ตอนที่ 1934 โดนกวาดล้างหมดเลยงั้นหรือ (1)
เสี่ยวโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก ในเมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงเชื่อว่าเขาคือเจวี๋ยเชียน ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเขาจริงๆ !
“นายหญิง ตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้ว” เสี่ยวโม่พูดกับนาง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ค่อยดีราวกับว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น…
อวิ๋นลั่วเฟิงดูเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วรีบพุ่งไปที่จุดพักของกองกำลังอาณาจักรเทียนฉี
ก่อนหน้านี้กองกำลังต้องต่อสู้มาตลอด ตอนนี้พวกเขาก็กลับสู่ภาวะพักผ่อนตามเดิม นางอาศัยช่วงนี้แยกตัวจากกองกำลังเพื่อไปเก็บสมุนไพร ตอนนั้นเองภายในป่า พระอาทิตย์ตกก็เปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นสีแดงฉาน
ฉีหลิงกำกระบี่ยาวในมือแน่นขณะที่ใบหน้าก็เขาย้อมไปด้วยเลือด และสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ฉีซูกันโม่เชียนเฉิงให้อยู่ด้านหลังขณะที่เขาจัดการกับกลุ่มโจรที่โหดเหี้ยม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแสดงความสิ้นหวัง
ครึ่งหนึ่งของกองกำลังเขาโดนกำจัดไปหมดแล้ว และเขาก็กลัวว่าอีกครึ่งหนึ่งจะไม่สามารถทนได้นานนัก…
“องค์ชายรอง คนพวกนี้ดูไม่เหมือนโจรนะพ่ะย่ะค่ะ” ฉีซูใช้กระบี่รับการโจมตีและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อมองกลุ่มโจรที่ปิดบังใบหน้าและกลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ทำให้ฉีหลิงเผยรอยยิ้มโกรธเคือง เขาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าแล้วรอยยิ้มของเขาก็ดูน่าขนลุก “พระสนมหลินส่งเจ้ามางั้นหรือ”
พระสนมหลินเป็นมารดาขององค์ชายฉีอวี่ นอกจากนางแล้ว เขาก็คิดถึงคนอื่นไม่ออก
กลุ่มโจรพวกนี้ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวในขณะที่การโจมตีของพวกเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับยอดฝีมือของฉีหลิง พวกเขายิ่งดุร้าย ฉีหลิงตึงเครียดขึ้นทีละน้อย แต่เขาโกรธมากกว่า
เขาฝึกยอดฝีมือเหล่านี้ด้วยตัวเองมาหลายปีและตอนนี้พวกเขาก็กำลังจะถูกกวาดล้างจนหมดงั้นหรือ
ไม่! เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่!
ฉีหลิงกัดฟันแล้วพูดว่า “นายน้อยฉีซู พาคนที่เหลือหนีไปก่อน ข้าจะกันคนพวกนี้ไว้เอง”
เขาสัมผัสได้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเขาเพราะเขายังเป็นองค์ชายของอาณาจักรเทียนฉี ถ้ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงก็คงไม่มีใครทนแบกความรับผิดชอบได้ แต่ว่าพวกเขาปฏิบัติกับกองกำลังของเขาอย่างโหดเหี้ยม เพราะเรื่องนี้ทำให้เขารู้ว่าพระสนมหลินตั้งใจจะทำให้เขาเป็นแม่ทัพที่ไร้กำลัง เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาก็คงต้องทรมานกับความพ่ายแพ้จากการประลอง!
ฉีหลิงยิ้มเยาะ เขาจะยอมให้แผนชั่วของสตรีผู้นั้นสำเร็จได้อย่างไร
“ข้าเกรงว่าเรื่องนี้จะเกินความสามารถข้าแล้ว” ฉีซูถอยหลัง “ข้าสงสัยว่าท่านสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสองสายที่ยังไม่ปรากฏตัวหรือไม่ ทั้งคู่เป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์! ข้าไม่สามารถหลีกหนีการโจมตีของพวกเขาได้ พวกเราทำได้แค่รอแม่นางอวิ๋นกลับมา!”
ดวงตาของฉีหลิงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ในทุกอาณาจักรจะมีกลุ่มผู้อาวุโส และคนที่สามารถเข้าร่วมกลุ่มนี้ได้ก็ต้องเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฝั่งของเขาหรือพระสนมหลินก็พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผู้อาวุโสเหล่านี้เข้าร่วมกับตัวเอง!
ตอนนี้ผู้อาวุโสขั้นเซียนสวรรค์ทั้งสองเป็นพรรคพวกของพระสนมหลินแน่นอนแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ที่เขาดึงมาเข้าร่วมก็ไม่ได้ส่งข่าวมาว่ามีผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ออกจากอาณาจักรเทียนฉี
ถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จพ่ออนุญาต เรื่องอย่างการที่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ออกจากอาณาจักรเทียนฉีจะโดนปิดบังไว้ได้อย่างไร
เมื่อคิดได้อย่างนั้นสีหน้าของฉีหลิงก็ยิ่งดุดัน ขณะที่หัวใจของเขาเย็นเยียบ
ยอดฝีมือของเขากำลังจะถูกกวาดล้างจนหมดเหลือเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นเอง ขณะที่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์สองคนที่ซ่อนตัวอยู่ยังไม่ปรากฏตัว
ตอนที่ 1935 โดนกวาดล้างจนหมดงั้นหรือ (2)
ถ้าไม่ใช่เพราะฉีซูมอบสมุนไพรพลังฌานที่รักษาแผลได้ พวกเขาก็คงโดนกวาดล้างจนหมดแล้ว
โม่เชียนเฉิงยืนอยู่ด้านหลังของฉีซูและมองยอดฝีมือที่สังหารพวกเขาราวกับมดด้วยสายตาที่เป็นประกายคลุมเครือ
ข้าควรจะทดสอบโชคของข้าดีหรือไม่ ไม่แน่ผนึกอาจจะถูกปลดก็ได้…
ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจก้าวออกจากจากด้านหลังของฉีซูแล้วก้าวไปหายอดฝีมือในชุดสีดำ
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าโม่เชียนเฉิงเป็นผู้ติดตามของฉีหลิงและพุ่งเข้าโจมตีทันที
โม่เชียนเฉิงหลับตาและแรงกดดันมหาศาลก็ทับลงมาบนตัวเขา การโจมตีจุดตายมาถึงตัวเขาจนดูราวกับว่าเขาเป็นเรือลำเล็กๆ ที่เผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำ
“เจ้าคิดจะทำอะไร” สีหน้าของฉีซูเปลี่ยนไปแล้วรีบเข้าไปดึงแขนของโม่เชียนเฉิงเพื่อเอาตัวเขาออกมา แต่ว่าตอนนั้นเอง…จู่ๆ เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมาบนตัวของชายชุดดำที่พุ่งเข้ามาโจมตีโม่เชียนเฉิง ไม่นานเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางสายตาของทุกคน
กลิ่นอายที่กดดันอยู่บนร่างเขาหายไปแล้ว และความตายที่ใกล้เข้ามาเมื่อครู่ก็หายไปโดยไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
โม่เชียนเฉิงเบิกตาขึ้นด้วยความเดือดดาล เขาอยากจะเห็นหน้าคนที่ขัดขวางแผนการของเขา แต่ไม่คาดว่าจะพบเข้ากับสายตาเย็นเยียบคู่หนึ่ง เขาตัวสั่นทันทีแล้วอยากจะพูดบางอย่างออกมา แต่เมื่อเปิดปากกลับไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ความจริงแล้วเขาคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อปลดผนึก น่าเสียดายที่หลังจากที่เขามาที่นี่ เขาก็แทบไม่เจอยอดฝีมือเลย และคนธรรมดาก็ไม่สามารถสังหารหรือทำให้เขารู้สึกเหมือนแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายได้
มีแต่การโจมตีถึงตายเท่านั้นที่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เขาฝืนปลดผนึกได้ แต่ไม่คิดเลยว่าการลองครั้งแรกของเขาจะถูกอวิ๋นลั่วเฟิงมาเจอพอดี!
“อวิ๋นลั่วเฟิง ข้า…” โม่เชียนเฉิงอยากจะอธิบายแต่สตรีในชุดขาวก็หันไปมองรอบๆ แล้วมองยอดฝีมือชุดดำด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าสังหารพวกเขาทั้งหมดสนุกหรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยียบเข้ากระดูกจนดูเหมือนว่ามาจากนรกทำให้คนอื่นหวาดกลัว
“ถ้าอย่างนั้นก็ถึงตาข้าแล้ว!”
ตูม!
ก่อนที่ชายชุดดำพวกนี้จะได้ตั้งตัว สายลมรุนแรงก็ปะทะเข้ากับร่างพวกเขาแล้ว และไม่มีใครรอดชีวิตภายใต้พายุทำลายล้างนี้แม้แต่คนเดียว
“พวกเราถอย!” ถึงอย่างไรกองกำลังของฉีหลิงก็โดนกวาดล้างไปมาก และภารกิจของพวกเขาก็ถือว่าสำเร็จ ดังนั้นชายชุดดำจึงไม่ลังเลที่จะหันหลังหนี
“คิดจะหนีงั้นหรือ สายไปแล้ว…”
ปัง!
พลังที่สามารถบดบังท้องฟ้าและปกคลุมปฐพีกดลงมาจากด้านบน ร่างของพวกเขาก็ชะงักแล้วเผลอหยุดฝีเท้า
ขณะเดียวกันหญิงสาวในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง อาวุธคมและเย็นเยียบก็แทงเข้าไปที่ลำคอของเขา ทันใดนั้นเลือดก็สาดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง และทุกอย่างก็เงียบสนิท
นางเคลื่อนไหวเร็วมากจนพวกเขาไม่สามารถตอบสนองได้ทัน หลังจากที่พวกเขาได้สติก็พบกับความตายเสียแล้ว
ฉีซูและคนอื่นก็ผ่อนคลาย ตราบใดที่นางกลับมาก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้ทั้งนั้น!
“เดี๋ยวก่อน!” ทันทีที่อวิ๋นลั่วเฟิงกำจัดบุรุษไปอีกสองคน ในที่สุดผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ปรากฏตัวเป็นเงาบนท้องฟ้า
คนหนึ่งสวมชุดสีขาวท่าทางคล้ายเทพเซียน ในขณะที่อีกคนสวมชุดสีเทาดูลึกลับ
“แม่นาง ใครๆ ก็ทำผิดได้ทั้งนั้นและคนเราก็คนจะยกโทษให้ถ้าทำได้” ผู้อาวุโสในชุดสีขาวพูดอย่างเฉยชา “เหตุใดถึงจำเป็นต้องกำจัดพวกเขาจนหมดสิ้นด้วย”
อวิ๋นลั่วเฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าผู้อาวุโสสองคนนี้เป็นพวกเดียวกับชายชุดดำที่สังหารคนของนางราวกับมดปลวกพวกนั้น
“ยกโทษให้คนที่ทำผิดงั้นหรือ กวาดล้างพวกเขาก็ด้วยงั้นสิ” อวิ๋นลั่วเฟิงหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นการกระทำเมื่อสักครู่ของพวกเขานับเป็นอะไร ข้าแค่แก้แค้นเท่านั้น ใครก็ตามที่พรากชีวิตก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”