ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 93 แม่ป่วยเหรอ?

ตอนที่93 แม่ป่วยเหรอ?

เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เฉยเมยของหลี่ถงซีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีเล่ยก็ไม่มั่นใจว่า เป็นเพราะหญิงสาวไม่ใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ หรือเป็นเพราะเธอมีอาการป่วยทางจิตที่นานเกินไป จนส่งผลให้หญิงสาวไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่เป็นอยู่ออกมาทางสีหน้าได้

“ผมว่าพวกเราควรจะจัดการสะสางปัญหาเรื่องนี้ให้ชัดเจนซะที?”

“ทำยังไง?”

“ก็ประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า ความจริงพวกเราสองคนเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน แล้วก็บอกความจริงทั้งหมดให้ทุกคนได้รู้”

ฉีเล่ยเอ่ยแนะนำหญิงสาวต่อว่า “หลังจากความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย คนที่ไปเที่ยวพูดเรื่องอาจารย์คบหากับลูกศิษย์ ก็จะได้หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องกันซะที เรื่องอื้อฉาวบ้าๆนี่ก็จะได้จบลง!”

“แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?” หลี่ถงซีเงยหน้าขึ้นถามฉีเล่ยทันที

“ก็ถ้าไม่อธิบายความจริงให้ทุกคนเข้าใจ เรื่องนี้ก็ต้องส่งผลกระทบถึงชื่อเสียงของคุณไม่ใช่เหรอ?”

“ก่อนเรื่องนี้พวกเขาก็ว่าฉันเย็นชาเป็นน้ำแข็ง แต่ตอนนี้ก็ว่าฉันคบหากับลูกศิษย์ทำเรื่องผิดศีลธรรม เดี๋ยวหมดเรื่องนี้ไป ก็มีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก” หลี่ถงซีตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“…..”  ฉีเล่ยได้แต่นิ่งเงียบไม่สามารถโต้เถียงได้

เพราะไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องมีคนพูดเพ้อเจ้อไร้สาระไม่หยุดอยู่ดี อยู่นิ่งๆไม่มีเรื่องอื้อฉาว คนก็มองว่าผิดปกติ แต่พอมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา คนก็มองว่าผิดปกติอีก หลังจากแก้ข่าวเรื่องนี้ ข่าวใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามอีก หากมัวแต่ตามแก้ข่าวไร้สาระ ชีวิตก็คงจะมีแต่เรื่องวุ่นวายมากทีเดียว

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เขาหันไปถามหลี่ถงซีเรื่องอื่นแทน “คุณรู้จักหลินชูวโม่ไหม?”

ในที่สุดใบหน้าของหลี่ถงซีก็กลับมามีอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับย้อนถามชีเล่ยกลับไปแทน “ทำไม? นายรู้จักเธองั้นเหรอ?”

“ก็ไม่เชิง วันนี้ผมบังเอิญไปเดินชนเธอเข้าน่ะสิ… แต่ก็ชนเข้าแค่ครั้งเดียว”

“ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเธอใช่ไหม?” หลี่ถงซีร้องถามขึ้นทันที

“ทำไมถามแบบนั้น?” ฉีเล่ยอยากจะรู้คำตอบมาก

“ก็… เธอไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรนัก”

“ไม่ดียังไง?”

“เอ่อ…”

“คุณไม่กล้าพูดงั้นเหรอ?”

“…”

เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวที่อายไม่กล้าจะพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา ฉีเล่ยก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า จิตใจของหญิงสาวมีการกระเพื่อมไหว ไม่ได้แน่นิ่งเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อาการของหญิงสาวค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น

หากกดดันมากไปก็จะกลายเป็นการต่อต้าน ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นภายในใจของหลี่ถงซีนั้น ยังคงโอนเอนไม่มั่นคง หากปล่อยให้ความไว้วางใจนี้ถูกทำลายลง แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยทางใจของเธอ อาจทำให้อาการป่วยของหญิงสาวกำเริบขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ความพยายามที่ผ่านมาของทั้งเขาและเธอ ก็จะกลายเป็นการสูญเปล่า

…….………..…

คลาสเรียนในบ่ายวันศุกร์

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อน ฉีเล่ยจึงได้เตรียมตัวเตรียมใจไปก่อนจะเดินเข้าห้องสอน แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ก็ทำให้เขาอดที่จะตกใจอีกครั้งไม่ได้

นั่นเพราะภายในห้องเรียนขนาดใหญ่นั้น ไม่เพียงอัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่เมื่อมองไปรอบๆ ฉีเล่ยยังพบว่า หลายคนถึงกับยกเก้าอี้เข้ามาเอง เพราะเก้าอี้ในห้องนั้นนั่งกันเต็มจนไม่มีเหลือ

โห่วเจียนได้ย้ายคลาสเรียนไปแล้ว เขาหายไปหนึ่งคน แต่กลับมีนักศึกษาใหม่เข้ามาเพิ่มอีกว่าสองร้อยคนแทน…

และเวลานี้ ภายในคลาสเรียนก็มีนักศึกษาเพิ่มจากจำนวนเดิมถึงสามเท่าตัว

ฉีเล่ยก้าวขึ้นไปบนเวทีด้านหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาแก้เก้อ ก่อนจะร้องบอกกับนักศึกษาทุกคนในห้องว่า “ถ้าพวกคุณต้องการจะเข้ามาฟังการบรรยาย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่าพวกคุณจะมาจากสายไหน ทุกคนต่างก็จ่ายค่าเล่าเรียนให้กับทางมหาวิทยาลัยไปแล้ว เพราะฉะนั้น พวกคุณทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ามานั่งฟังการบรรยายของผม”

ฉีเล่ยหยุดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ถ้าพวกคุณมาที่ห้องนี้ เพื่อที่จะมานั่งดูผม ผมคงต้องขออนุญาตเก็บเงินเพิ่ม ความหล่อของผมควรจะต้องมีมูลค่าบ้างไม่ใช่เหรอ? ใช่ว่าจะมาขอดูกันฟรีๆได้!”

“ฮ่าๆๆๆ”

ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับอารมณ์ขันของฉีเล่ย

บรรยากาศในคลาสเรียนเป็นไปอย่างผ่อนคลายสบายๆ และนั่นยิ่ทำให้ฉีเล่ยกลายเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักศึกษา บางคนถึงกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปของเขาที่ยืนสอนอยู่บนเวทีไว้

ฉีเล่ยยกมือขึ้นโบกไล่ พร้อมกับพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงได้กลายเป็นที่นิยมชื่นชอบของนักศึกษา แต่ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ สิ่งแรกที่ผมต้องทำในฐานะครูก็คือการสอน เพราะฉะนั้น ใครที่เข้ามาในห้องเพียงแค่ต้องการจะมาดูผม ขอเชิญออกจากคลาสเรียนของผมได้แล้ว และสามารถกลับมาใหม่ได้หลังจบคลาส!”

“ฮ่าๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของเหล่านักศึกษาดังขึ้นอีกระลอก

“อาจารย์ฉีคะ อาจารย์ใช่เด็กหนุ่มในรูปที่ลือกันว่าเป็นแฟนของอาจารย์หลี่ป่าวคะ? หนูดูรูปที่โพสอยู่ในกระทู้ของทางเวปไซต์ เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าเมือนอาจารย์มากเลยค่ะ!” นักศึกษาสาวคนหนึ่งร้องตะโกนถามออกมา

เหอจื่อที่นั่งอยู่แถวแรกตามเคย ได้แต่จ้องมองใบหน้าของฉีเล่ยแน่นิ่ง และเธอก็กำลังรอคอยคำตอบของอาจารย์หนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ เวลานี้ มือทั้งสองข้างของเธอกำชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ใช่!”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ผมกับอาจารย์หลี่ไม่ใช่แฟนกัน อาจจะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนปกติ แต่ไม่ใช่คนรักอย่างแน่นอน!”

“ผมไม่เชื่อหรอกอาจารย์! ที่ผู้หญิงกับผู้ชายจะเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท แต่ไม่ใช่คู่รัก ยุคนี้ ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายยังมีมิตรภาพที่บริสุทธิ์แบบนั้นเหลืออยู่เหรอครับ?” นักศึกษาหนุ่มด้านล่างเริ่มส่งเสียงก่อนกวนอย่างซุกซน

ฉีเล่ยฟังแล้วได้แต่ตอบกลับไปว่า “นี่นายเองก็มีเพื่อนผู้หญิงตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ? แล้วนายต้องมีอะไรกับเพื่อนผู้หญิงของนายทุกคนรึเปล่า? อีกอย่าง ถ้าระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายมีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ไม่ได้อย่างที่นายพูด แล้วถ้านายต้องตกหลุมรักเพื่อนนักศึกษาหญิงในคลาสทุกคน นายไม่ต้องกลายเป็นคนไร้ศีลธรรมไปแล้วเหรอ?”

“เอ่อ..” นักศึกษาหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้เถียงฉีเล่ยได้

ฉีเล่ยพูดต่อทันที “อ่อ แล้วเรื่องข่าวลือที่ทุกคนกำลังสงสัย ผมอยากให้พวกคุณเลิกสนใจ แล้วก็เลิกยุ่งได้แล้ว! พวกคุณลองคิดดู ถ้าอาจารย์หลี่เป็นแฟนผมจริงๆ ผู้หญิงสวยขนาดนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ยอมรับว่าเธอเป็นแฟน ถ้าข่าวลือนั่นเป็นความจริง และที่สำคัญ ผมก็ไม่ใช่คนชั่วช้าที่จะไม่ยอมรับ แล้วปล่อยให้ผู้หญิงต้องเผชิญกับข่าวลือบ้าๆนั่นตามลำพัง แล้วถ้าผมไม่กล้าแม้แต่จะออกมายอมรับเพื่อปกป้องแฟนตัวเอง ผมก็สมควรที่จะเป็นผู้ชายหน้าตัวเมียไร้ความรับผิดชอบสินะ?”

แปะๆๆๆ

เสียงปรบมือของบรรดานักศึกษาสาวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง นั่นเพราะคำพูดของฉีเล่ยได้ทำให้พวกเธอประทับใจเป็นอย่างมาก

“อาจารย์ฉี ไหนๆอาจารย์ก็โสดอยู่ มาเป็นแฟนกับหนูมั๊ยคะ?” นักศึกษาสาวใจกล้าคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

ต่อหน้าอาจารย์หนุ่มๆ นักศึกษาสาวมักจะชอบฉวยโอกาสพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ แต่ถ้าคุณจริงจัง นักศึกษาสาวเหล่านั้นก็จะรีบถอยหนีทันที

“เดี๋ยวๆ นั่นเธออายุเท่าไหร่กัน?”

ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวใจกล้านั้นไม่ได้อยู่ในคลาสของเขาตั้งแต่แรก น่าจะเป็นนักศึกษาจากคณะอื่นมานั่งฟังบรรยายด้วยเท่านั้นเอง

“อะไรคะอาจารย์ หนูโตแล้วนะ!” นักศึกษาสาวร้องตะโกนตอบหลินหนาน พร้อมกับลุกขึ้นยืนแอ่นอกอย่างท้าทาย

เท่านั้นล่ะ เสียงกรีดร้อง และเสียงผิวปากก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง

ฉีเล่ยถึงกับต้องหันไปตบกระดานด้านหลังเสียงดัง พร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า “เอาล่ะๆ สนุกสนานกันพอแล้ว ผมขอบอกกับทุกคนอีกครั้งว่า ผมไม่ใช่แฟนของอาจารย์หลี่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองยังโสดนะครับ! เอาล่ะ เริ่มเข้าสู่บทเรียนกันได้แล้วทุกคน ส่วนใครที่มาดูเอามันส์ก็เชิญออกจากห้องได้แล้ว การแสดงจบลงแล้ว!”

แต่กลับไม่มีนักศึกษาคนไหนเดินออกเลยแม้แต่คนเดียว

ฉีเล่ยรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ นี่ถ้าต่อไปยังมีนักศึกษาเข้ามาฟังบรรยายมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ต้องไปใช้ห้องประชุมในการสอนเลยเหรอ?

คลาสหลักสูตรการสอนวินิจฉัยโรคในบ่ายวันศุกร์นี้ จบลงในสองคาบสุดท้ายของช่วงบ่าย ฉีเล่ยจึงสามารถเดินไปรอหลี่ถงซีเพื่อกลับบ้านพร้อมกันได้

แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะเดินออกจากคลาสนั้น เหอจื่อก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามไปทันที

“อาจารย์ฉี!!” หญิงสาวร้องตะโกนเรียกจากด้านหลัง

ฉีเล่ยหันหลังกลับไปพร้อมกับร้องถามว่า  “มีอะไรเหรอ?”

หญิงสาวคนนี้มีความรู้ในเรื่องการแพทย์แผนจีนค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ ด้วยพรสวรรค์ของเหอจื่อในด้านนี้ ฉีเล่ยจึงตั้งใจที่จะส่งเสริมให้เธอเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเธอเอง ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องเสียดายเป็นอย่างมาก

อีกทั้งที่ผ่านมา แม้เหอจื่อจะถูกเขาดุซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมย่อท้อ ดูเหมือนเธอจะรัก และหลงไหลในการแพทย์แผยจีนอย่างมากทีเดียว

“อาจารย์ฉี คืนนี้อาจารย์ว่างป่าวคะ?”

เหอจื่อยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นรูปพระจันทร์ยิ้ม ที่แก้มขาวนวลทั้งสองข้างปรากฏลักยิ้มบุ๋มให้เห็นอย่างชัดเจน

ฉีเล่ยร้องถามด้วยความตกใจ “นี่แม่เธอป่วยงั้นเหรอ?”

“……”

แม่ป่วยๆ อะไรก็แม่ป่วยอยู่นั่นล่ะ? แม่ใครจะป่วยได้ทุกวัน!

เหอจื่อได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ปากก็ร้องตอบฉีเล่ยไปว่า “ไม่ค่ะอาจารย์ฉี แม่ของหนูสบายดี!”

“อ้าว งั้นมีเรื่องอะไร?”

“คืออย่างนี้ค่ะอาจารย์ วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนในคลาสที่ชื่อว่าจ้าวหยวนหยวน เธอได้จองห้องคาราโอเกะไว้ แล้วก็เชิญเพื่อนๆไปร่วมเกือบหมด เธออยากให้อาจารย์ได้ไปสนุกผ่อนคลายบ้าง..”

ปกติแล้ว นักศึกษามักจะไม่ชวนอาจารย์ไปร่วมงานวันเกิดนัก เพราะพวกเธอยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว อาจารย์อาจจะไปสร้างความอึดอัดให้กับงาน ทำให้งานกร่อยได้

แต่ฉีเล่ยนั้นก็ไม่ได้อายุมากจนถึงขั้นแก่กว่านักศึกษามากเท่าไหร่ อีกทั้งยังได้รับความนิยมชมชอบจากนักศึกษาในคลาสมาก การได้รับเชิญจากนักศึกษาให้ไปร่วมงานฉลองวันเกิดด้วย เขาในฐานะอาจารย์ จึงรู้สึกว่านี่เป็นการบ่งบอกถึงการเป็นที่ยอมรับของตนเองในหมู่นักศึกษา

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset