ตอนที่ 10 จับกุม
เดิมที หลี่ตง หรือที่คนส่วนมากมักเรียกเขาว่า พี่ใหญ่ตง นั้น ตั้งใจไปปล้นเย่เชียน แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรคดีพลิก ทําให้เขาต้องสูญเสียรถของเขาให้แก่เย่เชียนไปอย่างน่าเจ็บใจ
หลี่ตงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย เมื่อเห็นเย่เชียนขับรถของเขาออกไปต่อหน้าต่อตา เขาก็รู้สึกเหมือนถูกควักลูกตาออกมาอย่างไรอย่างนั้น เพราะถิ่นนี้ก็เหมือนกับสนามหลังบ้านของเขาดี ๆ นี่เอง ถึงมันจะไม่ได้ใหญ่ที่สุดแต่มันก็ไม่ใช่เล็ก ๆ เช่นกัน พวกโจรแถวนี้ถ้าไม่รีดไถเงินชาวบ้านก็ไปวิ่งราวขโมยของตามคําสั่งของเขา และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้เขามีรายได้มากถึงสี่หมื่นหยวนต่อวันเลยทีเดียว
ในถิ่นนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับหลี่ตง ทุกคนล้วนแต่กลัวเขาจนหัวหด ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง แต่มาวันนี้มีเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาทําลายศักดิ์ศรีของเขาจนย่อยยับ
มันทำให้เขาเสียหน้าอย่างแรง!
ถึงแม้ว่ารถของเขาจะไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากนักโดยมันเป็นเพียงรถเก๋งฮอนด้าธรรมดาบ้าน ๆ แต่มันก็ยากที่จะทําใจได้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรปั้นหน้าอย่างไรต่อหน้าคนอื่น ๆ เขาไม่มีหน้าจะคิดว่าตัวเองยังคงเป็นพี่ใหญ่ตงของทุกคนอีกต่อไปเพราะตอนนี้พี่ใหญ่ของตัวเขาหรือแม้แต่นักเลงคนอื่น ๆ คงจะมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
เย่เชียนกลับมายังโรงพยาบาลแต่เขาไม่เห็นหลินโรโร่วอยู่เฝ้าพ่อแล้ว กลับเป็นฮันเซ่ลที่กำลังเฝ้าพ่ออยู่แทน
เมื่อเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา ฮันเซ่ลก็เรียกเขา
“พี่สอง กลับมาแล้วหรอคะ ?”
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเดินเข้าไปข้าง ๆ พ่อแล้วถามขึ้นว่า
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ แล้วกินอะไรหรือยัง ?”
“เมื่อกี๊เสี่ยวเซ่ลเพิ่งซื้อข้าวกลางวันมาให้พ่อ เสี่ยวเชียนเอ๋อร์ พ่อว่านางพยาบาลคนนั้นน่ะมีใจให้แกนะ ถ้าพ่อเป็นแก พ่อจะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ แกเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว แกจะต้องหาฟงหาแฟนได้แล้วล่ะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เย่เชียนขําออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แหม พ่อครับ… เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ดวงของคนสองคนว่ามันจะสมพงศ์กันไหม ไหนจะโอกาสที่จะได้เจอกันหรือเวลาที่ต้องใช้ศึกษาดูใจกันอีก ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่าครับ”
“โอ้… ลูกพ่อคนนี้นี่มันโตเป็นหนุ่มแล้วจริง ๆ สินะ งั้นพ่อก็เบาใจ จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่แกว่า เอ้อ! พูดถึงเรื่องแกโตเป็นหนุ่ม เสี่ยวเชียนเอ๋อร์ ที่แกกลับมาบ้าน พ่อว่ามันก็ถึงเวลาที่แกจะต้องหางานทำให้มันเป็นหลักเป็นแหล่งได้แล้วนะ ถ้าแกหาไม่ได้ ข้าจะบอกพี่ใหญ่หรือไม่ก็น้องสามของแกให้ช่วยหาทางให้แกอีกแรง”
“ไม่ต้องหรอกพ่อ ผมจะหามันได้ในไม่ช้านี้แหละ พ่ออย่ากังวลไปเลย” เย่เชียนตอบเสียงเรียบ
“เสี่ยวเชียนเอ๋อร์ แกให้พ่อทําเรื่องออกจากโรงพยาบาลเถอะ ค่าใช้จ่ายที่นี่มันแพงมาก สองพันหยวนต่อหนึ่งคืนนี่มันปล้นกันชัด ๆ นอกจากนี้พ่ออยู่นี่ก็ไม่ได้ทําอะไรซักกะอย่าง ได้แต่นั่งดมกลิ่นยาทั้งวันทั้งคืน พ่อเบื่อ” หยางเจียนกัวพูดพลางทำหน้าเบื่อหน่าย
เย่เชียนรู้ว่าพ่อของตนเป็นกังวลเรื่องเงิน ครอบครัวเขาจําเป็นต้องประหยัดแถมการสอบของฮันเซ่ลก็กำลังใกล้เข้ามาอีก
ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนชั้นมัธยมปลายนั้นค่อนข้างแพง
“พ่อไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ตอนนี้พ่อคิดแค่เรื่องรักษาตัวเองให้หายก่อนเถอะ เรื่องเงินผมมีวิธีหน่า” เย่เชียนพูดด้วยความแน่วแน่
หยางเจียนกัวรู้ดีว่าเย่เชียนเป็นคนอย่างไร เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ถ้าลูกชายต้องการให้เขาอยู่รักษาตัว เขาก็จะอยู่รักษาตัวจนกว่าเย่เชียนจะเป็นคนเอ่ยปากให้ออกเอง
เย่เชียนหันไปมองฮันเซ่ลแล้วถามว่า “เสี่ยวเซ่ลล่ะ เป็นยังไงบ้าง ? เธอคิดว่าเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม ?”
“พ่อคะ พี่สองคะ หนูว่าหนูจะไม่เรียนแล้วค่ะ” ฮันเซ่ลพูดออกมาแล้วก็เงียบไป
“ทําไมล่ะ ?” เย่เชียนถามอย่างตงิดใจ
“หนูจะออกไปหางานทําค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือต่อก็ตามแต่การเรียนหนังสือมันก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเดียวว่าคนเราจะสามารถประสบความสําเร็จได้นี่คะ” เมื่อเธอพิจารณาถึงค่าเล่าเรียนที่แสนแพง และมันมีส่วนทําให้พ่อที่เก็บขยะขายต้องเจอเรื่องร้าย ๆ ข้างนอก ฮันเซ่ลจึงบอกออกไปว่าเธอจะไปหางานทำ
หยางเจียนกัวในตอนนี้ก็อายุหกสิบเข้าไปแล้ว สําหรับเขา การมีชีวิตที่แสนเหนื่อยยากและทำเพื่อคนอื่น ๆ บนโลกใบนี้ก็ถือว่ามากเพียงพอแล้ว แล้วคนเป็นลูกอย่างฮันเซ่ลจะทําให้พ่อของเธอเหนื่อยต่อไปเพราะเธออีกได้อย่างไร
“อย่าเหลวไหลหน่า!” เย่เชียนตะโกนออกมาเสียงดัง “เธอยังเด็กอยู่จะออกไปทำงานอะไร… ทำไมไม่เรียนหนังสือ ? พี่สองคนนี้เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่เธอยังมีโอกาส แล้วทําไมถึงจะทิ้งมันไปล่ะ”
“ตะ… แต่ว่า…” ฮันเซ่ลต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอสำลักในสิ่งที่ต้องการพูดอยู่ในใจของเธอเสียก่อน
“เสี่ยวเซ่ล… พ่อรู้ว่าลูกคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าหากไม่เรียนแล้วลูกจะไปทําอะไร ? ลูกไม่ต้องห่วงพ่อหรอก พ่อคนนี้จะทําทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เรียนเอง” พ่อพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่จริงใจ
“ฟังพ่อเถอะเสี่ยวเซ่ล ณ เวลานี้มันไม่มีอะไรสําคัญสําหรับเธอมากไปกว่าการเรียนแล้ว แต่พี่สองก็ไม่ได้บอกให้เธอทิ้งพ่อนะ… เธอเข้าใจใช่ไหม ?” เย่เชียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดเสริม
ฮันเซ่ลขอบตาแดงก่ำ มือทั้งสองของเธอกำแน่นขนาบข้างลำตัว เธอพยายามฝืนกลั้นเอาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาก่อนจะพยักหน้าแล้วเงียบโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ไม่นานนักก็มีเจ้าหน้าที่ตํารวจสองคนเดินเข้ามาในห้อง หนึ่งในนั้นคือตํารวจสาวเมื่อคืนก่อน หวังยู่นั่นเอง เมื่อเธอเข้ามาเธอก็กวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วถามขึ้นว่า
“คนไหนที่ชื่อเย่เชียน ?”
พ่อและฮันเซ่ลจ้องไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ใบหน้าของพ่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ในใจเขาคิดว่าเย่เชียนคงไปก่อเรื่องอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ เขาจึงรีบถามทันทีว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณตํารวจ ?”
เมื่อได้ยินที่หยางเจียนกัวถามขึ้น ตํารวจคนหนึ่งก็มองเย่เชียนและพูดขึ้นมาว่า
“มีชายคนนึงถูกทําร้ายร่างกายโดยเจตนา โปรดมาสถานีตํารวจกับพวกเราด้วยครับ”
เย่เชียนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดว่าจะต้องเป็นเจิ้งต้าฟูอย่างแน่นอนที่เป็นคนแจ้งความ เพราะหลี่ตงเป็นโจร เขาคงไม่แจ้งความให้โง่เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลย
เย่เชียนหันไปพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ พ่อไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ตํารวจคนเดิมหยิบกุญแจมือออกมาเพื่อที่จะนำไปใส่ที่ข้อมือของเย่เชียน แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงรังสีความเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งและสายตาของเย่เชียนที่แหลมคมดุจใบมีด เขาก็รู้สึกกลัวจนตัวเริ่มสั่นเล็กน้อยและตัดสินใจเก็บกุญแจมือกลับไป
“ไปกันได้แล้ว!” ตํารวจนายนั้นพูดขึ้น
เย่เชียนหันหลังให้พ่อแล้วเดินยืดอกออกไปอย่างภาคภูมิประหนึ่งว่าเขาไม่ได้กระทำผิดอะไรมาเลย
เมื่อเห็นเย่เชียนถูกตํารวจพาไป หยางเจียนกัวก็ลุกลี้ลุกลนและรีบพูดออกมาว่า “เสี่ยวเซ่ล! ลูกช่วยพยุงพ่อลุกขึ้นเดินที”
“พ่อ… พ่อจะไปไหนคะ ?” ฮันเซ่ลถาม
“พ่อจะไปใช้โทรศัพท์ เสี่ยวเชียนเอ๋อร์เกิดใต้ดวงดาวที่ไม่ดี เราไม่ควรปล่อยให้เขาพบเจอเรื่องร้าย ๆ อีกครั้ง”
เมื่อออกจากโรงพยาบาล เย่เชียนก็ถูกพาขึ้นรถตํารวจโดยมีหวังยู่และตํารวจชายอีกคนนั่งตรงข้ามเขา เขามองไปที่หวังยู่พร้อมกับยิ้มและพูดจายียวนกวนโอ๊ย
“เจอกันอีกแล้วนะครับคุณตํารวจคนสวย”
“เหอะ! ฉันบอกคุณไปแล้วไงว่าถ้าก่อเรื่องอีก ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนไปจับคุณด้วยมือของฉันเอง… อ้อ แล้วก็อย่าหวังว่าคราวนี้ฉันจะปล่อยตัวไปง่าย ๆ นะ รอก่อนเถอะ! พอพวกเราถึงสถานีตํารวจ ฉันจะจัดการคุณซะ!” หวังยู่พูดอย่างดุเดือดแล้วมองค้อนใส่เย่เชียน
เมื่อวันก่อนเขาเล่นตุกติกกับเธอ ทําให้เธอโกรธมากที่ไม่สามารถจับเขาได้ วันนี้เธอจึงตั้งใจจะเอาคืน
เย่เชียนยักไหล่เบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจแต่ดวงตาของเขานั้นเริ่มส่อความชั่วร้ายออกมา เขาจ้องเขม็งไปที่หน้าอกของหวังยู่และจงใจส่งเสียง
“จุ๊ ๆ ๆ!”
หวังยู่รับรู้ได้ถึงความหมายนี้ เธอจ้องไปที่เย่เชียนและตะคอกกลับไปว่า
“มองอะไรของคุณ ? ระวังหน่อย ไม่งั้นฉันจะควักลูกตาของคุณออกมาแน่!”
เย่เชียนยิ้มกวน ๆ
“คุณตํารวจคนสวย เครื่องแบบของคุณมันไม่เล็กไปหน่อยเหรอครับ คุณควรเปลี่ยนมันให้ใหญ่กว่านี้หน่อยนะ… เดี๋ยวมันจะระเบิดออกมาซะก่อน! หุ ๆ…”
“บะ… บ้า! ไหนลองพูดอีกทีซิ กล้าพูดออกมาอีกครั้งไหม ห๊ะ! ไอ้บ้าไม่มีน้ำยา!”
หวังยู่โกรธจนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เธอตะโกนเสียงดังลั่นและอยากจะคว้าเย่เชียนมาแล้วฆ่าเขาทิ้งเสียเดี๋ยวนี้
ทว่าเย่เชียนทําตัวเหมือนหมูถูกสาปที่ไม่กลัวน้ำร้อนเดือด ๆ และยังคงพูดในเชิงคุกคามต่อ
“เหอะ ๆ คุณน่ะ ยังไม่เคยนอนกับผมซะหน่อย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่มีน้ำยา?”
‘กรี๊ดดดด! ไอ้บ้าเย่เชียน! กรี๊ด ๆ ๆ ๆ!!!’ หวังยู่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