในอกยังไม่มีทีท่าว่าจะลดละ และอยากจะตวัดฝ่ามือตบหน้าลูกตัวเองอีกสักที

ฉีเล่ยไม่มีเวลามาสนใจเรื่องตลกระหว่างพ่อลูก เขาหันไปพูดกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีว่า

“ตอนนี้คุณเองก็น่าจะทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นดีแล้ว ผมคิดว่า พฤติกรรมของโห่วเจียนอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนของนักศึกษาคนอื่นๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้เห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ประจักษ์ต่อสายตาตัวเองแล้ว เขาคลี่ยิ้มขื่นกล่าวตอบไปว่า

“แต่อาจารย์ก็มีหน้าที่สอนนักศึกษาเท่านั้น คุณก็ไม่ควรไปเสนอทางเลือกแบบนั้นถูกตรงไหมครับ?”

“ผมกลับไม่คิดแบบนั้นนะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“เราทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนโตกันหมดแล้ว ทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตและวิธีคิดเป็นของตัวเอง เอาแต่ตีกรอบล้อมพวกเขาไว้อาจจะทำร้ายอนาคตของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เด็กคนนี้เลือกที่จะเป็นอันธพาลก็ตาม เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอิสระของเขาได้”

พอสิ้นเสียงพูดจบ ฉีเล่ยก็หันไปมองสองพ่อลูกสกุลโห่วและกล่าวเสริมว่า

“ยิ่งไปกว่านั้น ในวัยรุ่นแบบนี้แทนที่จะบอกให้คนเป็นอาจารย์หัดสั่งสอนเลี้ยงดู ผมว่าควรแก้ไขตั้งแต่สภาพแวดล้อมในครอบครัวดีกว่าไหมครับ?”

“….”

ใบหน้าของโห่วเซินกัวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ชั่วขณะนั้นเองก็กล่าวขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี เปลี่ยนคลาสเรียนให้ลูกชายผม”

ขืนเขายังจะให้ลูกเรียนอยู่ในคลาสของฉีเล่ย มีหวังโดนอาจารย์คนนี้เล่นงานจนตายแน่นอน…

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset