ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 99 เจตนาร้าย

ตอนที่99 เจตนาร้าย

นักศึกษาต่างเบี่ยงหน้าหนี ไม่กล้ามองภาพตรงหน้าอีกต่อไป เพราะคิดว่าฉีเล่ยจะต้องโดนการโจมตีอันรุงแรงของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

แต่ในไม่ช้า สีหน้าของพวกเขากลับต้องเปลี่ยนเป็นความเหลือเชื่อ

เพราะฉีเล่ยกำลังทำท่าอะไรสักอย่างดูแปลกตาอย่างยิ่ง

ร่างของเขาเอนหลังหลบการโจมตีชนิดที่ว่าโค้งเกือบ180องศา ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ เรียกท่านี้กันว่า ท่าสะพานโค้ง

นักสู้ด้วยกันจะรู้ดีว่า ขณะเคลื่อนไหวเพื่อที่จะโจมตี คือช่วงเวลาที่ร่างกายจะเปิดช่องโหว่และจุดอ่อนออกมามากที่สุด แม้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงแค่ 0.23วินาที แต่นั่นก็มากพอที่ฉีเล่ยจะหาจังหวะสวนกลับไปได้

เขาเกร็งกล้ามเนื้อหลังทรงตัวยืนหยัดกลับขึ้นมาจนกายตั้งตรง ร่างกายที่โค้งงอเมื่อครู่ดีดเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถ่ายโอนพละกำลังส่วนหนึ่งกรอกเทลงไปบนฝ่ามือ พร้อมซัดเข้าบริเวณใต้เอวของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ

นี่คือจุดแบ่งวิญญาณ สามารถสร้างอันตรายต่อทุกชีวิตที่โดนสกัดจุดดังกล่าวได้

จุดฝังเข็มดังกล่าวนี้ยังมีคำกล่าวเล่าอีกว่า‘หนึ่งกระบวนหนึ่งจุด พิฆาตทั่วร่าง’ หากใช้ในแง่ของการรักษา มันคือตัวช่วยชั้นดีในยามฉุกเฉิน แต่หากใช้ในแง่ของการต่อสู้ มันคือเครื่องมือสังหารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด

ต้องกล่าวว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ดวงซวยเหลือเกิน ที่คู่ต่อสู้ตรงหน้าดันเป็นฉีเล่ย ผู้ที่มีความช่ำชองด้านการฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์มากที่สุดคนหนึ่งบนโลก

ตุบ!

หลังจากยกฝ่ามือตบอัดจุดแบ่งวิญญาณเข้าไป จู่ๆชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ ฟองขาวฟอดพุ่งออกมาจากปากของเขา ทั่วทั้งร่างกายกระตุกไม่หยุด ตาเหลือกจนเห็นเพียงตาขาว ลักษณะคล้ายคนกำลังจะตาย

“หัวหน้า!”

“หัวหน้า! หัวหน้าได้ยินผมไหม!?”

“พวกเรา! ล้างแค้นแทนหัวหน้า!”

กลุ่มบอดี้การ์ดสวมสูทสีดำพากันวิ่งเข้าไปดูอาการของชายวัยกลางคนเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นร้องตะโกนออกมาด้วยความแค้น และเตรียมเปิดศึกโกลาหลขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเหล่านักศึกษาเห็นว่า อีกฝ่ายไม่ยอมรักษาสัญญาที่ให้ไว้ หลังจากเห็นชัดแล้วว่า การดวลครั้งนี้อาจารย์ฉีเป็นฝ่ายชนะ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาไป กลับจะมาลงไม้ลงมือกันต่อ แต่มีหรือที่เด็กพวกนี้จะกลัว? แต่ละคนรีบกระชับขวดปากฉลามในมือแน่น เตรียมสู้ตายกับพวกบอดี้การ์ดสวมชุดสูทดำอีกเป็นระลอกสอง

หัวหน้ารปภ.ที่ก่อนหน้าแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฝูงชน พอเห็นว่าฝ่ายของเปียวโต้วพ่ายแพ้แล้ว ก็รีบนำกลุ่มรปภ.ที่เหลือออกมาห้ามปรามสถานการณ์ทันที โดยชี้ไปที่นักศึกษาคนหนึ่งและกล่าวโทษทันทีว่า

“พวกแกทำบ้าอะไรกัน! ที่นี่เป็นสถานบันเทิงนะ ไม่ใช่ที่ชกต่อย!”

“อย่างงั้นเหรอ? ตอนพวกนั้นเข้ามาหาเรื่องก่อนทำไมถึงไม่ออกมาห้าม? ตอนนี้เห็นว่าพวกตัวเองเสียเปรียบก็รีบแห่กันเข้ามาใหญ่เลย เรื่องนี้จะอธิบายว่ายังไง?”

เหอจื่อร้องตะโกนสวนกลับไปทันที ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเธอ หญิงสาวสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วว่า พวกรปภ.ล้วนแอบซ่อนตัวอยู่หลังฝูงชนมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าพวกมันไม่คิดที่จะออกมาช่วยฉีเล่ยและนักศึกษาคนอื่นๆเท่านั้น

ถ้าไม่คิดจะเข้ามายุ่ง ก็ไม่ควรจะเข้ามาขวางจริงไหม?

หัวหน้ารปภ.แสยะยิ้มเยาะตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวว่า

“ทุกคนวางขวดในมือลงซะ! ผมโทรแจ้งตำรวจแล้ว! เมื่อตำรวจมาถึง ใครถูกใครผิดเดี๋ยวก็รู้เอง!”

เหอจื่อโบกมือปฏิเสธ

“ไม่จำเป็น ฉันเองก็โทรเรียกคนของฉันมาแล้วเหมือนกัน”

“ก็ดี”

หัวหน้ารปภ.ยิ้มสบประมาทใส่

โทรเรียกคนมาแล้ว? ไอ้คนที่ว่าของเธอมันจะไปเก่งกว่าตำรวจได้ยังไง? เรียกมาให้โดนจับเพิ่มรึไง? โง่จริงๆ!

แต่ทันใดนั้นทั่วทั้งร้านKTVก็ถึงกับสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว!

ความโกลาหลนี้เกิดขึ้นที่ชั้นหนึ่ง ทั้งเสียงผู้หญิงและเสียงผู้ชายที่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวได้ดังลั่นมาถึงชั้นสอง เสียงรองเท้าคอมแบทดังตุ้บตับเดินขึ้นบันไดยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

ทันทีที่กองทหารติดอาวุธปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้อง หัวหน้ารปภ.ก็ถึงกับฉี่ราดกางเกงด้วยความกลัวจัด

เมื่อเหอจื่อเห็นผู้นำกองทหาร เธอก็รีบโบกมือและตะโกนเรียกทันที

“ซูจง ทางนี้!”

ซูจงที่เห็นเหอจื่อโบกมือให้ ก็รีบพากองทหารเคลื่อนพลเข้าไปล้อมรอบเหอจื่อไว้อย่างรวดเร็ว

กึก!

ทหารทุกนายยกปลายกระบอกปืนไรเฟิลขึ้นชี้ไปทางเหล่าอดี้การ์ดและรปภ.ทั้งหมด และกำลังเตรียมรอคำสั่งขั้นต่อไปจากซูจง

ซึ่งคำสั่งขั้นต่อไปที่ว่าก็คือ‘ยิง’

บรรดาบอดี้การ์ดเห็นแบบนั้นถึงกับกลัวกันหัวหด รีบโยนมีดในมือทิ้งราวกับเป็นของแสลงใจ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอความเมตตาทันที

“ลูกพี่ อย่ายิงผมเลยนะครับ!”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะครับ นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย…”

“เราแค่…แค่…ล้อเล่นกันเฉยๆน่ะครับ!”

ทันทีที่หม่ารุ่ยเห็นภาพฉากดังกล่าว ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความหม่นหมองใจทันที ไอ้คนที่เขาดันไปมีเรื่องด้วยเป็นใครกันแน่? ต้องมีภูมิหลังแข็งแกร่งขนาดไหนถึงสามารถเรียกกำลังเสริมเป็นเครื่องจักรกลในชุดเขียวลายพรางแบบนี้ออกมาได้เป็นกองร้อย!?

เหลือบซ้ายแลขวาพอเห็นว่า ตนเองอยู่ในจุดลับสายตาของพวกทหาร หม่ารุ่ยที่กำลังแข้งขาสั่นเทา ก็ค่อยๆแอบถอยร่นออกไป หวังที่จะแอบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างเงียบๆ

แต่ขณะที่เขากำลังก้าวถอยหลังอยู่นั้น กลับถูกเหอจื่อพบเข้าเสียก่อน

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นั่นแกจะหนีไปไหน?”

เหอจื่อกล่าวต่อว่า

“ซูจง หมอนั่นแหละที่คิดจะทำร้ายฉันก่อน พอแพ้แล้วพาลก็เลยพาคนมาล้างแค้น”

“ทำร้ายคุณหนู?”

ซูจงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก คุณหนูเหอจื่อคนนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้จัก? ใครก็ตามที่กล้าสัมผัสร่างเธอ ไม่มือหักก็ตีนแตกจริงไหม?

เหอจื่อชี้ไปที่ใบหน้าอันยับเยินของหม่ารุ่ยและกล่าวว่า

“คิดว่าฉันโกหกรึไง?”

เนื้อตัวของซูจงสั่นสะท้านเล็กน้อย รีบเอ่ยปากออกคำสั่งทหารอีกนายทันที

“ไปพาตัวไอ้หมอนั่นมาตรงนี้!”

ทหารนายนั้นรีบวิ่งตรงออกไปและจับตัวหม่ารุ่ยมาไว้ต่อหน้าซูจง

หลังจากสำรวจใบหน้าของหม่ารุ่ยเล็กน้อย ซูจงจึงได้ร้องถามออกไปว่า

“นี่แกรู้จักกองทัพภาคที่1ใช่ไหม?”

หม่ารุ่ยส่ายหัวอย่างช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทนคำตอบ ขณะเดียวกันเขาก็ถึงกับเหงื่อตก และเม็ดเหงื่อก็ไหลรินหยดลงบนพื้นดังติ๋งติ๋ง

แน่นอนว่า เขาจะต้องเคยได้ยินคำว่า กองทัพภาคที่1มาอยู่แล้ว ไม่สิ…ทุกคนในปักกิ่งล้วนต้องเคยได้ยิน ทหารทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารระดับสูงทั้งสิ้น…

ผัวะ!

ซูจงสะบัดหลังมือตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงไปหนึ่งที

“แล้วแกกล้าทำร้ายคุณหนูของแม่ทัพภาคที่1ได้ยังไง!”

ผัวะ!

เสียงตบหน้าดังลั่นอีกครั้ง

“คุณหนูของแม่ทัพภาคที่ไม่เคยใช้เส้นสายกดขี่หรือรังแกใครเลยสักครั้ง! แม้แต่ฉันยังไม่เคยถูกโดนเอาเปรียบมาก่อน!”

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

จากนั้นซูจงก็กระหน่ำโบกหลังมือตบหน้าหม่ารุ่ยไม่หยุดด้วยความโกรธจัด ตั้งแต่ต้นจนจบเขาตบอย่างต่อเนื่องชนิดที่ไม่มีพักหายใจ

“คุณหนูเหอ ต้องการนำตัวเขาไปทรมานต่อไหมครับ?”

จงซูหันไปเอ่ยถามเหอจื่อ

“ไม่ต้อง ฉันระบายอารมณ์โกรธไปจนหมดแล้ว ตอนนี้กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อกับคนพวกนี้ดี?”

เหอจื่อกล่าวถามขึ้น

“พาคนพวกนี้กลับเข้ากรมเพื่อสอบปากคำครับ ถ้าทำให้ติดคุกในคดีผู้ก่อการร้ายที่ถูกจ้างวานมาให้มาลอบสังหารญาติ และครอบครัวของท่านแม่ทัพภาคได้ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ”

เหอจื่อพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว ว่าแต่นายมาด้วยตัวเองเลยเหรอ? พ่อฉันให้โอกาสนายพิสูจน์ฝีมือหรือยังไง?”

ซูจงมองซ้ายแลขวาหันไปรอบๆก่อนเอ่ยกระซิบกับเธอว่า

“หัวหน้าออกไปตรวจการอยู่ข้างนอกครับ แต่ระหว่างนั้นคุณนายก็โทรเข้ามาบอกว่า มีคนกำลังไล่ฆ่าคุณหนู ทั้งยังสั่งให้ส่งหัวหน้าหน่วยและกองร้อยที่ประจำอยู่ในบริเวณที่ใกล้ที่สุดออกไปปฏิบัติการ ซึ่งก็เป็นผมนี่แหละครับ แถมคุณนายยังกำชับอีกว่า ห้ามให้คุณหนูเสียพรหมจรรย์โดยเด็ดขาด…ไม่อย่างนั้นพวกผมคงโดนสั่งย้ายทั้งกองร้อย แถมยังอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ด้วยหากเกิดความโกลาหลเกินควบคุม”

ที่แท้ก็ห่วงพรหมจรรย์ลูกสาวตัวเอง…

เหอจื่อถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ เธอไม่คิดเลยว่า แม่จะพูดอะไรแบบนั้นออกไปภายใต้สถานการณ์เคร่งเครียดแบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหอจื่อขึ้นมาจริงๆ ซูจงก็จะถูกตัดสินโทษเพราะเรื่องนี้จริงๆงั้นเหรอ?

“แล้วแม่ฉันล่ะ? ไม่มาด้วยเหรอ?”

เหอจื่อเอ่ยถามขึ้น

“คุณนายยังมาไม่ถึงครับ”

“ยังมาไม่ถึง? นี่แสดงว่ามาจริงๆงั้นเหรอ?”

“ครับ คุณนายกำลังเดินทางมาที่นี่ครับ”

จากนั้น ซูจงก็รีบร้องบอกทันที

“ไอ๊ย๊ะ! คุณนายใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว! พวกเราถอยทัพ! ถอยทัพ!”

“ห๊ะ? จะไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ? แล้วไอ้พวกรปภ.กับพนักงานในร้านที่เหลือล่ะ? ไอ้พวกนี้หน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้น ต่อหน้าพวกนายมันก็แกล้งทำเป็นดี แต่ลับหลังนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”

“สัตว์ประหลาด?”

ซูจงหัวเราะอย่างขมขื่นใจยิ่ง

“คุณหนูประเมินคุณนายต่ำเกินไปแล้ว เธอนั่นแหละสัตว์ประหลาดของจริง…”

หลังพูดจบ ซูจงก็ตะโกนออกคำสั่งให้ทหารลากคอพวกบอดี้การ์ดที่เหลือ และกำลังนอนเกลือนอยู่บนพื้นออกไป ส่วนหม่ารุ่ยก็ยังอยู่ในห้องคาราโอเกะดังกล่าวกับคนอื่นๆ รอให้แม่ของเหอจื่อเข้ามาเก็บงานและจัดการเองต่อ

มู่เซียวหยานเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างมาก ถ้ามาถึงที่เกิดเหตุเมื่อไหร่ แล้วไม่มีใครเป็นกระสอบทรายให้เธอได้ระบายอารมณ์ มีหวังเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน

ถ้ายังมีแม่ทัพภาคอยู่ที่บ้านยังพอทำเนา คุณนายน่าจะกลับไประบายความโกรธกับสามีของเธอได้ แต่เนื่องจากตอนนี้แม่ทัพภาคดันไม่อยู่บ้าน แถมเหตุการณ์ในวันนี้ยังเกี่ยวข้องกับลูกสาวที่คุณนายรักสุดชีวิตอีกด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องหาตัวตายตัวแทนสักคนให้เป็นที่ระบายความโกรธกับเธอ

ซูจงครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้ว จึงได้ปล่อยให้หม่ารุ่ยอยู่เป็นที่รองรับอารมณ์ของคุณนาย

เมื่อได้ฟังซูจงพูดถึงคุณแม่ของเหอจื่อแบบนั้น ฉีเล่ยก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที

ไหนว่า…แม่ของเหอจื่อป่วยไม่ใช่เหรอ?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset