ตอนที่ 1830 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (5)
แคว้นเฟิงอวิ๋นแตกต่างจากที่อื่น ที่นี่สตรีสามารถรับราชการได้ถ้าพวกนางมีความสามารถพอ
ฝ่าบาทไม่ได้สติและพระสนมฉินก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับประทานตำแหน่งจากจักรพรรดิ ขณะที่สตรีคนอื่นก็เป็นแค่นางสนมธรรมดาและสตรีชั้นสูงเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นองค์ชายพระองค์เดียวของราชวงศ์ก็ถูกเลี้ยงโดยพระสนมฉิน ดังนั้นนางจึงมีอำนาจมาก แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นได้เส้นสายของตระกูลฉีช่วย!
“เสด็จพ่อ” มู่เสวี่ยซินเดินเข้าไปใกล้แท่นบรรทม ดวงตาของนางแดงก่ำอย่างห้ามไม่ได้เมื่อมองบุรุษที่หายใจอ่อนแรงอยู่บนเตียง “ไม่ต้องห่วงนะเพคะ ลูกจะหาทางช่วยเสด็จพ่อให้ได้แม้ว่าลูกจะต้องใช้ชีวิตแลกมาก็ตาม!”
พระสนมฉินพูดเยาะเย้ย “องค์หญิง ไม่ว่าพระองค์จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ถ้าท่านสามารถทำได้จริง ก็พาแพทย์ที่สามารถรักษาฝ่าบาทมาที่นี่สิเพคะ”
มู่เสวี่ยซินเหลือบมองพระสนมฉินอย่างเย็นชาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะออกจากห้อง
ตอนแรกนางตั้งใจจะกลับไปที่ตำหนักขององค์หญิงแต่ก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อนางเดินไปถึงประตูแล้วเห็นว่ามีร่างของคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหานาง
“องค์หญิงสี่” ฉีมั่วสังเกตเห็นมู่เสวี่ยซินตั้งแต่แวบแรก เขาไม่คิดจะปิดบังสายตาที่มองตรงไปที่ใบหน้างดงามและบอบบางของเด็กสาวตรงหน้าเขาราวกับต้องการจะกระโดดเข้าไปกินนางจนเกลี้ยง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เพราะว่าพระสนมฉินทำให้มู่เสวี่ยซินโมโหทันทีที่เห็นสมาชิกของตระกูลฉี แน่นอนว่าฉีซูและน้องสาวของเขาเป็นข้อยกเว้น!
“ที่องค์หญิงพูดหมายความว่าอย่างไร กระหม่อมเป็นคู่หมั้นของพระองค์ ถ้ากระหม่อมอยากมาหาคู่หมั้นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” ฉีมั่วประเมินมู่เสวี่ยซินอย่างหิวกระหายแล้วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รอยยิ้มหื่นกามแผ่ขยายไปทั่วใบหน้าคล้ายสตรีของเขา
สายตาของเขาเปิดเผยเกินไป—เปิดเผยเสียจนทำให้ความโกรธระเบิดออกจากใจของนาง
“หยาบคายยิ่งนัก! ใครอนุญาตให้เจ้ายกตัวเองว่าเป็นคู่หมั้นของเปิ่นกงจู่ เปิ่นกงจู่ไม่มีทางแต่งงานกับเจ้าแน่!”
ฉีมั่วส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับมือของมู่เสวี่ยซินขณะที่อีกมือวางลงบนหน้าอกของนาง
การกระทำนี้ทำให้มู่เสวี่ยซินโกรธจัด นางเหยียบเท้าของฉีมั่วอย่างแรงแล้วอาศัยจังหวะที่ฉีมั่วดึงมือกลับไปเงื้อมือขึ้นตบเขา
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าทำให้ทั้งโลกเงียบสนิท
ฉีมั่วถอยหลัง เขาไม่คิดว่ามู่เสวี่ยซินจะตบเขาจริงๆ
อารมณ์ของเขาก็ขึ้นเหมือนกันแล้วจ้องหน้านางอย่างชั่วร้าย “มู่เสวี่ยซิน เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้าเพราะเจ้าเป็นองค์หญิงงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยชินกับการปฏิบัติกับทุกคนอย่างเลวร้ายเพียงเพราะว่าเสด็จพ่อของเจ้าตามใจเจ้าหรอกหรือ ข้าจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้ราชวงศ์อยู่ภายใต้การควบคุมของพระสนมฉิน! ถ้าจักรพรรดิตาย บุตรชายของพระสนมฉินก็จะขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป!”
ดวงตาของมู่เสวี่ยซินเบิกกว้างและร่างของก็สั่นด้วยความโกรธ “เจ้า…เจ้ามันปากเสีย!”
“ปากเสียงั้นหรือ แล้วอย่างไร เสด็จพ่อของเจ้าก็ใช่อาการจะดีขึ้น! แพทย์หลวงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน! แต่อาณาจักรขาดจักรพรรดิไม่ได้ ในอนาคตข้าจะกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจักรพรรดิน้อยและเจ้าก็ต้องรีบวิ่งมาประจบประแจงข้า!”
การที่ฉีมั่วพูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของเขาเป็นบุตรชายคนเดียวขององค์จักรพรรดิดังนั้นเขาก็จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
ทันทีที่องค์จักรพรรดิตาย ราชวงศ์ทั้งหมดก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลฉี
“เสด็จพ่อจะไม่ตาย! ถ้าเจ้าแช่งเขาอีกครั้งเดียว ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!” ใบหน้าของมู่เสวี่ยซินซีดเผือดและร่างของนางก็สั่นราวกับจะล้มลงไปที่พื้นได้ตลอดเวลา
ฉีมั่วยิ้มเยาะ “มู่เสวี่ยซิน ข้าคิดว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่าพระสนมฉินยกเจ้าให้เป็นอนุข้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับอนุตัวเล็กๆ ของข้า! เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงที่สูงศักดิ์ทรงอำนาจอยู่อีกหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดมากต่อหน้าข้า”
ตอนที่ 1831 มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว (6)
โดยเฉพาะเมื่อสตรีผู้นี้ตบหน้าเขา! วันหลังเขาต้องทำให้นางชดใช้ที่ตบหน้าเขา!
ความชั่วร้ายปรากฏในดวงตาของฉีมั่วเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนั้น
มู่เสวี่ยซินตะลึงไปเพราะคำพูดของฉีมั่ว นางไม่เคยคิดจริงๆ ว่าพระสนมฉินจะกล้าขนาดที่ทำให้นางที่เป็นองค์หญิงอย่างถูกต้องไปเป็นอนุ!
“ฉีมั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำสำเร็จแน่!” มู่เสวี่ยซินขบฟันและจ้องหน้าฉีมั่วด้วยสายตารังเกียจ “ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ยังเป็นองค์หญิง เจ้าควรจะทำตัวเคารพข้าเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า!”
พูดจบมู่เสวี่ยซินก็กระแทกไหล่ฉีมั่วออกไปนอกห้อง
“นังสารเลว!” ขณะที่ฉีมั่วมองแผ่นหลังของมู่เสวี่ยซิน เขาก็พูดอย่างชั่วร้ายว่า “ข้าจะยอมให้เจ้าแผลงฤทธิ์ต่อไปอีกหน่อย หลังจากที่เจ้ามาเป็นอนุข้าเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องมาอ้อนวอนข้า!”
คำพูดของเขาดังเข้าหูของมู่เสวี่ยซิน
ทันทีที่นางปิดประตู นางก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาต่อไปได้แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
“ฉีซู ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าจะเคยปฏิเสธข้าแต่หัวใจของข้าก็มีแค่เจ้า” มู่เสวี่ยซินหยิบพู่หยกออกมา พู่หยกนี้เป็นสัญลักษณ์การหมั้นหมายกับฉีซูในตอนที่อวิ๋นเยว่ชิงยังอยู่ที่นี่ “ตอนนั้นข้าคิดแล้วคิดอีกก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปนครเฟิงหลินเพื่อตามหาเจ้า เมื่อเสด็จพ่อหายดี…
…ถ้าเจ้ารักข้า ข้าจะติดตามเจ้าไม่ว่าจะยากลำบากหรือเหนื่อยสักแค่ไหน ถ้าเจ้าไม่ได้รักข้า ข้าก็จะเป็นน้องสาวของเจ้าและจะไม่มีวันเสียใจ….
…แต่ว่า ข้าคงรอถึงวันนั้นต่อไปไม่ไหว…
…ฉีซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อไม่มีเจ้าแล้ว ข้าก็ผ่านในแต่ละวันไปได้เพราะข้ามีเสด็จพ่อที่รักข้าเสมอ ข้าอยากช่วยเสด็จพ่อด้วยทุกอย่างที่ข้ามี”
มู่เสวี่ยซินหลุบตา สายตาของนางมีแต่ความเศร้าโศก “ดังนั้น ถ้าไม่สามารถช่วยเสด็จพ่อได้จริงๆ ข้าก็จะตายตามเขาไปดีกว่าต้องมาทรมานจากการโดนฉีมั่วทำให้เสื่อมเสียเกียรติ…”
สตรีที่ดีไม่สามารถแต่งงานกับสามีสองคนได้
นางไม่ใช่แค่มีสัญญาหมั้นหมายกับฉีซู แต่นางยังยกหัวใจตัวเองให้เขาด้วย ดังนั้นนางไม่มีทางยอมให้ตัวเองแต่งงานกับบุรุษอื่นแน่!
ถ้านางไม่สามารถปกป้องความบริสุทธิ์ของตัวเองได้แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม
มู่เสวี่ยซินทรุดตัวลงที่พื้นอย่างเหนื่อยอ่อน นางยกมือขึ้นกุมหน้าแล้วสะอึกสะอื้นโดยไม่มีเสียง
…
เมืองจักรพรรดิ
เมื่อฉีซูก้าวเข้ามาในถนนที่คึกคักอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งหมดก็ไหลบ่าเข้าสู่จิตใจและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความทรงจำ
“ฉีซู บอกข้าซิว่าตระกูลฉีแข็งแกร่งแค่ไหน” อวิ๋นลั่วเฟิงถามขณะมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างตัว
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉีซูก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามอย่างจริงจัง “คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลฉีคือท่านพ่อของข้า ฉีเจิ้ง เขาผ่านด่านเลื่อนขั้นเป็นเซียนแล้วและอีกแค่ก้าวเดียวก็เลื่อนขึ้นเป็นขั้นเซียนสวรรค์ แม่นางอวิ๋น ข้ารู้ว่าความแข็งแกร่งของท่านต้องโดดเด่นมากแน่แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์สองคน”
อวิ๋นลั่วเฟิงตะลึงงันไปชั่วครู่ ตอนแรกนางคิดว่าดูจากความแข็งแกร่งของตระกูลฉี อย่างน้อยฉีเจิ้งก็น่าจะเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ นางไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียน
ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์จำนวนมากอย่างแคว้นเฟิงอวิ๋น ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสำเร็จ…
“แม่นางอวิ๋น ท่านอย่าสงสัยข้าเลย ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสามารถสัมผัสได้ถึงกฎของสวรรค์และปฐพีแล้วยิ่งคนใดสัมผัสได้มากเท่าไหร่คนคนนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ฉีเจิ้งอาจจะพึ่งเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนได้เพียงห้าปีแต่เมื่อได้ความช่วยเหลือจากอาจารย์ข้า เขาก็แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกฌานขั้นเซียนทั้งหมด”
แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกฌานขั้นเซียนงั้นหรือ
อวิ๋นลั่วเฟิงยักไหล่ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่านางครอบครองเกราะเกล็ดมังกร ต่อให้นางไม่สามารถเรียกเกราะเกล็ดมังกรได้ นางก็ไม่มีทางแพ้ฉีเจิ้ง
“แล้วราชวงศ์ล่ะ” อวิ๋นลั่วเฟิงถามต่อ