ตอนที่ 1748 แต่งงาน (4)
“ไสหัวไป!” ไป๋ซู่ตะโกนขึ้นมาอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าอีกแล้ว!”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากถ้ำก่อนจะหายไปจากสายตาของจิ่นอวี้เพียงพริบตาเดียว
จิ่นอวี้มองไปยังทิศทางที่ไป๋ซู่จากไปด้วยรอยยิ้มขบขัน “นายท่าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ท่านใจอ่อนกับข้า”
ครั้งแรกคือตอนที่นายท่านบาดเจ็บแล้วนางก็ยกร่างกายตัวเองให้เขาโดยไม่ถามเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ถึงแม้ว่านายท่านจะโกรธแต่เขาก็ยังไว้ชีวิตนาง
ส่วนนี่เป็นครั้งที่สอง นางขัดความต้องการของนายท่านและยังทำตัวต่อต้านเขา ด้วยความโกรธของนายท่านแล้วต่อให้หั่นนางออกเป็นชิ้นๆ ก็ยังไม่สามารถระบายความโกรธของเขาออกไปได้ แต่เขาก็ยังปรานี!
แต่ว่า นางไม่ได้คิดว่านายท่านใจอ่อนกับนางเพราะเขามีความรู้สึกดีๆ ให้นาง นายท่านมักเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี นางติดตามเขามาหลายปี หลายปีมากๆ ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถทำตัวไร้หัวใจแล้วสังหารนางลง
เมื่อนางคิดได้อย่างนั้น จิ่นอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงไป๋ซู่ที่เดินทางไปจวนตระกูลจวินคนเดียวดังนั้นนางจึงรีบตามเขาไปทันที …
จวนตระกูลจวิน
ภายในจวนถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟ แถบผ้าสีแลอบอวลไปด้วยความปิติยินดี
เก้าอี้สามตัวถูกวางไว้ที่ที่นั่งประธานสำหรับอวิ๋นลั่ว จวินหลิงเทียนและผู้เฒ่าเยี่ย
เมื่ออวิ๋นลั่วเห็นอวิ่นลั่วเฟิงเดินเข้ามาโดยมีอวิ๋นเซียวประคอง ใบหน้าของเขาก็เต็มด้วยความปิติและพึงพอใจ เขามองเห็นทุกอย่างที่อวิ๋นเซียวทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงมาตลอดหลายปี ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครมีความสุขมากไปกว่าเขาในตอนนี้ที่ในที่สุดก็ได้เห็นทั้งคู่แต่งงานกัน
“คำนับครั้งที่หนึ่ง คำนับสวรรค์…คำนับครั้งที่สอง คำนับบิดามารดา…”
ผู้ดำเนินการจัดงานพูดเสียงดังและคำพูดแสดงความยินดีก็ดังมาจากรอบข้าง
ใบหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นหน้าของนาง แต่เมื่อนางก้มหน้าก็สามารถมองเห็นปลายคางของนางได้รางๆ แต่นั่นก็เพียงพอให้ทุกคนได้เห็นส่วนของความงามล่มเมืองภายใต้ผ้าคลุมหน้า
“ในที่สุดอวิ๋นลั่วเฟิงก็แต่งงาน” หนานกงอวิ๋นอี้มีความสุขมากเหมือนกับว่าวันนี้คนที่แต่งงานคือเขาไม่ใช่นาง “ข้าคิดว่าบุรุษคนเดียวบนโลกนี้ที่เอานางอยู่ก็คงมีแต่จักรพรรดิปีศาจ”
ทันใดนั้นหนานกงอวิ๋นอี้ก็หันไปหาหงหลวน “จริงสิ หงหลวน เจ้าจะแต่งงานกับข้าเมื่อไหร่ดี ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะรับผิดชอบเจ้า”
เขาไม่ได้กลัวนางเท่าก่อนหน้านี้แล้วแต่คำพูดของเขาคงมีความระมัดระวังอยู่เพราะกลัวว่าเขาจะถูกสตรีผู้นี้ตีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขามาที่จวนตระกูลจวิน หงหลวนก็มักจะตีเขาโดยไม่มีเหตุผลจนทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีไปจนหมดแล้ว
แต่ว่า…เขาก็ชอบสตรีที่ดุร้ายแบบนาง
“แค่กๆ” หงหลิงแอบได้ยินคำพูดของหนานกงอวิ๋นอี้จากด้านข้างและอดไม่ได้ที่จะกระแอมออกมาด้วยความกระดาก
เด็กไร้มารยาทนี้กล้าเกี้ยวบุตรสาวเขาต่อหน้าต่อพวกเขา! เขาไม่มีทางพิจารณาเป็นพ่อตาให้เจ้านี่แน่!
เอ๊ะ…เดี๋ยวก่อนสิ เขาไปเป็นพ่อตาของเด็กไร้มารยาทคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ทางยอมรับแน่!
“ส่งบ่าวสาวเข้า…” ผู้ดำเนินการพูดอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะพูดจบก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากด้านนอกจวนตระกูลจวินจนทำให้ชายชราลุกขึ้นจากที่นั่ง
“เกิดอะไรขึ้น” ใบหน้าของจวินหลิงเทียนมืดครึ้ม
วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองของเซียวเอ๋อร์กับเสี่ยวอวิ๋น ไอ้โง่ที่ไหนมาสร้างปัญหาที่นี่
“ท่านพ่อตาไม่ต้องกังวล” เยี่ยจิ่งเฉินขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะอ่อนโยนเหมือนปกติแต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบในน้ำเสียง
…………………………
ตอนที่ 1749 ไป๋ซู่ (1)
ภายนอกจวนตระกูลจวิน บนถนนกว้างรกร้าง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนก็กลัวจะโดนลูกหลงจากการต่อสู้จนหลบกันไปแล้ว
จิ่นอวี้ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างแรงและเลือดจำนวนมากก็ไหลออกจากปาก ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด
เหนือศีรษะนางคือสตรีผู้หนึ่งในชุดสีดำ สตรีผู้นี้เชิดหน้าเล็กน้อยและมองจิ่นอวี้ที่นอนอยู่นพื้นอย่างดูถูก
“เจ้า…เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” จิ่นอวี้กัดปากแน่น
ไม่ใช่ว่าสตรีผู้นี้ออกมาจากภูผาสุสานเทพไม่ได้หรอกหรือ ไม่อย่างนั้นวันนั้นนางก็ควรจะออกมาไล่ล่าอวิ๋นลั่วเฟิงไปแล้ว
ฉินลั่วส่งเสียงขึ้นจมูกและบินลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ นางเดินช้าๆ เข้าไปหาไป๋ซู่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล “สามี ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอ”
ทันทีที่ไป๋ซู่เห็นฉินลั่ว หัวใจของเขาก็หยุดเต้น “ลั่วเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ข้ามาพาเจ้ากลับไป” รอยยิ้มของฉินลั่วอ่อนโยนมาก ถึงแม้ว่านางจะเบื่อไป๋ซู่แล้วแต่นางก็ยังไม่ยอมทิ้งบุรุษหล่อเหลาทรงเสน่ห์แบบเขาไป ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ชอบไป๋ซู่จริงๆ
ความจริงแล้ว ตราประทับที่ฉินลั่วทิ้งไว้ในความคิดของไป๋ซู่ก็ยังเป็นเครื่องติดตามอีกด้วยดังนั้นนางจึงหาพวกเขาเจอ โชคร้ายที่นางต้องผ่านความลำบากมามากกว่าจะออกมาจากภูผาสุสานเทพได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตอนนี้นางพึ่งมาตามจับไป๋ซู่
“ลั่วเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะแต่งงานไม่ใช่หรือ” ไป๋ซู่ถามคลางแคลงใจ “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่ามาพาข้ากลับไป”
