ตอนที่ 1912 การประลองระหว่างสี่อาณาจักร (3)
คุณชายรองฉีนั่งอยู่ข้างนางด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “รั่วเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี ถ้าพี่สาวเจ้าที่อยู่บนสวรรค์รู้เข้า นางต้องโทษข้าแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา อวี้เซียนเซียนก็ลืมตาที่อ่อนล้าของนางขึ้น รอยยิ้มอ่อนแรงปรากฏบนใบหน้าซีดเผือดของนาง
“พี่เขย นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน หากท่านไม่ได้พาข้าออกมาจากจวนตามคำขอของท่านพี่หญิง ข้าก็คง…ถูกส่งไปเป็นอนุขององค์ชายสามแล้ว”
“แต่อาการป่วยของเจ้า…”
“เทียบกับการเจ็บป่วยแล้ว ข้ายังกลัวการไปเป็นอนุขององค์ชายสามมากว่าเสียอีก พี่เขย ท่านรู้หรือไม่ว่าองค์ชายสามโหดร้ายมาก และข้ายังได้ยินด้วยว่าเขาทรมานอนุคนก่อนของเขาจนตาย” ขณะที่พูดหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ “เหตุใดพวกเขาถึงทำตัวโหดร้ายได้ขนาดนี้ เหตุใดถึงคิดจะยกข้าให้องค์ชายสาม”
พี่สาวของนางเป็นอดีตพระชายาขององค์ชายรองซึ่งถูกคนที่เรียกตัวเองว่าญาติส่งมาให้องค์ชายรอง โชคดีที่องค์ชายรองตกหลุมรักพี่สาวของนางตั้งแต่แรกเห็น เขายืนหยัดท่ามกลางความโกลาหลแล้วแต่งงานกับนางในฐานะพระชายา หลังจากนั้นเขาก็ดูแลนางราวกับสมบัติล้ำค่า
ตอนที่พี่สาวของนางยังมีชีวิตอยู่ คนพวกนั้นจากตระกูลหลินก็ดูแลนางอย่างดี โชคร้ายที่ทันทีที่พี่สาวของนางเสียชีวิต พวกเขาก็ตั้งใจจะผลักไสนางออกไป เหตุผลที่พี่สาวของนางทิ้งคำขอก่อนตายเอาไว้แบบนี้ก็เพราะกังวลเกี่ยวกับบุตรสาวที่ยังเล็กของนาง อย่างที่สองก็คือนางอยากหาข้ออ้างเพื่อพาน้องสาวของนางออกมาจากตระกูล
พี่สาวของนางเชื่อว่าองค์ชายรองจะปกป้องน้องสาวของนางแทนนาง
“รั่วเอ๋อร์ เจ้าทำใจให้สบายแล้วพักฟื้นเถอะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าแน่ สองสามวันนี้เจ้าสามารถอยู่ในจวนของข้าได้อย่างสบายใจ”
อวี้เซียนเซียนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เห็นบุรุษที่นั่งอยู่ข้างนางยืนขึ้น ใบหน้าที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เมื่อนางมององค์ชายรอง นางก็รู้สึกซาบซึ้ง ขณะเดียวกันนางก็เข้าใจว่าองค์ชายรองดูแลนางอย่างดีก็เพราะคำขอสุดท้ายของพี่สาวนาง…แต่เขาคงไม่รู้ว่านางเองก็ตกหลุมรักเขาเหมือนกัน…
ถึงแม้ว่าในใจขององค์ชายรองจะมีพี่สาวของนางเท่านั้น นางก็ยังไม่ยอมแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้รัก ดังนั้นนางจึงยอมเป็นแม่เลี้ยงในนามขององค์หญิงฉีเยว่
เมื่อใดที่นางเจอบุรุษที่นางรัก องค์ชายรองก็จะปล่อยนางไป
“องค์ชาย” ตอนนั้นเององครักษ์ก็เดินเข้ามาแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “มีคนที่ชื่อฉีซูมาขอพบองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีซู คุณชายรองฉีชะงักไปก่อนจะออกคำสั่ง “ให้เขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย” องครักษ์ถอยออกไป
“แค่กๆ” อวี้เซียนเซียนไอแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก นางยิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพูดว่า “พี่เขย บุรุษที่ชื่อฉีซูเป็นใครเจ้าคะ”
“ฉีซูเป็นคนที่ข้าบังเอิญเจอที่อาณาจักรหลิวเฟิง น้ำยาผสานฌานและหุ่นเชิดที่ข้ามีก็ได้มาจากเขา”
“อย่างนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้น ฉีซูก็คงเป็นคนที่น่าประทับใจมาก”
“นั่นเป็นแค่เรื่องธรรมดา” คุณชายรองฉีหัวเราะเสียงดัง “ถ้าฉีซูไม่ได้มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ข้าก็คงตั้งใจจะเป็นพ่อสื่อให้พวกเจ้าทั้งสองคน น่าเสียดาย…”
อวี้เซียนเซียนยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไร ในชีวิตของนางหลังจากที่ได้พบบุรุษอย่างพี่เขยก็เป็นเรื่องยากที่นางจะตกหลุมรักบุรุษคนอื่น…
ต่อให้พี่เขยไม่สามารถลืมพี่สาวของนางได้ทั้งชีวิต นางก็ยินดีอยู่เคียงข้างเขาในฐานะน้องสาวก็เพียงพอแล้ว ตอนนั้นเององครักษ์ก็เดินนำบุรุษและสตรีคู่หนึ่งเข้ามาในห้อง
ชายหนุ่มดูหล่อเหลาไร้ที่ติในขณะที่ท่าทางของเขาแผ่กลิ่นอายแบบชนชั้นสูงออกมา ส่วนสตรีที่อยู่ข้างเขา…ทันทีที่อวี้เซียนเซียนเห็นนาง ดวงตาของนางก็ปรากฏความตะลึง ไม่แน่บนโลกนี้อาจจะไม่มีใครที่ไม่หวั่นไหวไปกับสตรีงดงามขนาดนี้
ตอนที่ 1913 การประลองระหว่างสี่อาณาจักร (4)
ตอนนั้นเอง…ที่หญิงสาวคนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยจางๆ ราวกับว่านางเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน อวี้เซียนเซียนขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก
“ฉีซูคำนับองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ!” ฉีซูประสานมือแล้วพูดขึ้น
อวิ๋นลั่วเฟิงยืนเอามือไพล่หลังไว้โดยมีสายลมเบาๆ พัดผ่านร่างของนาง เส้นผมสีดำนุ่มลื่นคล้ายน้ำตกกับดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำทำให้นางดูเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“นายน้อยฉี เจ้ามาไกลที่เดียวแต่ตอนนี้ข้าคงไม่สามารถต้อนรับเจ้าได้ ข้าขอเจ้าอย่าถือสาเลย” นายท่านรองฉียิ้มแล้วก้มศีรษะ เขาก็สังเกตเห็นว่าอวี้เซียนเซียนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“รั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดอะไรอยู่” อวี้เซียนเซียนเอียงคอ “ข้ารู้สึกว่าพี่สาวท่านนี้มีใบหน้าที่คุ้นมาก เหมือนข้าเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อน”
คำพูดโดยไม่ตั้งใจของนางทำให้ดวงตาลึกล้ำของอวิ๋นลั่วเฟิงหันมามอง
คุ้นตางั้นหรือ หรือว่าจะเป็น…อวิ๋นเยว่ชิง
ฉีซูเองก็คิดเหมือนกัน แล้วเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แม่นาง หรือว่าคนที่ท่านเคยเจอจะป็นอาจารย์ของข้า”
นายท่านรองฉีเข้าใจฉีซูอยู่บ้าง เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของอวิ๋นเยว่ชิง เมื่อได้ยินพวกเขาพูดแบบนี้ เขาก็ตะลึงแล้วหันไปมองอวี้เซียนเซียน
“อ้อ ข้าจำได้แล้ว!” อวี้เซียนเซียนตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ผู้มีพระคุณของข้านี่เอง นางดูเหมือนผู้มีพระคุณของข้าเลย”
“ผู้มีพระคุณงั้นหรือ เจ้ารู้จักชื่อนางหรือไม่” ฉีซูหายใจถี่ขึ้นขณะถามขึ้นอย่างกังวล
“เมื่อปีที่แล้วตอนที่พี่สาวของข้ายังอยู่ พวกเราโดนใครบางคนคนไล่ล่า แล้วผู้มีพระคุณของพวกเราก็บินลงมาจากฟ้าก่อนจะช่วยพวกเราไว้ นางบอกว่านางเป็นสหายกับมารดาของข้าจึงช่วยพวกเรา เมื่อครึ่งปีที่แล้วข้าก็ยังเห็นนางที่งานศพของพี่สาว นางมาเพียงครู่เดียวแล้วก็จากไป…”
มารดาของนางเสียไปตั้งแต่นางยังเด็ก และพวกนางก็ไม่รู้ว่ามารดาของพวกนางมีสหายเช่นนี้ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องยากนักที่พวกนางจะสงสัยผู้มีพระคุณ…
“เจ้ากับพี่สาวเคยโดนคนไล่ล่างั้นหรือ” นายท่านรองฉีหายใจถี่และเผลอบีบมือของอวี้เซียนเซียน
“พี่เขย ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” อวี้เซียนเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย และความสิ้นหวังก็ปรากฏบนใบหน้าอ่อนแรงของนาง “พี่สาวของข้าเป็นคนห้ามไม่ให้ข้าบอกเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนายท่านรองฉีฉายแววอับอาย เขาปล่อยมือแล้วพูดว่า “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
ตอนนั้นเองฉีซูก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นได้ แล้วน้ำตาเขาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
อาจารย์ เป็นอาจารย์แน่! นางยังมีชีวิตอยู่ ข้ารู้อยู่แล้ว! อาจารย์ต้องยังมีชีวิตอยู่! แต่ว่าเหตุใดนางถึงไม่มาหาข้าหากนางยังมีชีวิตอยู่
ฉีซูไม่เข้าใจและไม่ได้ใส่ใจนัก ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่อาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่
ดวงตาของนางเป็นประกาย ถ้าอวิ๋นเยว่ชิงยังมีชีวิตอยู่แล้วนางจะใช่ไป๋หลิงหรือไม่ ตามที่ฉีซูอธิบายอวิ๋นเยว่ชิงสูญเสียความทรงจำ หากนางคือไป๋หลิงแล้วจำทุกอย่างได้ นางก็คงเจ็บปวดมากหลังจากที่รู้เรื่องการตายของอวิ๋นหยาง ตัวนางเองหากอวิ๋นเซียวไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ชีวิตนางก็คงไม่มีความหมาย…
“พี่สาว ท่านเป็นอะไรกับผู้มีพระคุณของข้างั้นหรือ…” อวี้เซียนเซียนมองอวิ๋นลั่วเฟิงขณะที่ดวงตากลมโตสดใสของนางเป็นประกายไร้เดียงสา
ถึงแม้ว่านางจะอ่อนแอมาก แต่ก็ไม่สามารถปกปิดนิสัยร่าเริงดั้งเดิมของนางได้
อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง “นางอาจเป็นมารดาของข้า”
“จริงหรือ” ดวงตาของอวี้เซียนเซียนสว่างขึ้นแล้วยิ้ม “พี่สาว ถ้าท่านได้เจอผู้มีพระคุณของข้าในอนาคต ได้โปรดฝากขอบคุณนางแทนข้าด้วย ข้าเกรงว่า…ข้าจะไม่สามารถอยู่รอขอบคุณนางได้ด้วยตัวเอง”
“เซียนเซียน อย่าพูดอะไรโง่ๆ เจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน” นายท่านรองฉีขมวดคิ้วแล้วทำท่าตำหนินาง