ตอนที่ 1832 ช่างตีเหล็กชรา (1)
นางต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์เสียก่อน
“เรื่องภายในราชวงศ์ยิ่งซับซ้อน” ฉีซูเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิง “พวกเขามีผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสถึงสองคน!”
ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสงั้นหรือ สีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียและจริงจัง
จากขั้นเซียนสู่เซียนสวรรค์แล้วสุดท้ายก็เซียนอาวุโส!
ตระกูลฉีเป็นหนึ่งในตระกูลชั้นสูงของอาณาจักรหลิวเฟิง พวกเขาเป็นรองแค่ราชวงศ์เท่านั้น แต่นางก็ไม่คิดว่าระดับของพลังจะต่างกันมากขนาดนี้
“แม่นางอวิ๋น ในอาณาจักรนี้ เมื่อความแข็งแกร่งของใครสักคนถึงขั้นเซียน พวกเขาจะได้รับการทาบทามให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งราชวงศ์และต้องแยกกับครอบครัว จากนั้นพวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตมีความสุขจากอำนาจมหาศาลภายในอาณาจักร!” ฉีซูหยุดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ “แล้วใครจะไม่อยากมีอำนาจบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าร่วมกับราชวงศ์ก็ง่ายกว่าแย่งชิงกันเปิดสำนักของตัวเองอยู่ข้างนอก! เพราะเรื่องนี้ตระกูลฉีจึงกลายเป็นหนึ่งในตระกูลชั้นสูง!”
“แล้วยอดฝีมือขั้นเซียนอาวุโสเป็นใคร” อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้วแล้วถาม
“พวกเขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอาณาจักรหลิวเฟิงและอยู่เหนือทุกคน ฐานะของเขายังยิ่งใหญ่กว่าราชวงศ์เสียอีก!” ฉีซูทำหน้าจริงจัง “แต่ว่าพวกเขาไม่อยากยุ่งกับราชวงศ์! มีแค่ตอนที่พวกเขาต้องการบางอย่างเท่านั้น พวกเขาถึงจะมาให้ราชวงศ์ทำให้”
พูดอีกอย่างก็คือผู้มีอำนาจที่แท้จริงของราชวงศ์ก็คือยอดฝีมือขั้นเซียนอาวุโสสองคนนั้น แต่ว่าพวกเขาสนใจแค่เรื่องฝึกพลังฌานและไม่สนเรื่องอื้อฉาวใดๆ ของราชวงศ์ ดังนั้นคนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดก็คือจักรพรรดิของอาณาจักรหลิวเฟิง
“ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นลั่วเฟิงลูบคาง ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าอยากไปเจอคู่หมายวัยเด็กของเจ้าหรือไม่”
ฉีซูแก้มแดงเถือกแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “แม่นางอวิ๋น ข้าตั้งใจจะไปพบนางก็ต่อเมื่อข้าประสบความสำเร็จแล้วเท่านั้น ข้าไม่อยากให้นางมากังวลเรื่องของข้าและอีกอย่าง…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่อยากให้คนรู้ว่าข้ากลับมาที่เมืองจักรพรรดิมากเกินไป”
“ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยากจัดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย” อวิ๋นลั่วเฟิงยักไหล่
“แม่นางอวิ๋น ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ไหน”
อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาแล้วถามว่า “เขตที่ย่ำแย่ที่สุดของเมืองจักรพรรดิอยู่ตรงไหน”
ฉีซูชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิงทันที “ท่านกลัวว่าการซื้อร้านที่อยู่ในพื้นที่ดีๆ จะสะดุดตามากเกินไปใช่หรือไม่ ท่านจึงเลือกที่ห่างไกลความเจริญ”
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงได้ยินคำอธิบายของเขาก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ในเวลาแบบนี้พวกเราไม่ควรดึงดูดความสนใจเท่าไรนัก”
“ข้ารู้ นั่นคือเขตประจิมเจ้าค่ะ” ฉีหลิงก็พูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รอฉีซู ใบหน้าเล็กๆ ของนางแดงระเรื่อในขณะที่แพขนตายาวนางขยับขึ้นลง แลคล้ายตุ๊กตาน่าเอ็นดู
“ไปกันเถอะ พวกเรามุ่งหน้าไปเขตประจิมกัน” คำว่า ‘เขตประจิม’ ทำให้ฉีซูเหม่อไปพักหนึ่ง
อวิ๋นลั่วเฟิงสังเกตเห็นอารมณ์วูบไหวอยู่ในดวงตาของฉีซูแต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วให้ฉีซูนำทางไปยังเขตประจิม
…
เทียบกับเขตบูรพาที่ครื้นเครงแล้ว เขตประจิมมีคนน้อยมาก ไม่ว่าจะในร้านค้าหรือบนถนนก็มีคนเพียงสองสามคนเท่านั้น
ด้านนอกร้านโล่งๆ ร้านหนึ่งมีช่างตีเหล็กชราคนหนึ่งกำลังใช้ค้อนตีกระบี่ที่ยังร้อนอยู่อย่างต่อเนื่อง ช่างตีเหล็กชราคนนี้ดูอายุมากแล้ว เส้นผมสีดอกเลาทั้งศีรษะทำให้เขาดูอ่อนแอมาก
ตอนที่กำลังจดจ่ออยู่กับงาน เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยสองเสียงดังขึ้นจากหน้าร้าน ซึ่งทำให้เขาตัวแข็งไปทันที
“ท่านลุง” ช่างตีเหล็กชราเงยหน้า เขาแสดงสีหน้าไม่เชื่อว่าคนทั้งสองตรงหน้าจะเป็นคนที่เขาคิดจริงๆ ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างห้ามไม่ได้ ขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ซูเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ท่านลุงอย่างนั้นหรือ
ตอนที่ 1833 ช่างตีเหล็กชรา (2)
ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงฉายแววตกตะลึง ชายชราผู้นี้เป็นลุงของฉีซูงั้นหรือ นางมองสำรวจรูปลักษณ์ของช่างตีเหล็กชรา คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าชายชราผู้นี้เป็นตาของเขาได้
แต่สักพักอวิ๋นลั่วเฟิงก็เห็นว่าชายชราผู้นี้ไม่ได้อายุมากขนาดนั้น เขาดูอายุราวสามสิบสี่สิบปี แสดงว่าต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาดูแก่กว่าที่เป็น
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ไอ้สารเลวฉีเจิ้งรู้หรือยัง” เมื่อพูดถึงฉีเจิ้ง ช่างตีเหล็กชราก็ทำสีหน้าเคียดแค้นราวกับว่าเขาอยากจะหั่นฉีเจิ้งเป็นชิ้นๆ
“ท่านลุง ปีนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ความรู้สึกทั้งหลายพรั่งพรูเข้ามาเติมเต็มจิตใจของฉีซู
ปีนั้นเกิดเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในตระกูลหลิน มารดาของเขาจึงพาท่านลุงและครอบครัวมาที่ตระกูลฉี ซึ่งตระกูลฉีก็ดูแลพวกเขาอย่างดีเพราะอาจารย์ของฉีซู แต่ว่าหลังจากที่อาจารย์หายตัวไป ตระกูลฉีก็ไล่ท่านลุงและครอบครัวของเขาออกมา
ตระกูลเดิมของท่านลุงเป็นช่างตีเหล็กและคอยหลอมอาวุธให้คนอื่น ปกติแล้วด้วยฝีมือของเขา เขาย่อมมีชีวิตที่รุ่งเรืองได้ แต่เขากลับถูกตระกูลฉีขัดขวางจึงต้องมาใช้ชีวิตอย่างน่าอดสู่อยู่นี่
“ก็ดี” ช่างตีเหล็กชรายิ้ม รอยยิ้มของเขาดูฝืน ไม่ว่าใครเห็นก็บอกได้ว่าเขาแค่พยายามจะไม่ทำให้ฉีซูกังวลเท่านั้น
“ท่านลุง ท่านแม่มาที่นี่บ้างหรือไม่ขอรับ” ฉีซูถอนหายใจแล้วถาม
ช่างตีเหล็กชราสะดุ้ง “เจ้าไม่รู้หรือว่ามารดาของเจ้าถูกขังไว้”
คำถามของเขาทำให้สีหน้าของฉีซูเปลี่ยนไปทันที “ฉีเจิ้ง ไอ้ชั่วนั่นขังมารดาข้าไว้งั้นหรือ”
ช่างตีเหล็กชราหัวเราะอย่างเย็นชา “มีอะไรที่คนไร้หัวใจอย่างไอ้สารเลวนั่นทำไม่ได้บ้าง สองสามเดือนก่อนป้าของเจ้าล้มป่วย มารดาของเจ้าจึงแอบนำเงินออกมาเพื่อหาแพทย์มาดูอาการ แต่ว่าฉีเจิ้ง ไอ้บ้านั่นดันส่งคนมาขโมยเงินไปแล้วทำร้ายนาง”
พูดถึงตรงนี้ ช่างตีเหล็กชราก็ถอนหายใจ
“เขาพูดว่าเงินนี้เป็นของตระกูลฉีและมารดาเจ้า ใครก็ตามที่มาเป็นกาฝากเกาะคนอื่นย่อมไม่มีสิทธิ์ได้เงินนี้ไป แต่ว่าธุรกิจการค้าใดของตระกูลฉีก็เป็นอาจารย์เจ้าที่ช่วยสร้างขึ้นทั้งนั้น!”
ฉีซูกำหมัดแน่น และแม้ฉีหลิงจะไม่พอใจที่หลินฉิงไม่ปกป้องพวกเขาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อนางได้ยินว่ามารดาถูกทำร้าย ใบหน้าเล็กและบอบบางของนางก็ฉายแววเดือดดาล
“ท่านลุง ท่านป้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ นางหายดีหรือยัง” ฉีซูถามอย่างกังวล
สีหน้าของช่างตีเหล็กชรามืดครึ้ม “ก็ยังเหมือนเดิม”
ยิ่งไปกว่านั้นอาการของนางยังแย่ลงกว่าเดิมด้วย นางอาจอยู่ได้อีกไม่กี่วัน แน่นอนเขาไม่มีทางบอกฉีซูเรื่องนี้ ตอนนี้สถานะฉีซูเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ดังนั้นเขาจะลากหลานชายมายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร
“ท่านลุง ให้ข้าได้เข้าไปเยี่ยมท่านป้าหน่อยเถอะ ข้าอยากพูดเรื่องสำคัญบางอย่างกับท่าน” ฉีซูทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักใครคนหนึ่ง สตรีท่านนี้คืออวิ๋นลั่วเฟิงและนางก็เป็น…นายหญิงของข้าและอาจารย์ของเสี่ยวหลิง”
ฉีซูไม่ได้ปิดบังตัวตนของอวิ๋นลั่วเฟิงต่อหน้าช่างตีเหล็กชรา และเขายังยินดีจะแสดงตัวเป็นผู้ติดตามของอวิ๋นลั่วเฟิงอีกด้วย!
ช่างตีเหล็กชรามองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างแปลกใจ หลานเขามักจะวางตัวหยิ่งยโสอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขากลับยินดีติดตามใครบางคนแล้วหรือ สตรีผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“แม่นางอวิ๋น นี่คือท่านลุงของข้า ท่านเชื่อใจเขาได้” ฉีซูพูดพร้อมรอยยิ้ม
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรเพราะนางเชื่อในตัวฉีซู
“ท่านลุง พวกเรามาที่เมืองจักรพรรดิก็เพื่อมาเปิดร้านโอสถ ท่านยินดีขายร้านของท่านพวกเราหรือไม่ขอรับ” ฉีซูถามอย่างจริงจัง
ช่างตีเหล็กชรายิ้ม “ถ้าเจ้าอยากได้ร้าน ก็เอาไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ขายอะไรที่นี่ การเปิดไว้เฉยๆ ก็เท่ากับเสียเปล่า”
สายตาฉีซูเต็มไปด้วยความคิดร้อยแปด ก่อนจะเผลอหันไปมองอวิ๋นลั่วเฟิง
ตรงข้ามกับความคิดของเขา อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้าโดยไม่รีรอ “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะรับร้านนี้เอาไว้ก็แล้วกัน ส่วนค่าตอบแทน ข้าจะรักษาป้าเจ้าให้”