“แต่งงาน? เมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้” ฉินลั่วสะดุ้งด้วยความประหลาดใจในดวงตา
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของไป่ซู่ก็เป็นประกายสงสัย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มากเพราะตราประทับที่อยู่ในความคิดเขา
หลังจากพูดจบ ฉินลั่วก็ได้สติและจ้องจิ่นอวี้อย่างดุร้าย
“จิ่นอวี้ เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า! ถ้าข้า อวิ๋นลั่วเฟิง ต้องแต่งงานกับใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นไป๋ซู่คนเดียว! เหตุใดเจ้าถึงทำให้ชื่อของข้าแปดเปื้อน”
จิ่นอวี้ชะงักและอ้าปากค้งด้วยความตะลึงก่อนจะเงยหน้ามองฉินลั่ว
สตรีผู้นี้อ้างว่าตัวเองเป็นอวิ๋นลั่วเฟิงที่หน้าจวนตระกูลจวิน…จริงหรือนี่ นางโง่หรือเปล่า
ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ความผิดของฉินลั่ว นางไม่ได้มาจากแคว้นนี้และไม่เคยจากภูผาสุสานเทพไปไหนดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้ว่าจวนตระกูลจวินที่อยู่ด้านหน้าเป็นครอบครัวของอวิ๋นลั่วเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่านางจะแอบดูความทรงจำของไป๋ซู่แต่นางก็ไม่มีทางรู้ถึงความสัมพันธ์ของทุกคนจึงทำให้นางกล้าแกล้งเป็นอวิ๋นลั่วเฟิงต่อหน้าจวนตระกูลจวิน
“สามี” ฉินลั่วยิ้วหวานแล้วจับไหล่ของไป๋ซู่เอาไว้ น้ำเสียงของนางดูอ่อนแอมาก “ตอนที่ข้าได้ยินว่าจิ่นอวี้เอาตัวท่านไป ข้าก็หวาดกลัวจนเกือบตาย ข้าไม่คิดเลยว่านางทำลายความบริสุทธิ์ของข้าด้วย ไม่มีทางที่ข้าจะแต่งงานกับคนอื่น! ในชีวิตนี้ข้ามีท่านเป็นสามีคนเดียว!”
ถึงแม้ว่าไป๋ซู่จะมีตราประทับของนางอยู่ในความคิดและนางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าไป๋ซู่จะไปเชื่อฟังนางแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางยอมให้จิ่นอวี้ลงมือ! สตรีผู้นี้ทรยศนางก่อนและยังกล้าพาผู้ชายของนางไปอีก แล้วฉินลั่วจะทนเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อจิ่นอวี้เห็นใบหน้าไร้ยางอายของฉินลั่ว ดวงตาของนางก็ฉายแววฉลาดเฉลียว และนางก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นสตรีของจักรพรรดิปีศาจแล้ว!”
“เจ้า…” ฉินลั่วชี้หน้าจิ่นอวี้อย่างเดือดดาล “ถ้าเจ้ายังพูดไร้สาระอีก ก็ระวังว่าข้าจะฉีกปากเจ้าออก! ข้าไปเป็นสตรีของจักรพรรดิปีศาจตั้งแต่เมื่อไร เป็นจักรพรรดิปีศาจที่รังควานข้าและข้าก็รังเกียจเขามาโดยตลอด บุรุษผู้นั้นเย็นชาเหมือนก้อนน้ำแข็งและไร้อารมณ์ เขาจะเทียบกับความอ่อนโยนของสามีข้าได้อย่างไร ต่อให้เขาคอยรังควานข้าแล้วอย่างไร ข้าไม่มีทางแต่งงานกับบุรุษแบบเขา ถ้าเจ้ายังทำให้ชื่อเสียงของข้ามัวหมองเพราะความอิจฉาล่ะก็ อย่าหาว่าข้าทำตัวหยายคาย!”