ตอนที่ 1988 อวิ๋นเซียวลงมือ (6)
ไป๋หลิงรู้สึกหน้ามืด นางจำได้ว่าตอนที่นางจากมา บุตรสาวของนางยังไม่รู้ความอยู่เลย ยี่สิบปีผ่านไปนางทรงพลังขนาดนี้และยังมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร
ยี่สิบปีที่ผ่านมานางต้องเผชิญความยากลำบากขนาดไหนกัน
หัวใจของไป๋หลิงกระตุกเพราะความเจ็บปวดอีกครั้งแล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า นางจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อชดเชยให้บุตรสาว
ฉีซูที่อยู่ไม่ไกลก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ อย่างคาดหวัง เมื่อเขาเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงเดินเข้ามาพร้อมไป๋หลิง น้ำตาอุ่นๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาทันที
“อาจารย์ขอรับ…”
พวกเขาไม่ได้เจอกันมามากกว่าสามปี ใครจะเข้าใจว่าเขาผ่านแต่ละวันมาตลอดสามปีได้อย่างไร ในโลกนี้ไม่มีใครปฏิบัติต่อเขาดีเท่าอาจารย์แล้ว อาจารย์เป็นครอบครัวที่ชีวิตนี้เขาไม่ต้องการเสียไป
“ซูเอ๋อร์” ไป๋หลิงหันไปเห็นฉีซูทันทีแล้วรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นางเดินไปหาฉีซูช้าๆ แล้วจูงมืออวิ๋นลั่วเฟิงไปด้วย “เฟิงเอ๋อร์บอกเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมาให้ข้าฟังแล้ว เจ้ากับเสี่ยวหลิงคงลำบากมาก ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลฉีจะอกตัญญูแบบนี้”
พวกเขาใช้โลกที่นางพิชิตมารังแกศิษย์ของนาง! แล้วพวกเขายังต้องการจะขายเสี่ยวหลิงให้คนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ ไป๋หลิงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วย!
“อาจารย์ขอรับ” ฉีซูคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋หลิงเสียงดังก่อนจะสะอึกสะอื้น “เป็นศิษย์ต่างหากที่อกตัญญู ศิษย์ทำให้อาจารย์ทุกข์ทรมานอยู่ในป่าบททดสอบสวรรค์ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา!”
ถ้าเขามีพลังมากพอจะปกป้องครอบครัวแล้วล่ะก็ อาจารย์ก็คงไม่ต้องมาเสี่ยงแบบนี้!
ไป๋หลิงรู้ว่าฉีซูโทษตัวเองที่นางหายไปสามปี นางรีบเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ซูเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้าเลย ข้าโดนคนอื่นวางแผนทำร้ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
ฉีซูไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็แอบตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางให้อาจารย์ต้องมาเจออันตรายใดๆ อีก
เมื่อมู่เสวี่ยซินเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงและไป๋หลิงเดินออกมาพร้อมกัน นางก็ตะลึงงัน นางพบว่าเมื่อสตรีทั้งสองมายืนอยู่ข้างกัน พวกนางดูเหมือนมารดากับบุตรสาวไม่มีผิด
นางถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านป้าอวิ๋นเจ้าคะ ท่านกับแม่นางอวิ๋นเป็น…”
“อ้อ ข้าลืมไปเลย” ไป๋หลิงจับมืออวิ๋นลั่วเฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “นี่คือบุตรสาวของข้าเอง อวิ๋นลั่วเฟิง ส่วนชื่อจริงของข้าไม่ใช่ อวิ๋นเยว่ชิง แต่เป็น ไป๋หลิง! อวิ๋นเป็นสกุลของสามีที่ข้าไม่เคยลืมแม้จะผ่านไปหลายปี ส่วนที่ข้าตั้งชื่อเสี่ยวหลิงว่า ‘หลิง’ เพราะข้าจำได้แค่ตัวอักษรนี้เท่านั้น”
มู่เสวี่ยซินอ้าปากด้วยความตะลึงแล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก
ไม่แปลกใจเลยที่นางคิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงดูคุ้นเคย กลายเป็นว่านางเป็นบุตรสาวของท่านป้าอวิ๋นนี่เอง…
ตอนนี้คนจากอาณาจักรจื่อเยว่ก็ตายหมดแล้วและอาณาจักรจินหยางก็ต้องทุกข์ทรมานจากหายนะเหมือนกัน มีแค่กลุ่มคนที่นำโดยเฉิงลี่เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนฉีอวี่จากอาณาจักรเทียนฉีก็ไม่มีใครเห็นวี่แววของเขา ใครจะรู้ว่าเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน…
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้เฉิงลี่ไม่ได้ป่าเถื่อนเหมือนก่อนหน้านี้ และหวาดกลัวจนถึงขั้นที่ไม่กล้าพูดออกมาสักคำเดียว เขาเอาแต่ก้มหน้าด้วยท่าทางจำนน
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้สนใจเขาแล้วเดินไปหาร่างของเฉียวจื่อเสวียนก่อนจะหยิบตราประทับหยกจากอกเสื้อของเขามาใส่ในอกเสื้อของตัวเองอย่างไม่ลังเล
“เจ้ามีอะไรจะคัดค้านไม่ให้ข้าเอาตราประทับหยกนี้ไปหรือไม่” นางถามอย่างเฉยชาขณะที่เลิกคิ้วมองเฉิงลี่
หัวใจของเฉิงลี่ใกล้จะหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัว “ไม่มี”
พูดเรื่องตลกอะไรกัน สตรีผู้นี้ไม่สนแม้กระทั่งผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสแล้วเขาจะกล้าค้านได้อย่างไร นั่นไม่ทำกับเขาหาเรื่องตายหรอกหรือ
ตอนที่ 1989 ความโกรธของจินหยาง (1)
กรอบแกรบ!
เสียงเดินดังมาจากด้านข้าง เมื่อทุกคนหันไปมองก็เห็นฉีอวี่เดินนำคนสองสามคนเข้ามา กองกำลังที่เขาพามาด้วยเหลืออยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ตายไปในป่าบททดสอบสวรรค์แล้ว
เห็นได้ชัดว่าฉีซูไม่ได้คิดว่าจะเดินมาเจอฉีหลิงและคนอื่นๆ เมื่อเขาเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยศพ เขาก็ตกใจกลัว
เกิด…เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่
แต่ว่าฉีอวี่ก็รีบดึงสติกลับมาแล้วมองฉีหลิงอย่างดูถูก “พี่รอง ข้าเดาว่าท่านคงไม่ได้โชคดีนักใช่หรือไม่ ท่านต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ฮะๆ ไม่นานมานี้ข้าพึ่งได้ตราประทับหยกมา ตอนนี้ข้าต้องการอีกแค่อันเดียวก็จะกลายเป็นที่หนึ่งแล้ว”
เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ส่วนท่าน…ถ้าท่านไม่ได้อยู่กับคนจากอาณาจักรจินหยาง ท่านก็อาจจะเสียชีวิตภายใต้น้ำมือของคนนอกไปแล้ว”
ฉีอวี่ไม่รู้จักยอดฝีมือของสำนักอิสระและไม่เคยเจออู๋จุนจากอาณาจักรจินหยาง ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าคนพวกนี้บังเอิญปะทะกันภายในป่าบททดสอบสวรรค์แล้วเกิดการต่อสู้กับอาณาจักรทั้งสี่ ส่วนเฉิงลี่เป็นผู้นำคนจากอาณาจักรจินหยางสังหารคนนอกพวกนี้ และฉีหลิงก็แค่หลบอยู่ข้างหลังของอาณาจักรจินหยาง…
เฉิงลี่มองฉีอวี่ด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าเขากำลังมองคนโง่เง่า
ฉีอวี่ไม่สังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ที่มองเขา แล้วแสดงสีหน้าเยาะเย้ยขณะที่เขามองฉีหลิงอย่างเหยียดหยาม
“เจ้าอยากหาตราประทับหยกชิ้นอื่นงั้นหรือ” สักพักใหญ่ก่อนที่ในที่สุดฉีหลิงจะพูดขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาและเย็นเยียบจนถึงกระดูก
ฉีอวี่หัวเราะคิกคัก “พี่รอง ถ้าท่านอยากสู้กับข้า ท่านก็ไม่มีทางชนะหรอก”
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ผู้ชนะการประลองระหว่างสี่อาณาจักรก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา
“ข้าต้องแสดงความเสียใจด้วย แต่สิ่งที่ข้าจะบอกก็คือเจ้าไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาตราประทับหยกหรอก เพราะว่านอกจากตราประทับหยกที่อยู่ในมือเจ้าแล้ว ตราประทับหยกที่เหลือทั้งหมดอยู่ในมือของแม่นางอวิ๋น”
ก่อนที่ฉีอวี่จะได้หยุดหัวเราะเยาะ เสียงเย็นชาของฉีหลิงก็เข้าหูแล้วทำให้ความคิดของเขาว่างเปล่า ใบหน้าก็เขาแสดงอาการตะลึงออกมาชัดเจน
“ท่านพูดเล่นงั้นหรือ ข้าหาเจอแค่ชิ้นเดียว แต่ท่านกลับมีถึงสามชิ้นงั้นหรือ” ฉีอวี่ไม่มีทางเชื่อฉีหลิงและคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกเขา เขาวิเคราะห์ในใจแล้วส่งเสียงขึ้นจมูก “ข้ารู้ว่าท่านโกหกข้า เพื่อที่ข้าจะได้ยกตราประทับหยกในมือให้ท่านแล้วยอมแพ้การประลอง ฉีหลิงหนอฉีหลิง ท่านคิดว่าข้าเป็นสุกรโง่ๆ หรือ เหตุใดข้าต้องตกลงไปในกับดักของท่านด้วย”
พูดจบเขาก็จ้องเขม็งไปที่อวิ๋นลั่วเฟิง
แต่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเอามือกอดอกขณะที่เอนตัวพิงอกของอวิ๋นเซียวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาปรากฏแววสนุกสนาน นางไม่มีความคิดที่จะเข้ามายุ่งเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เมื่อฉีซูเห็นอวิ๋นเซียวนัยน์ตาเขาก็เบิกกว้าง เขาจำได้ได้ว่าบุรุษที่ชื่อว่าจักรพรรดิปีศาจผู้นี้เป็นคนสังหารองค์หญิงเฉียวเยี่ยเฟิงและยืนอย่างมั่นคงแม้ต้องปะทะกับยอดฝีมือของอาณาจักรจินหยาง
แต่ว่าเขาไม่ใช่คนจากสี่อาณาจักร แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่
สิ่งที่น่าขันก็คือสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ศพเหล่านี้มาตั้งแต่แรก และไม่ได้สังเกตเห็นการคงอยู่ของอวิ๋นเซียวเลย…
“เขาพูดความจริง” ดวงตาของเฉิงลี่ฉายแววซับซ้อน “พวกเขามีตราประทับหยกสามชิ้นจริงๆ ”
ถ้าเป็นคนจากอาณาจักรหลิวเฟิงพูดแบบนี้ ฉีอวี่ก็อาจจะไม่เชื่อ