ตอนที่ 1948 การประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว (3)
“เสด็จพี่ หม่อมฉันพูดอะไรผิดหรือเพคะ”
เฉียวเยี่ยเฟิงกำหมัด “หม่อมฉันรู้ว่าเสด็จพี่ไม่อยากให้กระทบกับการประลองระหว่างสี่อาณาจักรแต่หม่อมฉันทนไม่ได้จริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามีสตรีที่เบาปัญญาและบุรุษที่ไร้ยางอายแบบนี้ในโลกด้วย! โชคดีที่หม่อมฉันฉลาดพอจึงไม่โดนบุรุษผู้นี้หลอก”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ หุบปาก! ” ชายในชุดหรูหราเงื้อมือขึ้นตบหน้าเฉียวเยี่ยเฟิง
พูดตามตรงเขาอยากตีสตรีผู้นี้มานานแล้ว นางคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกอยู่ตลอดแต่ความจริงแล้วไม่มีใครโง่ไปกว่านางแล้ว บิดาของเขาเกลียดการทะเลาะระหว่างองค์ชายและองค์หญิงดังนั้นไม่ว่าเขาจะอยากตีนางมากแค่ไหน เขาก็ทำไม่ได้
แต่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นครเฟิงอวิ๋น เขาจะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้จะกลับไปฟ้องเสด็จพ่อ เขาก็ไม่ผิด!
“เฉียวจื่อเสวียน! ” เฉียวเยี่ยเฟิงชะงักไปเพราะโดนตบ สักพักใหญ่นางถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางกุมแก้มที่บวมเบ่งของตัวเองแล้วจ้องบุรุษตรงหน้านางด้วยความไม่เชื่อ “เจ้ากล้าตีข้างั้นหรือ”
อาจจะเป็นเพราะว่านางโกรธมากเกินไป นางจึงเรียกเขาด้วยชื่อแทนที่จะเรียกว่าเสด็จพี่!
“ข้าแค่อยากสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าเท่านั้น เจ้ากล้าพูดจาแบบนี้โดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครได้อย่างไร” เฉียวจื่อเสวียนส่งเสียงขึ้นจมูก “ฉีซูเป็นนายน้อยของตระกูลฉีและตระกูลฉีก็เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลในอาณาจักรหลิวเฟิง! เจ้าไปบอกว่าเขาเป็นแค่องครักษ์คนหนึ่งได้อย่างไร”
เฉียวเยี่ยเฟิงตะลึง
เหตุใดคนแบบนี้ถึงมาที่การประลองระหว่างสี่อาณาจักร
ไม่ใช่ว่าการประลองระหว่างสี่อาณาจักรเป็นการแข่งขันระหว่างองค์ชายและองค์หญิงจากสี่อาณาจักรหรอกหรือ และพวกเขาก็จะพาองครักษ์และนางกำนัลมา! ที่สำคัญที่สุดก็คือเหตุใดทายาทของตระกูลทรงอำนาจของอาณาจักรหลิวเฟิง…ถึงยืนอยู่กับกลุ่มของอาณาจักรเทียนฉี
ถึงแม้ว่าเฉียวเยี่ยเฟิงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดแต่นางก็ไม่ขอโทษ แต่ตะโกนอย่างโกรธเคืองแทน “เสด็จพี่ เขาไม่ได้เป็นสมาชิกในราชวงศ์ด้วยซ้ำ แต่พระองค์กลับตีข้าเพราะคนชั้นต่ำอย่างเขาเนี่ยนะเพคะ”
‘ตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุด’ สำคัญอย่างไร
พวกเขาแข็งแกร่งกว่าราชวงศ์หรือ
อีกอย่างนางก็ไม่ได้พูดอะไรผิด ฉีซูอยากแต่งงานกับมู่เสวี่ยซินเพื่อฐานันดรในราชวงศ์ ไม่อย่างนั้นด้วยตัวตนของมู่เสวี่ยซิน นางก็ควรจะแต่งงานกับคนที่มาจากราชวงศ์อื่นสิ…
เฉียวจื่อเสวียนไม่คิดจะอธิบายแล้วทำแค่พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ เจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่อาณาจักรจื่อเยว่”
เมื่อได้ยินเฉียวจื่อเสวียนพูดว่าจะส่งนางกลับไป เฉียวเยี่ยเฟิงก็หุบปากทันทีและไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมื่อมู่เสวี่ยซินได้ยินเฉียวเยี่ยเฟิงพูดให้ร้ายฉีซูแบบนี้ นางก็เดินออกมาข้างหน้าอย่างเดือดดาลแล้วตั้งใจจะโต้เถียงกับนาง แต่อวิ๋นลั่วเฟิงก็หยุดไว้เสียก่อน “นางบอกว่าองุ่นเปรี้ยวก็เพราะนางไม่เคยได้กิน เจ้าอยากจะโต้เถียงกับนางเรื่ององุ่นนั้นเปรี้ยวหรือไม่เปรี้ยวจริงหรือ”
ไม่ต้องพูดถึงมู่เสวี่ยซิน แม้แต่คนที่มุงดูก็ชะงักไป หลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาก็เข้าใจว่าอวิ๋นลั่วเฟิงหมายถึงอะไรแล้วระเบิดเสียงหัวเราะ
“ไร้สาระ! ” เฉียวเยี่ยเฟิงผลักนางกำนัลที่พยายามจะหยุดนางออกไปแล้วจ้องหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง “ข้าไปพูดว่าองุ่นเปรี้ยวตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเจ้าพูดว่าข้าไม่เคยกินองุ่นงั้นหรือ น่าขันนัก! ในฐานะที่ข้าเป็นองค์หญิงของอาณาจักรจื่อเยว่ แน่นอนว่าข้าเคยกินองุ่น! ”
นางกำนัลและองครักษ์จากอาณาจักรจื่อเยว่รู้สึกอับอายจนอยากจะหาหลุมเพื่อเข้าไปซ่อน เฉียวจื่อเสวียนอับอายจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน มีแค่เฉียวเยี่ยเฟิงเท่านั้นที่สงสัยว่าเหตุใดคนอื่นถึงหัวเราะดังขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของนาง
ตอนที่ 1949 การประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว (4)
“องค์หญิงเพคะ” ในที่สุดนางกำนัลก็ทนไม่ได้ นางดึงแขนเสื้อของเฉียวเยี่ยเฟิงอย่างระมัดระวัง “นางหมายถึงว่าองค์หญิงชอบฉีซู แต่ฉีซูเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงอาณาจักรหลิวเฟิงแล้ว ดังนั้นองค์หญิงจึงใส่ร้ายฉีซูเพคะ…”
นางกำนัลพยายามพูดให้นุ่มนวลที่สุด สิ่งที่นางต้องการจะสื่อก็คือเฉียวเยี่ยเฟิงทำให้ฉีซูอับอายต่อหน้าคนหมู่มากก็เพราะนางไม่ได้รับความรักจากเขา
ก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรือ
ในที่สุดเฉียวเยี่ยเฟิงก็เข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิง และใบหน้างามของนางก็แดงเถือก นางกัดปากแน่นแล้วกำหมัด
มู่เสวี่ยซินยิ้มเยาะ “เจ้าควรกลับไปหาความรู้ดีกว่า เจ้าจะได้ไม่ต้องสับสนในความหมายขององุ่นเปรี้ยว”
เฉียวเยี่ยเฟิงเสียหน้าต่อหน้าคนมากมาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยไม่พอใจและอับอาย นางจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยสายตาที่ไม่ได้เต็มไปด้วยความริษยาเหมือนก่อนนี้แล้วแต่เป็นมาดร้าย นางแตะต้องมู่เสี่ยซินไม่ได้แต่นางลงโทษอวิ๋นลั่วเฟิงได้!
ระหว่างที่ฝูงชนกำลังหัวเราะเสียงดังในที่สุดราชวงศ์ของอาณาจักรจินหยางก็มาถึง แต่ก็ไม่มีใครกล้าโทษว่าพวกเขามาสาย พวกเขาทั้งหมดหยุดหัวเราะแล้วยืนอยู่เงียบๆ
“ขอโทษที ข้ามาสาย”
จักรพรรดิของอาณาจักรจินหยาง เฉิงเฟยหยางเดินเข้ามาแล้วสะบัดแขนเสื้อนั่งบนบัลลังก์มังกร ข้างๆ เขามีหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง
สตรีผู้นี้มีเส้นผมยาวสีดำราวน้ำตกทั้งหนาและลื่น นางดูงดงามสูงส่ง ถ้าจะอธิบายความงามของนางเป็นกลอนก็คงเป็น ‘ดอกบัวจากน้ำใส สลักเสลาจากฟ้าดิน’ นางก็ดูบริสุทธิ์งดงามโดยไม่มีเครื่องสำอางมาปรุงแต่ง นางสวมกระโปรงสีม่วงที่ยิ่งขับให้ดูสง่างามและสูงส่ง ที่เอวของนางมีแถบผ้าสีเหลืองผูกไว้ทำให้ดูนุ่มนวลอ่อนหวานยิ่งขึ้น
ฉีซูมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างเฉิงเฟยหยางแล้วกระซิบกับอวิ๋นลั่วเฟิง “นางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของอาณาจักรจินหยาง องค์หญิงจินหยาง! ด้วยเพราะนางเป็นบุตรสาวที่เฉิงเฟยหยางชื่นชอบ นางจึงเป็นคนที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของอาณาจักรจินหยาง นางมีอำนาจยิ่งกว่าจักรพรรดินีเสียอีก”
ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงตกอยู่ที่องค์หญิงจินหยาง
เมื่อองค์หญิงจินหยางสัมผัสได้ถึงสายตาฉงนใจของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็เห็นมามองเช่นกัน…
ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรี นางก็ตะลึงในความงามของสตรีที่สง่างามท่ามกลางฝูงชน นางคิดว่านางมีความงามที่ไร้ผู้ใดเปรียบแล้วแต่ตอนนี้นางได้เจอกับสตรีที่งดงามยิ่งกว่านาง ความจริงแล้วถ้าแค่ใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว นางก็คงไม่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าเท่าใดนัก
แต่ว่าสตรีผูนี้มีบรรยากาศพิเศษที่คนอื่นไม่มี นางเหมือนราชินีที่ลงมาโปรดโลก
ทุกคนกำลังมองเฉิงเฟยหยางและองค์หญิงจินหยาง ตอนนี้เองแม้แต่เฉียวเยี่ยเฟิงผู้หยิ่งทระนงก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาองค์หญิงจินหยาง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย การประลองครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยอาณาจักรจินหยางของพวกเรา ใครก็ตามที่ชนะการประลองจะรวมอาณาจักรทั้งสี่เข้าเป็นหนึ่งแล้วกลายเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงของสี่อาณาจักร! ”
เฉิงเฟยหยางยิ้มบาง สายตาของเขาเป็นประกายของคนที่ผ่านโลกมามาก ถึงแม้ว่าอาณาจักรจินหยางจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่อาณาจักร แต่อาณาจักรอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับการประลองครั้งนี้เหมือนกัน เพราะว่าพวกเขาต้องการครอบครองทั้งแคว้นเฟิงอวิ๋น
แน่นอนว่าทุกคนหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวเอง!
“ต่อไป หัวหน้ากลุ่มได้โปรดออกมาประกาศสมาชิกในกลุ่มของตัวเองด้วย!
นอกจากอาณาจักรเทียนฉีที่มีสองกลุ่มแล้ว อาณาจักรอื่นๆ มีแค่กลุ่มเดียว