ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 90 หลินชูวโม่

เธอเป็นสาวสวยที่ดูร่าเริงมากทีเดียว

เป็นสาวทรงโตดูอวบอิ่มแต่ไม่ใช่อ้วน ดูเหมือนเธอจะภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับขนาดของหน้าอกหน้าใจของตัวเอง เอวโค้งเว้าได้ทรงสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ

ใครก็ตามที่พบเจอหญิงสาวคนนี้เข้า สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจที่สุดคงไม่พ้นหน้าอกและบั้นท้ายของเธอ

หญิงสาวล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ยกมือถูไถช่วงเอวด้วยความเจ็บปวด พร้อมใช้มือข้างหนึ่งปกปิดบริเวณร่องอกไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บไม่ต่าง เพราะเมื่อครู่ฉีเล่ยเองก็รีบถอยหลังอย่างเร็วเกินไปจนเท้าพลิก ส่วนเธอเองที่ใส่ส้นสูงนั้นดูเหมือนจะบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน ส่วนมือถือที่กำลังคุยอยู่ก็กระเด็นตกลงบนพื้น และยังมีเสียงผู้ชายจากปลายสายดังขึ้นเป็นระยะ ‘ฮัลโหล ฮัลโหล’

เห็นได้ชัดว่าเธอเองกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เมื่อครู่จึงไม่ทันได้ระวังตัวเช่นกัน

ระหว่างที่สาวสวยคนนี้ล้มลง เข่าของเธอดันไปถูกับพื้นดินจนเกิดเป็นแผลถลอกมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา ฉีเล่ยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความกังวลทันที

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

“ไม่เจ็บเลยมั้ง? น่าจะเห็นแล้วนะคะ”

สาวสวยคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจ้องฉีเล่ยตาเขม็ง เค้นเสียงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนัก

ฉีเล่ยอธิบายเจือท่าทีเก้อเขินเล็กน้อยว่า

“เห็นครับ ผิวหนังเกิดอาการถลอก ผมกลัวว่ามันจะกระทบไปถึงกระดูกของคุณ…”

“ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้น”

สาวสวยคนนั้นปัดฝุ่นบนกระโปรงเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมาให้ฉีเล่ย

“ช่วยฉันหน่อย”

ฉีเล่ยดึงเธอขึ้นมา แต่พลันเห็นเธอขมวดคิ้วแน่นเนื่องจากแสบแผลบริเวณหัวเข่า

ฉีเล่ยกล่าวเสนอขึ้นทันทีว่า

“ให้ผมช่วยทำแผลก่อนดีกว่าครับ ถ้าเกิดการอักเสบขึ้นมาอาจเป็นแผลเป็นได้ครับ”

สาวสวยจ้องมองมาทางเขาและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยพาฉันไปห้องพยาบาลก่อน”

“ไม่จำเป็นครับ ตรงนี้นี่แหละ”

ฉีเล่ยยิ้มตอบ

หลังกล่าวจบ ภายใต้สีหน้าประหลาดใจของหญิงสาว ฉีเล่ยก็หยิบขวดยาขนาดพกพาออกมาจากกระเป๋าของตนเอง พร้อมเปิดขวดเทยาลงบนสำลีก้อนและทำท่าจะประคบลงบนแผลที่เข่าของหญิงสาวอย่างระมัดระวัง

“เดี๋ยวก่อนนะ”

สาวสวยร้องอุทานขึ้นทันที

“นี่ยาอะไร? ใช่ยาทำแผลจริงๆใช่ไหม?”

“ใช่สิครับ”

ฉีเล่ยหัวเราะ เพราะยาดังกล่าวเป็นผงยาบดสีดำ ไม่ว่าใครเห็นก็ชวนสงสัยอยู่หรอก ไม่รีรออันใด เขากดสำลีก้อนลงบนแผลของหญิงสาวทันที

“อ๊ะ…”

สาวสวยสูดลมหายใจเย็นเข้าไประงับอาการแสบ

“อดทนหน่อยครับ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

ซึ่งฉีเล่ยไม่ได้โกหกเธอจริงๆ หลังจากประคบยาผงตัวนี้เข้าไปเพียงครู่เดียว เธอก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ระงับอาการเจ็บปวดได้เท่านั้น เธอยังรู้สึกเย็นสบายบริเวณบาดแผลอย่างมากด้วย

“อืม สบายดีจัง”

ฉีเล่ยที่กำลังเก็บขวดยาลงกระเป๋า พลางกล่าวขึ้นว่า

“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?”

สาวสวยคนนั้นลองกระทืบเท้าดูสองสามที ก่อนพยักหน้าตอบว่า

“ไม่เจ็บแล้วแฮะ ดีขึ้นทันตาจริงๆ นี่มันยาอะไรกันคะ?”

“นี่เป็นยาที่ผมทำขึ้นมาเอง”

ยาผงสีดำนี้เป็นยาทาแผลภายนอกที่ฉีเล่ยเป็นคนปรุงด้วยตัวเอง ยาจีนล้วนมีประโยชน์มากมายสารพัด ที่เขาปรุงยาขวดนี้ขึ้นมาก็เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินเวลาเกิดเรื่องขึ้นข้างนอกแบบนี้นี่ล่ะ และผงยานี้ก็มีชื่อว่า ผงคางคกเย็น

ผงคางคกเย็นค่อนข้างใช้เวลาปรุงนานและสมุนไพรวัตถุดิบที่ใช้ก็มีราคาสูงมาก แต่เนื่องจากครั้งนี้เขาดันไปชนอีกฝ่ายจนบาดเจ็บเสียเอง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยิบสมบัติชิ้นนี้ขึ้นมารักษา

เมื่อเห็นว่าสาวสวยคนนั้นไม่เป็นอะไรแล้ว ฉีเล่ยก็เอ่ยกำชับเตือนว่า

“ในช่วงสองถึงสามวันนี้อย่าเพิ่งออกกำลังกายหนักมากนะครับ ตราบใดที่แผลไม่ฉีก ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้”

“ฉันขอดูยาขวดนั้นของคุณหน่อย”

“….”

“ขี้เหนียวจัง นี่ฉันเป็นอาจารย์นะ จะกล้าขโมยสูตรยาของคุณได้ยังไง”

สาวสวยคนนั้นส่งสายตาค้อนให้ฉีเล่ย

ฉีเล่ยหัวเราะพร้อมตอบไปว่า

“ต่อให้ผมบอกสูตรกับวิธีปรุงยาไป คุณก็ไม่มีทางหาซื้อสมุนไพรและวัตถุดิบได้หรอกครับ”

เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นเหลือรองเท้าส้นสูงเพียงแค่ข้างเดียว และเพิ่งสังเกตเห็นว่ารองเท้าอีกข้างกระเด็นไปทางฉีเล่ยตอนล้มลงไป เธอจึงกล่าวขึ้นว่า

“ช่วยหยิบรองเท้าส้นสูงตรงนั้นให้ฉันหน่อย”

ฉีเลยหยิบรองเท้าไปสวมให้เธอ พอเห็นอาการบวมขึ้นเล็กน้อยบริเวณเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมาถามว่า

“คุณเดินไหวไหม?”

สาวสวยกรอกตาใส่อีกระลอกและกล่าวว่า

“เดินไม่ไหวหรอก…สงสัยคุณต้องให้ฉันขี่หลังแล้วล่ะ”

“คง…คงไม่ได้หรอก…”

ใบหน้าของฉีเล่ยแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แล้วจู่ๆสาวสวยคนนั้นก็ค่อยๆนั่งยองๆลงต่อหน้าต่อตา ซึ่งมุมดังกล่าวมันทำให้เขา…เห็นใต้กระโปรงของเธอ

“หื้ม? อยากดูเหรอ? ขอฉันสิ แล้วฉัน…จะให้ดูเท่าที่อยากเลย”

“ไม่ครับ ไม่ต้อง!”

ฉีเล่ยรีบส่ายหน้าตอบทันควัน

“ไม่อยากดูจริงๆเหรอ?”

ขณะที่ร้องถาม จู่ๆสาวสวยก็เปิดกระโปรงขึ้นต่อหน้าเขาทันที

“เฮือก!”

ฉีเล่ยยกมือปิดจมูกแทบไม่ทันเพราะกลัวว่าเลือดกำเดาจะพุ่งออกมา

สาวสวยคนนั้นปิดกระโปรงลง สีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย

“อะไรกัน? ไม่อยากดูเหรอ?”

ฉีเล่ยหัวเราะเสียงแห้งดูขมขื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวนะครับ”

“ใครบอกว่าฉันไม่เป็นอะไร?”

สาวสวยคนนั้นจ้องมองมาทางเขาอีกครั้ง

“สุดหล่อ พี่สาวคนนี้เจ็บเท้าจัง ช่วยอุ้มฉันไปหน่อยสิ”

“….”

“ชิ…”

สายสวยคนนั้นกลอกตาใส่ ขณะเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่ตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลขึ้นมา

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นจึงช่วยก้มไปหยิบให้แทน ปลายสายมือถือเครื่องนั้นที่ยังโทรค้างไว้อยู่ก็ดังขึ้นว่า ‘อาจารย์หลิน อาจารย์หลิน? เกิดอะไรขึ้นครับ?’

ฉีเล่ยปัดฝุ่นบนหน้าจอมือถือเบาๆ พลางยกไว้ข้างหูเพื่อฟังเสียงว่ายังได้ยินใช่ไหม พร้อมถอนหายใจกับตัวเองอย่างโล่งอกว่า

“โชคดีที่ไม่ได้ทำพังแฮะ”

สาวสวยเฝ้ามองท่าทางของอีกฝ่าย เธอถึงกับหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้นว่า

“ทำไมคุณน่ารักจัง?”

“ผมแค่ต้องการตรวจสอบว่า มือถือของคุณไม่ได้พังใช่ไหม ถ้าพังผมก็ต้องรับผิดชอบซื้อให้ใหม่”

“แต่เข่าฉันพังแล้วนะ จะเปลี่ยนเข่าใหม่ให้เหรอ?”

สาวสวยชี้ไปที่หัวเข่าของเธอ

ฉีเล่ยกล่าวเสนอขึ้นทันทีด้วยความเต็มใจว่า

“เอ่อ…คุณต้องการให้ผมชดใช้เท่าไหร่ครับ? แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนเข่าใหม่ ผมมีแค่สองข้าง…มีให้เลือกข้างซ้ายกับขวานี่แหละครับ”

เขาพลางคิดไปว่า แม้บาดแผลของเธอจะหายดีแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถลบล้างความจริงที่ว่าฉีเล่ยทำให้เธอบาดเจ็บได้

สาวสวยคนนั้นยกมือทั้งสองข้างกุมท้องแน่น พร้อมกับระเบิดหัวเราะลั่นจนเกือบหายใจไม่ทัน

“ฮ่าฮ่าๆๆ…โอ้ย…ฮ่าฮ่าๆ…แม่จ๋า… ไม่ไหวแล้ว…หัวเราะจนจะขาดใจแล้ว! ฮ่าฮ่าๆๆ…นี่คุณ…ฉันไม่ต้องการทั้งเงินหรือเข่าของคุณหรอกนะ แต่ว่า…ต้องจ่ายด้วยอย่างอื่น”

“ต้องการให้ชดใช้ยังไงครับ?”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ตอบคำถามฉันสักสองสามข้อก่อน”

สาวสวยคนนั้นเริ่มคำถามแรกทันที

“คุณชื่ออะไร?”

“ฉีเล่ย”

“เป็นนักศึกษาแพทย์ของที่นี่เหรอ?”

“เปล่าครับ เป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน”

พอได้ยินแบบนั้น หญิงสาวก็กวาดสายตาสำรวจตรวจสอบฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางส่ายหัวตอบว่า

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะมีอาจารย์อายุน้อยแบบนี้ ช่างเถอะ ฉันเชื่อคุณตั้งแต่เรื่องยาแล้ว ถ้าอย่างงั้น…เบอร์ล่ะ?”

“ครับ? เบอร์? เบอร์มือถือ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่โทรรบกวนคุณหรอก แต่ถ้าเข่าฉันเกิดเป็นอะไรรุนแรงขึ้นมา จะได้โทรตามให้คุณมารับผิดชอบไง”

ฉีเล่ยถอนหายใจใส่เฮือกหนึ่งอย่างไม่เต็มใจนัก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกเบอร์โทรศัพท์ให้หญิงสาวไป

หลังจากกดบันทึกเบอร์แล้ว สาวสวยคนนั้นก็กดโทรออกไปทันที เมื่อได้ยินเสียงมือถือในกระเป๋าฉีเล่ยดังขึ้น เธอจึงค่อยพยักหน้าดูพึงพอใจ

“เอาล่ะ ทีนี้คุณก็หนีฉันไม่พ้นแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว”

“จ๊ะสุดหล่อ ถ้าอย่างงั้นก็ไปส่งฉันที”

“ส่ง? ส่งไปไหนครับ?”

“ก็ต้องส่งกลับที่ทำงานน่ะสิ ฉันอยู่อาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน”

“คงไม่สะดวกเท่าไหร่ครับ”

เมื่อฉีเล่ยกล่าวปฏิเสธไป เธอก็เอาแต่พูดซ้ำๆว่า ตัวเองเจ็บเข่าเดินไม่ไหว และต้องการให้ฉีเล่ยช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเขาก็เห็นๆอยู่ว่าเธอสบายดี อย่าว่าแต่เดินเลย ขนาดวิ่งก็น่าจะยังไหว

แต่เธอไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นฉีเล่ยปฏิเสธหัวชนฝา ก็แกล้งทำเป็นล้มใส่เขาทันทีพร้อมกับโอบกอดแน่นราวกับชีวิตนี้จะไม่ปล่อยเขาไปไหน ถ้าคนภายนอกมาเห็นเข้าคงจินตนาการไปไกลว่า ทั้งสองเป็นคู่รักกัน

และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันฉีเล่ยก็มีข่าวฉาวมากพอแล้ว ถ้านักศึกษาหรืออาจารย์ที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า มีหวังคงต้องกลายเป็นขี้ปากอีกแหงๆ

ยังคิดได้ไม่ทันไร จู่ๆฉีเล่ยก็ได้ยินเสียงซุบซิบกันแต่ไกลว่า

“นี่ นี่ ดูนั่นสิ! นั่น…หลินชูวโม่ไม่ใช่เหรอ? อาจารย์หลินคนนี้ก็มาเหนือตลอด เปลี่ยนคู่ควงไม่เคยซ้ำหน้าเลย”

“นี่ยังไม่ชินอีกเหรอ? ถ้าเธอไม่เปลี่ยนนี่แหละแปลก! แต่…จะว่าไปแล้วทำไมผู้ชายคนนั้นหน้าคุ้นจัง?”

“นั้นสิ…ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?”

“หน้าตาของผู้ชายคนนี้คุ้นมาก แต่เอาเถอะ ใครก็ตามที่ถูกอาจารย์หลินเข้าไปพัวพัน ถึงจะรอดออกมาได้ แต่คงจบไม่สวยแน่นอน”

“หมายความว่ายังไงเพื่อน?”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset