ตอนที่ 1370 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (5)
“ท่านผู้นำตระกูล ท่านผู้นำตระกูล!” ทันใดนั้นเสียงวิตกกังวลก็ดังมาจากด้านนอก แล้วผู้คุ้มกันก็เปิดประตูเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต
ชายวัยกลางคนทำสีหน้ายโส “เกิดอะไรขึ้น ไยเจ้าทำตัวหุนหันไร้มารยาท!”
“ท่านผู้นำตระกูล” ผู้คุ้มกันคุกเข่า “บ่าวได้รับจดหมายจากเจ้าเมืองบูรพาขอรับ มีรายงานว่าหญิงสาวผู้หนึ่งที่เดินทางผ่านเมืองบูรพามีหยกสลักของอดีตผู้นำตระกูลด้วยขอรับ พวกเขาไม่แน่ใจว่านางเป็นคนที่อดีตผู้นำตระกูลตามหาหรือไม่”
“อะไรนะ”
ชายวัยกลางคนยืนขึ้น สีหน้าเขาแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจ “ข่าวนี้มั่นใจหรือไม่ ผู้ที่มีหยกสลักที่เจ้าพูดถึงเป็นหญิงสาว ไม่ใช่สตรีอายุรุ่นเดียวกับน้องสาว หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของนาง เร็วเข้าตามหาอดีตผู้นำตระกูล เจ้าต้องรายงานข่าวนี้ให้เขารู้ให้ได้”
ถึงแม้เขาจะดูตื่นเต้นเกินจริง แต่ความปีติบนใบหน้าชายวัยกลางคนก็ไม่มีร่องรอยหลอกลวงแม้แต่น้อย
ไม่มีใครรู้ว่าหลายปีมานี้ อาจารย์ตามหาบุตรสาวเขามานานแค่ไหนแล้ว ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ถูกสถานการณ์บังคับ อาจารย์ไม่มีทางฝากบุตรสาวไว้กับคนอื่นแน่ หลังจากแก้ปัญหาเรียบร้อยและออกตามหาบุตรสาว เขากลับไม่พบร่องรอยนางแม้แต่ผมสักเส้น…
“ท่านผู้นำตระกูล จดหมายจากเมืองบูรพามีภาพหยกสลักมาด้วยขอรับ” ผู้คุ้มกันยื่นจดหมายให้ด้วยท่าทีนอบน้อม
หลังจากที่ชายวัยกลางคนกวาดสายตาอ่านเนื้อหา เขาก็กางภาพหยกสลักออกดู
เขาใช้นิ้วค่อยๆ ลูบภาพหยกสลัก แล้วความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจ “อักษรตัวจวินบนหยกสลัก อาจารย์เป็นคนทำด้วยตัวเอง ข้าจำลายมือเขาได้ มันดูไม่เหมือนของปลอมเลย อ้อ ใช่ เจ้าเมืองบูรพาส่งรูปเหมือนของหญิงสาวมาด้วยหรือไม่”
องครักษ์ส่ายหน้า “เจ้าเมืองบูรพาส่งมาแค่จดหมายและภาพหยกสลักเท่านั้นขอรับ”
“ที่จริงแล้วเขาทำถูกแล้วที่ไม่ส่งภาพเหมือนนางมา ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง นางก็อาจจะตกอยู่ในกำมือคนอื่นเพื่อมาใช้ข่มขู่อาจารย์ได้ ตอนนี้รู้แค่ว่าบุตรสาวของอาจารย์อยู่ในแคว้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ต้องมีสักวันที่พวกเขาได้พบกันแน่”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนปรากฏความตื่นเต้นที่เขาควบคุมไม่ได้ หลังจากเขาพูดจบก็รีบส่งคนออกไปตามหาที่อยู่ของอดีตผู้นำตระกูล
…
เมืองหลวง
ภายในคฤหาสน์ ชายสูงอายุชุดขาวคนหนึ่งกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับชายสูงชราคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามเขา ดวงตาเขาเป็นประกายสดใสขณะแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์
คนที่ยืนอยู่ข้างชายสูงอายุชุดขาวคือหญิงสาวผู้หนึ่ง นางอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีได้ ความงามของนางไม่ได้ถึงขั้นล่มเมืองแต่กลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจเมื่อมอง เพราะดวงตาของนางนั้นราวกับสื่อความรู้สึกออกมาได้และแวววาวสดใสเหมือนหมู่ดาวยามค่ำคืน
“ฮ่าๆ ครั้งนี้ข้าก็ชนะอีกแล้ว”
ชายชราชุดน้ำเงินหัวเราะออกมาเต็มเสียงแล้ววางหมากลงบนกระดานก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายอาวุโสชุดขาวแล้วพูดว่า “ตาแก่จวิน ช่วงนี้เจ้าดูกระสับกระส่ายนะ ฝีมือการเล่นหมากรุกของเจ้าก็เหมือนจะแย่ลงด้วย เกิดอะไรขึ้น”
“ก็เพราะศิษย์ของข้าไม่ใช่หรือ” ชายชราชุดขาวหัวเราะอย่างขมขื่น “คนของตระกูลจวินกำลังตามหาข้าภายในแคว้น ข้าเดาว่านั่นเป็นเพราะศิษย์ของข้าคงอยากทิ้งตำแหน่ง ดังนั้นข้าก็เลยเอาหลิงเอ๋อร์มาซ่อนที่นี่ด้วย”
ชายชราชุดน้ำเงินขมวดคิ้วแล้วถาม “การตามหาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หลายปีมานี้ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของบุตรสาวเจ้าอีกหรือ”
ผู้อาวุโสจวินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ข้าตามหานางมาหลายสิบปีแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย เจ้าคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ท่านปู่” เมื่อได้ยินเสียงเศร้าสร้อยของชายชรา หญิงสาวก็กะพริบดวงตากลมโตสดใสของนางแล้วหัวเราะคิกคัก
ตอนที่ 1371 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (6)
“ท่านสบายใจเถอะ ท่านป้าต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ เพียงแค่นางซ่อนตัวอยู่และพวกเรายังหานางไม่เจอเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุตอนนี้ของท่านป้า นางต้องมีบุตรแล้วแน่นอน ดังนั้นหลิงเอ๋อร์ก็ต้องมีลูกพี่ลูกน้อง!”
ผู้อาวุโสจวินหัวเราะอย่างจริงใจ “ลืมเรื่องมีพี่ชายไปได้เลย ข้าอยากมีหลานสาวมากกว่า หวังว่าจวินเอ๋อร์จะมีหลานสาวให้ข้า!”
เทียบกับเด็กผู้ชายแล้ว ผู้อาวุโสจวินอยากได้เด็กผู้หญิงมากกว่า ถ้าหลานเขาเป็นผู้ชายแล้วเรียนรู้นิสัยแบบผิดๆ จากศิษย์ของเขาที่ชอบทำให้เขาโมโหอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเขาจะโมโหจนตายหรอกหรือ
เด็กผู้หญิงอย่างหลิงเอ๋อร์ต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะมีไหวพริบกว่าบิดานาง ความน่ารักและเชื่อฟังทำให้คนรอบข้างชื่นชอบนาง
“ท่านปู่ ท่านลำเอียงนี่เจ้าคะ!” หลิงเอ๋อร์พูดติดตลกอย่างมีความสุข
“ฮึ่ม ข้าหวังว่าข้าจะอยู่ต่อได้อีกสักสองสามปี หากข้ามีหลานชายแล้วเขาทำให้ข้าเดือดดาลเหมือนบิดาเจ้าจะทำอย่างไร” เมื่อชายชราคิดถึงศิษย์ดื้อด้านของเขาก็ตัวสั่นด้วยความโกรธแล้ว ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาจะรับศิษย์หญิงแทน
ชายสูงอายุในชุดน้ำเงินมองหญิงสาวที่ยืนข้างผู้อาวุโสจวินแล้วเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเ**่ยวย่นของเขา
หลายปีที่ผ่านมาต้องขอบคุณเด็กสาวคนนี้ที่ติดตามผู้อาวุโสจวินเดินทางไปทั่ว ไม่อย่างนั้นแม้เขาจะไม่ได้โศกเศร้าจากการหาบุตรสาวไม่พบ เขาก็คงซึมเศร้าอยู่ดี
“ท่านปู่เจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์กลอกตาแล้วเผยรอยยิ้มเจิดจ้า “ท่านคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่ ท่านพ่อถึงได้ส่งคนจำนวนมากมาตามหาท่าน”
“จะมีอะไรเกิดขึ้นเล่า ไม่ใช่ว่าเขาอยากยกตระกูลจวินให้ข้าหรอกหรือ ถ้าตระกูลจวินต้องการให้ชายชราอย่างข้าดูแล แล้วข้าจะรับศิษย์ไว้ทำไม” ผู้อาวุโสจวินส่งเสียงขึ้นจมูก “ถ้าแบบนั้นเขาก็ฝันไปเถอะ!”
ชายชราชุดน้ำเงินกระแอมแล้วแสดงท่าทีกระอักกระอ่วน “ที่จริงแล้วเจ้าควรอบรมให้หลิงเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดเจ้านะ พรสวรรค์ของนางไม่แย่ แล้วไม่แน่ในอนาคตนางอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าบิดานางก็ได้
“ไม่มีทาง ข้าอยากให้นางติดตามข้าไปอีกสองสามปี ไม่อย่างนั้นเจ้าจะให้ศิษย์มาติดตามแทนหรือ จะเป็นเรื่องน่าขบขันแค่ไหนหากบุรุษสองคนต้องมานั่งจ้องตากันทุกวัน” ผู้อาวุโสจวินปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อนสนิททันที เขาไม่เจอหน้าศิษย์เขาทุกวัน
“ท่านปู่มู่ หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ติดตามท่านปู่จนพบท่านป้าแล้ว หลิงเอ๋อร์จะกลับไปสืบทอดตำแหน่งเอง” หลิงเอ๋อร์พูดอย่างฉลาดขณะยืนอยู่ข้างๆ
ชายชราชุดน้ำเงินมองผู้อาวุโสจวินด้วยความอิจฉา “ตาแก่ ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ที่มีหลานสาวเฉลียวฉลาดแบบนี้ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องรับศิษย์เพื่อไม่ให้อิจฉาเจ้าซะแล้ว”
ถึงแม้ว่าหลิงเอ๋อร์จะไม่มีสายเลือดของผู้อาวุโสจวิน แต่ในใจเขาก็นับว่านางเป็นหลานสาวแท้ๆ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รักนางมากขนาดคอยอบรมสั่งสอนให้นางเป็นผู้สืบทอดของเขา
“มาๆ พวกเรามาเล่นหมากรุกกันต่อเถอะ” ผู้อาวุโสจวินหัวเราะอย่างมีความสุข “จริงสิ ดูเหมือนว่าช่วงนี้นครเทียนเย่ว์จะคึกคักน่าดู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้อาวุโสมู่ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่ามีใครบางคนชื่อจักรพรรดิปีศาจมีสิ่งที่เรียกว่าหัวใจแห่งมันตา ถ้ากินเข้าไปแล้วจะเป็นอมตะถึงสามวัน ดังนั้นผู้ฝึกฌานจำนวนมหาศาลจึงไล่ตามจักรพรรดิปีศาจเพื่อเอาหัวใจแห่งมันตา!”
“หัวใจแห่งมันตา?” ผู้อาวุโสจวินเหม่อลอย “ข้าเคยได้ยินเรื่องของชิ้นนี้มาก่อน หรือว่าจักรพรรดิปีศาจอยู่ที่นครเทียนเย่ว์”
“เปล่า” มู่ต้งส่ายหน้า “จักรพรรดิปีศาจอยู่ที่มณฑลคูหลงซึ่งต้องผ่านนครเทียนเย่ว์ไปก่อน แต่ว่าจักรพรรดิปีศาจน่ากลัวมากเกินไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายโดยเปล่าประโยชน์ ยอดฝีมือจำนวนมากจึงจัดบททดสอบขึ้น มีแค่คนที่ผ่านบททดสอบเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เดินทางไปมณฑลคูหลงนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไป”