ตอนที่ 1878 คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ (5)
ความจริงแล้วองครักษ์โดนฉีซูเตะจนลุกไม่ขึ้น
ส่วนฉีเจิ้ง…
เมื่อมีอวิ๋นอี้ยืนอยู่ข้างหลัง เขาก็ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น!
ไม่ต้องพูดถึงฉีเจิ้ง แม้แต่ฉีมั่วที่ทำตัวอวดดีอยู่ตลอดก็ยังไม่กล้าพูดออกมาสักคำเดียว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขายกโทษให้ฉีซูแต่…หลังจากที่ฉีซูกลับเข้าตระกูลฉี เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสู!
หลายวันนี้หลังจากที่เขาโดนทำร้ายอย่างทารุณ เขาก็ไม่กล้าต่อต้านฉีซูอีกต่อไป
ยกเว้นว่าพระสนมฉินจะสังหารฉีซูได้…
ใช่แล้ว
ตอนนี้ฉีมั่วรู้สึกว่าพระสนมฉินไม่สามารถสังหารฉีซูได้ ไม่อย่างนั้น ฉีซูก็คงไม่ทำตัวไร้มารยาทกับนาง
ตอนนั้นเองเสียงตะโกนอย่างเย็นชาก็ดังขึ้นจากท้องฟ้าจนทุกคนได้ยินกันทั่ว “เด็กน้อย เจ้ากล้าทำร้ายพระสนมงั้นหรือ”
เมื่อฉีซูได้ยินเสียงนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบราวกับมีค้อนทุบที่หน้าอกของเขา มือของเขาสั่นจนทำให้พระสนมฉินร่วงหลุดจากมือเขาไป
บนท้องฟ้าปรากฏร่างของชายชราผู้หนึ่งที่ยืนเอามือไพล่หลัง เขาก้มมองฝูงชนที่เอะอะด้านล่างด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายขุ่นเคือง
“ผู้อาวุโสหวัง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นชายชรา พระสนมฉินก็รีบตะโกนเรียกเขาเหมือนนางเห็นผู้ช่วยชีวิต
ผู้อาวุโสหวังไม่ได้พูดอะไร เขาจ้องฉีซูด้วยดวงตาดุร้าย จากนั้นเขาก็ปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาทันที
เมื่อฉีซูโดนกลิ่นอายนั้นโจมตี เขาก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกแล้วกระอักเลือดออกมา
ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์!
ชายชราผู้นี้เป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ของอาณาจักรหลิวเฟิง!
ฉีซูกดความตะลึงในใจแล้วพยายามหาทางส่งข่าวให้มู่เอ๋อร์เพื่อมาจัดการกับชายชราผู้นี้
แต่ว่า…
ตอนที่ฉีซูกำลังจะถูกกลิ่นอายครอบงำ ร่างสีขาวก็เข้ามายืนขวางข้างหน้าเขา
“ฉีซู ดูแลน้องสาวของเจ้าด้วย”
ฉีหลิงเองก็ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายของชายชราเหมือนกัน ตอนนี้นางหน้าซีดและไม่สามารถพูดอะไรได้
ฉีซูตะลึง
ทันทีที่แม่นางอวิ๋นมายืนข้างหน้าเขา แรงกดดันก็หายไป
แม่นางอวิ๋นก็เป็นผู้ฝึกฌานขึ้นเซียนสวรรค์เหมือนกันหรือ
เป็น…ไปได้หรือนี่
“เด็กน้อย เจ้าอยากสอดมือยุ่งกับเรื่องของข้างั้นหรือ” นัยน์ตาของชราเข้มขึ้น “ข้าแค่ได้ยินว่ามีใครบางคนกำลังรังแกคนในราชวงศ์ของพวกเรา ข้ามาที่เพื่อทวงความยุติธรรมให้ราชวงศ์เท่านั้น เจ้าสนใจแต่เรื่องของตัวเองดีกว่า”
เมื่อสักครู่ตอนที่คนของพระสนมฉินเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เขาก็กลับไปที่พระราชวังเพื่อขอให้ใครบางคนมาช่วย
ผู้อาวุโสหวังที่กำลังฝึกพลังฌานก็รีบมาที่นี่ทันทีหลังจากได้ยินรายงาน
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ เขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิในพระราชวัง
เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิก็มีผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสถึงสองคนคอยคุ้มกัน
พระสนมฉินเป็นรักแท้ของจักรพรรดิ ถึงแม้ว่านางจะรังแกองค์หญิงแบบนั้น จักรพรรดิก็ยังยกโทษให้นางซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าจักรพรรดิรักนางจริงๆ
ดังนั้นเขาถึงเข้าข้างพระสนมฉินอย่างไม่มีเงื่อนไข
ถึงแม้ว่าพระสนมฉินจะทำผิดก็ตาม!
“ผู้อาวุโสหวัง อย่าปล่อยสตรีคนนี้ไปเจ้าค่ะ นางเป็นพวกเดียวกับฉีซู นางดูถูกราชวงศ์ ทำให้ฝ่าบาทเสียเกียรติ นางบังคับให้ข้าคุกเข่าให้นางแล้วบอกว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรได้รับแล้ว!” พระสนมฉินยิ้มเยาะแล้วจ้องหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง
ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายอยู่รอบๆ พระสนมฉินก็คิดว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านคำพูดของนาง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีใครกล้าปกป้องอวิ๋นลั่วเฟิงและฉีซูเมื่อพวกเขาได้ยินคำใส่ร้ายของพระสนมฉิน
นี่เป็นเรื่องความหลายมาตรฐานของโลกใบนี้
“โอ้” ดวงตาของผู้อาวุโสหวังเข้มขึ้นทีละน้อย ก่อนเขาจะพูดอย่างเย็นชาว่า “สมควรได้รับงั้นหรือ ฮึ่ม! ข้าอยากจะรู้หนักว่าอะไรที่ทำให้เจ้าอวดดีอย่างนี้! ”
…………………………
ตอนที่ 1879 คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ (6)
เขาไม่สงสัยในคำพูดของพระสนมฉินเลย
ไม่ว่าพระสนมฉินจะพูดอย่างนี้หรือไม่ เขาก็ตัดสินใจเข้าข้างพระสนมฉินอยู่แล้ว และนั่นย่อมหมายความว่านางไม่ได้ใส่ร้ายสตรีผู้นี้
“ดูเหมือนว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งของราชวงศ์ก็มีฝีมือแค่นี้สินะ”
อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกพลังฌานมากไปจนสมองโดนทำลาย เจ้าไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเลยหรือ เจ้าทำแบบนี้เพียงเพราะเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์งั้นหรือ เจ้าไม่สนใจชื่อเสียงเลยใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสหน้าหวังบึ้งทันที เทียบกับอวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว เขาเชื่อพระสนมฉินมากกว่า
อวิ๋นลั่วเฟิงเดินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ ชุดคลุมสีขาวราวหิมะบนร่างยิ่งทำให้นางดูงดงามราวกับภาพวาด
“อีกอย่าง พระสนมฉินก็ไม่ใช่ผู้ปกครองอาณาจักรหลิวเฟิง!”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสหวังแล้ว แต่กลิ่นอายของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
“ฮึ่ม ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
ดูเหมือนว่ายอดฝีมือของราชวงศ์จะไร้สมองและไม่สนใจชื่อเสียงของอาณาจักรหลิวเฟิงแม้แต่น้อย
หลังจากที่พูดจบผู้อาวุโสหวังก็ไม่พูดอะไรอีก เขาพุ่งเข้าไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง มือของเขาเข้าโจมตีอวิ๋นลั่วเฟิงเหมือนกับกรงเล็บของเหยี่ยว
ตูม!
แทนที่อวิ๋นลั่วเฟิงจะถอย นางกลับเดินหน้า ฝ่ามือของทั้งคู่ปะทะกันกลางอากาศ ตอนนั้นเองทุกคนก็รู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยพลังมหาศาล
ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ถอยหลังไปสองสามก้าว มุมปากนางมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
“แม่นางอวิ๋น!”
“อาจารย์!”
ฉีซูหน้าซีดและฉีหลิงก็ระเบิดน้ำตา ถ้าท่านป้าอวิ๋นอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มียอดฝีมือของราชวงศ์คนใดกล้าทำกับพวกเขาแบบนี้!
เมื่อท่านป้าอวิ๋นไม่อยู่ที่นี่ พวกเราก็ไร้อำนาจ
“หลิงเอ๋อร์” ฉีซูสูดหายใจเข้า “ไปตามหามู่เอ๋อร์”
ดวงตาของฉีหลิงสว่างวาบ นางลืมพี่หญิงมู่ไปได้อย่างไร! เมื่อคิดได้อย่างนั้นนางก็รีบหันหลังมุ่งหน้าไปที่จวนองค์หญิง
“เร็วเข้า รีบหยุดนังเด็กชั้นต่ำนั่น!” พระสนมฉินกัดฟันแล้วตะโกนขึ้น
ตอนที่องครักษ์กำลังจะออกไปไล่ตามจับนาง พวกเขาก็ถูกฉีซูหยุดเอาไว้
“ข้าอยากรู้ว่าใครจะกล้าแตะต้องหลิงเอ๋อร์!”
กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งมากแล้วพุ่งเข้าโจมตีองครักษ์ แน่นอนว่าองครักษ์ไม่สามารถขยับได้อีกหลังจากที่โดนกลิ่นอายของฉีซู่ครอบงำ
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรอยู่” พระสนมฉินหันไปมงฉีเจิ้งอย่างโมโห “เร็วเข้า จับตัวไอ้เด็กเหลือขอนั่นไว้!”
ฉีเจิ้งไม่รู้ว่าจะอธิบายให้นางฟังอย่างไร เขาไม่กล้าทำตัวบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็จะทุบตีเขาอีกครั้ง
พระสนมฉินกระทืบเท้าอย่างแค้นเคือง แม้แต่ในเวลาแบบนี้ท่านพี่ก็ไม่อยากแตะต้องบุตรชายงั้นหรือ
น่าขันที่พระสนมฉินไม่รู้ว่าที่ฉีเจิ้งไม่โจมตีฉีซูไม่ใช่เพราะฉีซูเป็นบุตรชาย แต่เขากลัวอวิ๋นอี้ต่างหาก ถ้าฉีเจิ้งเห็นฉีซูเป็นบุตรชายจริงๆ เขาจะไล่ฉีซูออกจากตระกูลฉีได้อย่างไร และเขายังคิดจะขายฉีหลิงอีกด้วย!
บนท้องฟ้า อวิ๋นลั่วเฟิงเงยหน้ามองชายชราตรงหน้านางก่อนที่ดวงตาสีนิลขอนางจะเป็นประกายเย็นชา
นี่น่ะหรือความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์
แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ฝึกฌานขั้นต่ำกว่าจะต้านการโจมตีของฝู้ฝึกฌานขั้นสูงกว่าได้ โชคดีที่พลังกายภาพของนางแข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นางคงบาดเจ็บหนักไปแล้ว
“เด็กน้อย ข้ายอมรับว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่ดีในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์อย่างไร เจ้าก็ถูกกำหนดให้ต้องพ่ายแพ้แก่ข้า” ชายชราแค่นเสียงอย่างเฉยชา
อวิ๋นลั่วเฟิงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นนางก็ค่อยๆ หลับตาภายใต้สายตาของทุกคน
ทุกคนชะงักเพราะไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร หรือว่า…สตรีผู้นี้จะยอมแพ้หลังจากที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางชนะ