ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 98 เกิดอะไรขึ้น?

ตอนที่98 เกิดอะไรขึ้น?

“ถ้าพวกเขาไม่ใช่นักศึกษา ป่านนี้คงพิการกันไปนานแล้ว”

ชายวัยกลางคนเอ่ยกล่าว

“ปล่อยพวกเขาไปซะ”

ฉีเล่ยกล่าวต่ออีกว่า

“ผมคือโจทย์ของหม่ารุ่ย คนอื่นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”

“ได้”

จู่ๆชายวัยกลางคนก็พยักหน้าตอบอย่างมีความสุขทันที

“ฉันเองก็ไม่อยากยุ่งกับเด็กพวกนี้เหมือนกัน”

ฉีเล่ยได้ฟังดังนั้นก็เหลียวหลังกลับไปตะโกนบอกพวกลูกศิษย์ว่า

“จินเซิง พาทุกคนออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

จินเซิงกัดฟันแน่นปฏิเสธยืนกรานปฏิเสธอย่างดื้อดึง และหันไปบอกเหอจื่อว่า

“เหอจื่อ เธอพาทุกคนออกไปก่อน! ฉันจะอยู่ที่นี่ช่วยอาจารย์ฉีสู้กับคนพวกนี้เอง!”

ถึงคราวของเหอจื่อกล่าวบ้าง เธอหันไปสั่งหยวนหยวนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“หยวนหยวน พาทุกคนออกไปก่อน”

ครั้งนี้ถึงคราวของจ้าวหยวนหยวน เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ พร้อมกล่าวทั้งน้ำตาว่า

“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น! ถ้าไปก็ไปด้วยกันสิ!”

“ใช่แล้ว! อยากแตะต้องตัวอาจารย์ฉีขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้างั้นก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน!”

“ไอ้พวกบัดซบ! เข้ามา!!”

“….”

ฉีเล่ยปั่นป่วนท้องจนแทบจะระเบิดออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของบรรดาลูกศิษย์ พวกนายเข้าใจบ้างไหมว่า ยิ่งอยู่เป็นภาระตรงนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสร้างความลำบากให้ตัวฉันมากขึ้นเท่านั้น?

แต่ถึงอย่างนั้น ก็แทบไม่มีทางเลยที่เขาจะเกลี้ยกล่อมเด็กพวกนี้ได้ ในฐานะอาจารย์ของพวกเขา ฉีเล่ยกล้าพูดได้เต็มปากว่า ลูกศิษย์พวกนี้ทั้งเลือดร้อนและหัวรั้นมากกว่าใคร เรียกได้ว่า ยิ่งไล่ก็เหมือนยิ่งยุ

เขามองย้อนกลับไปที่บรรดาลูกศิษย์ของตนก่อนจะหันไปจับจ้องหม่ารุ่ย พลางคิดกับตัวเองว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนายแท้ๆ และเหตุการณ์ต่อจากนี้คงไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว

ชายวัยกลางคนที่สังเกตเห็นดังนั้นก็กล่าวกับฉีเล่ยว่า

“อาจารย์ที่สามารถชักจูงให้ลูกศิษย์เชื่องได้ขนาดนี้ นับว่าน่าชื่นชมจริงๆ”

“อย่ามาสรรเสริญเยินยอกันหน่อยเลย”

ฉีเล่ยกางมือกางเท้าเตรียมที่จะสู้ต่อ แม้ดูผิวเผินอาจเห็นเขากำลังยิ้มอยู่ก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เมื่อครู่อีกฝ่ายยั้งมือเอาไว้เพราะไม่ต้องการจะทำร้ายเด็กนักศึกษา แต่คราวนี้กลับเป็นกลุ่มเด็กๆเสียเองที่สมัครใจจะอยู่ต่อ อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป เบื้องหน้าของเขามีศัตรูมากเกินไป ทั้งยังมีจำนวนลูกศิษย์ที่ต้องปกป้องมากเกินไปเช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจัดการคนพวกนี้ แต่กลับไม่ง่ายเช่นกันที่ต้องคอยปกป้องลูกศิษย์ในเวลาเดียวกัน

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายวัยกลางคนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยปากเสนอขึ้นว่า

“เอาสิ สู้ก็สู้ ช่วงนี้ฉันกำลังฝึกมวยไทยพอดี ถ้าฉันแพ้ พวกแกก็ไปซะ แต่ถ้าฉันชนะ แกต้องมาขอโทษหม่ารุ่ย”

ฉีเล่ยกลับส่ายหัวตอบ

“ไม่เต็มใจรึไง? แกมีทางเลือกด้วยเหรอ?”

พวกบอดี้การ์ดกล่าวเยาะเย้ย

ฉีเล่ยกล่าวว่า

“เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เขาก่อขึ้น ดังนั้นถ้าคุณแพ้ หม่ารุ่ยจะต้องมาขอโทษพวกผม ถ้าตกลงก็เริ่มกันเลย”

หม่ารุ่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบอยากจะตะโกนด่าสาปแช่งใส่ไปสักชุด

“แกเป็นพวกชอบวางมาดสินะ? แล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบพวกวางมาดสักเท่าไหร่”

ชายวัยกลางคนกล่าวต่ออีกว่า

“ได้! งั้นก็เริ่มกันเลย!”

ขณะที่กล่าวจบ เขาก็ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกพร้อมถกแขนเสื้อขึ้น

ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันตา ประดุจเสือโคร่งกระโดดลงมาจากหุบเขา เขาพุ่งพรวดเข้าจู่โจมฉีเล่ยด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาด

..………

หยานเสวียเหลียงดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของKTVแห่งนี้ หรือภาษาบ้านๆก็คือผู้จัดการร้านนั่นเอง

เขากำลังโอบกอดสาวสวยคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน ขณะนั่งกินดื่มอยู่ในห้องคาราโอเกะส่วนตัว แต่ทันใดนั้นเสียงของลูกน้องคนหนี่งที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาอย่างร้อนใจ ก็ดึงดูดความสนใจของเขาเข้าทันที

“พี่หยาน เกิดเรื่องแล้ว!”

“แล้วมาบอกฉันทำไมวะ? จัดการเองไม่เป็นกันรึไง?”

หยานเสวียเหลียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ที่ไอ้พวกลูกน้องเบี้ยล่างไม่รู้จักแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ทุกครั้งที่มีปัญหาก็จะเรียกหาแต่เขาอยู่เสมอ

“ครั้งนี้เรื่องใหญ่มากครับพี่หยาน!”

“เรื่องอะไร? ใครมันกล้ามามีเรื่องที่นี่! พูดมา! เกิดอะไรขึ้น?”

“เป็น…เป็นเรื่องของพี่ใหญ่เปียวครับ”

“…”

หยานเสวียเหลียงตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนได้สติกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว อย่าให้เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”

หยานเสวียเหลียงโบกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไป ขณะเดียวกันสาวสวยในอ้อมแขนของเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ?”

หยานเสวียเหลียงยกมือขึ้นมาบีบแก้มสีชมพูนวลสวยของเธอคนนั้น พร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ

“ก็แค่มีใครบางคนอยากรนหาที่ตายเท่านั้นเองจ้ะ เราแค่มีหน้าที่สนองความปรารถนาของมัน กลับไปทำงานของเธอต่อเถอะ หลังเที่ยงคืนค่อยเจอกัน”

คล้อยหลังส่งสาวสวยออกไป หยานเสวียเหลียงก็รีบเดินออกไปถามไถ่สถานการณ์กับลูกน้องคนหนึ่งว่า

“เปียวโต้ว มีเรื่องกับใครที่ไหน?”

รปภ.คนนั้นกล่าวตอบทันทีว่า

“เป็นลูกค้าที่มาใช้บริการในวันนี้ครับ สถานการณ์มันลามจนเกินควบคุมได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่ชั้นสอง เราควรเข้าไปไกล่เกลี่ยดีกว่าไหมครับ?”

“ประสาทรึไง! นี่แกพูดอย่างกับไม่รู้จักนิสัยของเปียวโต้ว? ถ้าเขาโกรธขึ้นมา ใครจะไปกล้าห้าม?”

“แล้ว…แล้วเราควรทำยังไงดีครับ?”

“เดี๋ยวฉันโทรหาพี่ใหญ่ก่อน ลองถามเขาดูหน่อยว่า ถ้าเจ้าของที่นี่ลงมาดูด้วยตัวเอง หมอนั่นยังจะกล้าพูดอะไรอีกไหม”

เนื่องจากภายในนี้ค่อนข้างเสียงดัง หยานเสวียเหลียงจึงเดินผลักประตูKTVออกไป และรีบต่อสายหาใครบางคนทันที

ทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ สุ้มเสียงผู้ชายแหบแห้งก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย

“มีอะไร?”

“บอสครับ วันนี้เกิดเรื่องกับทางร้านของเราแล้ว”

หยานเสวียเหลียงทำความเคารพผ่านทางโทรศัพท์ ราวกับว่ากำลังพบเจอตัวเป็นๆของอีกฝ่าย

“พูดมา”

น้ำเสียงของชายคนนั้นหนักแน่นดุดันและกระชับห้วน

“เปียวโต้วทะเลาะวิวาทกับลูกค้าภายในร้านครับ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว!”

“แล้วลูกค้าที่ว่าเป็นใครมาจากไหน?”

หยานเสวียเหลียงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบไปว่า

“รู้สึกจะไม่มีภูมิหลังใหญ่โตนะครับ”

“งั้นปล่อยไปเถอะ”

พูดจบ อีกฝ่ายก็กดตัดสายทิ้งไปทันที

หยานเสวียเหลียงรีบเก็บมือถือ ขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน จู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าพุ่งเข้ามาปะทะกับเขา จนทำให้ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้

หลังจากปรับสายตาให้เข้ากับแสงไฟที่สาดส่องมาได้บ้างแล้ว และเมื่อพบเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าว่าคืออะไร เขาก็ถึงกับตกตะลึงทันที

มันคือรถบรรทุกทหารที่สวมเสื้อลายพรางสีเขียว กำลังแล่นตรงเข้ามาจอดอยู่หน้าKTV ทันทีที่รถบรรทุกจอดก็มีทหารติดอาวุธจำนวนหลายสิบนายกระโดดลงมาจากรถ ตรงเข้ามาต่อแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง!

บรรยากาศช่างเงียบสงัดแต่เปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าคอมแบททหารกระทบพื้นเป็นจังหวะ

นายทหารสวมแว่นคนหนึ่งที่ดูน่าจะเป็นผู้นำกองร้อยกระโดดลงมาเป็นคนสุดท้าย โบกมือตะโกนสั่งการอย่างกระฉับกระเฉงว่า

“ลูกสาวของหัวหน้าอยู่ด้านในที่เกิดเหตุ! เคลื่อนกำลังบุกไปช่วยเธอโดยด่วน!”

“ครับผม!”

ทหารทุกนายกระชับปืนกลในมือแน่นขานเสียงตอบอย่างพร้อมเพรียงและทรงพลัง

จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนพลบุกเข้าไปในKTVทันที ราวกับว่าพวกเขากำลังรบอยู่กลางสงครามยังไงยังงั้น

ในฐานะผู้จัดการร้านอย่างหยานเสวียเหลียง เขาควรจะมีหน้าที่ต้องออกไปหยุดทหารพวกนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเข้าไปไต่ถามว่า แห่กันมาที่นี่ทำไม? แต่ตรงกันข้าม เขากลับทำยืนตกใจช็อกแน่นิ่งอยู่หน้าประตูร้าน ไม่กล้าแม้แต่จะย่างเท้าออกไปขวางด้วยซ้ำ

หัวหน้า?

ลูกสาว?

บุกไปช่วยเธอ?

ด้วยสติปัญญาที่พอจะชาญฉลาดอยู่บ้างของเขา หยานเสวียเหลียงจึงสามารถประมวลเหตุการณ์ และเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้ทันที ภายในใจปรากฏคำพูดอยู่เพียงไม่กี่คำ

ชิบหายแล้ว! นี่มันเรื่องใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?!

ทันทีที่ตระหนักได้ดังนั้น หยานเสวยีเหลียงก็รีบล้วงมือถือออกมาด้วยมือไม้ที่สั่นระริกราวกับคนถูกผีเข้า

“บอส! บอส! เมื่อครู่ผมรายงานผิดพลาดไป! ดูท่าภูมิหลังของอีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดาเลย…พวกมัน…พวกมันส่งกองทัพทหารบุกมาถึงร้านของเราแล้วครับ!!”

…………….

ฉีเล่ยไม่ค่อยมีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเท่าไหร่นัก ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือเมื่อครั้งที่เฉินอวี้หลัวถูกลักพาตัวไป แต่ครั้งนั้นไม่เชิงคล้ายว่าจะเป็นการต่อสู้เท่าไหร่นัก ดูเหมือนจะเป็นการลอบสังหารหมู่อยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นฉีเล่ยยังไม่ค่อยรู้เรื่องมวยไทยเท่าไหร่ด้วย เคยดูแค่ผ่านๆจากทางทีวีเพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น สรุปได้สั้นๆว่า มวยไทยเป็นการต่อสู้ที่เน้นการเคลื่อนไหวที่หนักแน่น ทรงพลัง และต้องใจเหี้ยม นอกจากนี้ เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมวยไทยอีกเลย

ซึ่งการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ทันพุ่งประชิดตัวเขา ฉีเล่ยกลับเห็นกำปั้นพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเสียก่อนแล้ว ในชั่วขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็ยังตีเข่าขึ้นใส่ระหว่างออกหมัด เป็นการโจมตีจากสองทางในหนึ่งกระบวน

ฉีเล่ยตั้งใจที่จะเล่นกับอีกฝ่ายดูสักพัก จึงเปิดฝ่ามือข้างขวายกขึ้นรับกำปั้น พร้อมใช้ฝ่ามือข้างซ้ายกดต่ำเพื่อรับการตีเข่าจากอีกฝ่าย

เขายังพอทราบเกี่ยวกับศาสตร์การต่อสู้มวยไทยอีกอย่างว่า แก่นแท้ของมวยไทยอยู่ที่หมัด ศอกและเข่า เมื่อทราบเช่นนี้ ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาเหมือนกัน ก็จะพอคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก

นอกจากออกกระบวนป้องกัน ฉีเล่ยก็ไม่เขยับเท้าเลยแม้แต่นิ้วเดียว

ฉีเล่ยยืนหยัดอย่างมั่นคงประดุจภูเขาไท่ซาน ไม่มีแม้กระทั่งไหวติ่งสักนิด ไม่ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าจะเตะต่อยเท่าไหร่ เขายังคงใช้แค่คู่ฝ่ามือเข้าต้านรับ

คล้อยหลังต่อสู้กันเป็นระยะเวลานาน ชายวัยกลางคนก็เริ่มหอบเหนื่อยบ้างแล้ว เหลือบสายตามองฉีเล่ยแวบหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่แกไม่คิดที่จะสู้กลับบ้างเลยเหรอ?”

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“ผมยังเล่นสนุกไม่พอ”

เสมือนกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ ชายวัยกลางคนไม่คิดจะออมมือให้อีกต่อไป ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขาแปรเปลี่ยนดูซับซ้อนไปอีกขั้น ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่กำปั้นแล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้ศอกกับเข่าอย่างเต็มตัวแทน

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นก็ไม่นับว่าผิด แต่แก่นแท้ของศาสตร์แห่งมวยไทยที่แท้จริงอีกอย่างก็คือศอกกับเข่าล้วนๆ หากทั้งสองส่วนนี้สามารถผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี มวยไทยนี่แหละคือทักษะการฆ่าแห่งมัจจุราชที่เหี้ยมโหดที่สุด

ชายวัยกลางคนกระหน่ำตีศอกสลับกับเข่าเข้าใส่ฉีเล่ยอย่างต่อเนื่อง ทว่าแม้พลานุภาพการโจมตีนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถทะลวงฝ่าปราการป้องกันด้วยฝ่ามือของเขาได้เลย

เสี้ยวจังหวะอึดใจนั้นเอง ชายวัยกลางคนก็เล็งเห็นอีกฝ่ายเปิดช่องโหว่ ดวงตาสาดแสงประกายวาบ ประเคนศอกตีเข่าใส่กลางหน้าอกของฉีเล่ยอย่างแรง

ทางด้านฉีเล่ยที่เพิ่งใช้ฝ่ามือตั้งรับเข่าไปเมื่อครู่ แม้จะรีบชักมือกลับมาป้องกันแล้ว แต่นั่นน่าจะดูสายเกินไป

นักศึกษาคนหนึ่งร้องอุทานลั่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวั่นวิตกอย่างมาก

“อาจารย์ฉี! ระวัง!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset