ถึงแม้ว่าเจมส์จะเป็นชายหนุ่มที่สูงเกือบสองเมตร แต่เขาก็มีนิสัยที่ค่อนข้างเหมือนเด็กเล็ก เขาชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุก อีกทั้งในกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นเจมส์มักจะถูกเรียกว่าพ่อหนุ่มหน้าใสไร้เดียงสาอยู่ตลอด
เย่เชียนมองเจมส์อย่างหมดหนทางและพูดว่า “ไม่มีปัญหา… ทางเราจะจ่ายค่าว่าจ้างให้นายล่วงหน้าจากบัญชีธนาคารขององค์กร และจะหักออกจากค่าตอบแทนของภารกิจในครั้งต่อไป”
“โอ้มายก้อด…!” เจมส์อุทาน เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เย่เชียนไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่เขาเดินทางออกมาจากจีนเพียงไม่กี่วันแต่เขากลับคิดถึงหลินโรโร่วมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีมันอาจจะเป็นพลังแห่งความรักก็ได้ เย่เชียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือไปจากเชื่อในคำพูดที่ว่า วีรบุรุษผู้แข็งแกร่งนั้นมีจุดอ่อนคือหญิงสาวคนรักของพวกเขา
หลังจากที่อธิบายเพิ่มเติมสั้น ๆ แล้ว เย่เชียนและคนอื่น ๆ ก็เดินทางไปที่จุดท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง พวกเขาเลือกซื้อของที่ระลึกจากร้านค้าในละแวกนั้น แน่นอนว่าเย่เชียนจะต้องเลือกของที่ต้องให้กับหลินโรโร่ว ฉินหยู และคนอื่น ๆ ด้วย
การเลือกของขวัญเหล่านี้มันทำให้เย่เชียนต้องใช้สมองและความคิดจนชักจะปวดหัว เพราะบุคลิกของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาจำเป็นที่จะต้องหาของขวัญที่เหมาะกับบุคลิกของพวกเธอแต่ละคนให้ได้ ซึ่งบางทีมันก็เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งเช่นกัน
ขณะที่พวกเขาอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว เย่เชียนก็ได้ถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามของจุดชมวิวด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาเอง โดยเขาถือว่าภาพถ่ายเหล่านี้เป็นของที่ระลึกสำหรับตัวเอง การมาเยือนเมียนมาร์ในครั้งนี้ เย่เชียนไม่ได้ถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเขาเองแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าตัวตนของเขาจะไม่ได้เป็นความลับสำหรับรัฐบาลระดับสูงอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้มาตรการป้องกันเผื่อเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า ไหน ๆ ที่ผ่านมาตัวเขาเองก็แทบจะไม่เคยถ่ายรูปเซลฟี่เลย เช่นนั้นมาที่เมียนมาร์แล้วไม่ได้ถ่ายก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
คืนนั้น ทุกคนไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและนั่งกินอาหารท้องถิ่นกันอย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่าสถานที่ที่ดีที่สุดในการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นจริง ๆ ก็คือแผงขายอาหารริมถนน ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ดีนักแต่มันก็มีรสชาติแบบท้องถิ่นแท้ ๆ ซึ่งแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารที่ใหญ่โต
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนรีบขับรถไปยังเมืองหลวงของเมียนมาร์แต่เช้าตรู่ จากนั้นเขาก็นั่งเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้ ซึ่งก่อนออกเดินทาง เย่เชียนได้โทรศัพท์หาหลินโรโร่วและบอกเธอว่าเขากำลังจะบินกลับแล้ว
หลินโรโร่วได้ยินดังนั้นก็มีความสุขมาก เธอถามเย่เชียนว่าเที่ยวบินของเขาจะออกกี่โมงและจะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะเธออยากจะไปรับเขาที่สนามบิน
แม้เย่เชียนไม่ต้องการให้หลินโรโร่วเสียเวลาเดินทางไป ๆ มา ๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ เพราะใจจริงแล้วตัวเขาเองก็ต้องการเจอเธอโดยเร็วที่สุดเช่นกันจึงบอกรายละเอียดเธอไป
…
เวลาประมาณสี่ทุ่ม เย่เชียนและม่อหลงก็เดินทางมาถึงสนามบินเซี่ยงไฮ้ผู่ตง ม่อหลงไม่ได้พูดอะไรมากตลอดการเดินทางทั้งหมด เขาตอบคำถามเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเวลาที่เย่เชียนถามเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ บรรยากาศโดยรวมมันจึงค่อนข้างน่าเบื่อ
แต่ก็เอาเถอะ ยังไงเย่เชียนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าม่อหลงเป็นคนมีนิสัยแบบนี้ เพียงแค่เขาไม่ชอบพูดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหยิ่งยโสหรือเกลียดชังเย่เชียน นี่อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ม่อหลงเก่งในการพรางตัวและการซุ่มยิง คนประเภทนี้มักจะมีจิตใจอันเงียบสงบ สุขุม และมั่นคงดั่งภูผา
เมื่อออกจากเทอมินอลของสนามบินแล้ว เย่เชียนก็มองเห็นหลินโรโร่วยืนรอเขาอยู่ไกล ๆ ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความคาดหวัง เธอมองไปรอบ ๆ ทั่วบริเวณไม่หยุดยั้ง ในที่สุดหลังจากที่เธอเห็นเย่เชียน เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างสุขใจ
เมื่อเห็นหลินโรโร่วที่กำลังวิ่งเข้ามาข้างหน้าเขา เย่เชียนก็อุ้มเธอขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดและหมุนไปรอบ ๆ อยู่สองสามรอบ จากนั้นก็วางร่างเธอลง เขามองไปที่เธอพลางกระซิบเบา ๆ ข้างหูของเธอว่า “คุณรู้มั้ยว่าผมคิดถึงคุณมากขนาดไหน…”
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินโรโร่ว เธอลูบไล้ใบหน้าของเย่เชียนเบา ๆ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันก็คิดถึงคุณเหมือนกัน คนขี้โกง… คุณหายไปนานมากเลยนะ! แถมคุณยังไม่โทรหาฉันเลยด้วย!”
เย่เชียนยิ้มด้วยความรู้สึกผิดและพูดว่า “มันเป็นแถบภูเขาที่กันดารมากน่ะ โทรศัพท์ผมไม่มีสัญญาณเลย… ไหนบอกความจริงผมมาซิคนดี ว่าคุณคิดถึงผมมากแค่ไหนกัน”
“มาก… มากที่สุดเลย” หลินโรโร่วพูดเสียงอ้อน
“คุณคิดถึงผมที่ไหนบ้างล่ะ ?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน
ใบหน้าของหลินโรโร่วเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอเอาแต่มองใบหน้าเย่เชียนอย่างสุขใจ จากนั้นก็พูดว่า “ฉันก็คิดถึงคุณทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของหลินโรโร่ว เขากระซิบบางอย่างอยู่สองสามคำและทันใดนั้น ใบหน้าของหลินโรโร่วก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ
เธอพูดอย่างน่ารักว่า “ฉันเกลียดคุณที่สุดเลย!”
ม่อหลงนั้นเป็นเหมือนดั่งมนุษย์ล่องหน ในตอนนี้เขายืนอยู่กับที่นิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขามองไปที่หลินโรโร่วเพียงครั้งเดียวในตอนแรก จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่อื่นอย่างมีมารยาท
แต่อย่าคิดนะว่าพี่ชายคนนี้จะไม่อยากรบกวนพวกเขาทั้งสองจริง ๆ เพราะตั้งแต่แรกเริ่ม เขาก็แอบฟังสิ่งที่เย่เชียนกับหลินโรโร่วคุยกันแล้วยังสามารถจดจำได้ทุกคำพูด นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความสามารถของเขาก็ได้ เพราะม่อหลงนั้นชอบสังเกตมากแต่พูดน้อย และเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ขนลุกซู่ไปกับคำพูดอันสุดแสนจะหวานแหววของเย่เชียนพลางแอบคิดกับตัวเองในใจ ‘บอสของเรานี่น่าอายจริง ๆ’
เมื่อหลินโรโร่วเห็นว่าเย่เชียนพาคนแปลกหน้ากลับมาด้วย เธอก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเย่เชียนก็รีบแนะนำอย่างรวดเร็ว “อ๋อ… เขาชื่อม่อหลงน่ะ เป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งของผมเอง”
“สวัสดีน้องสะใภ้” ม่อหลงหันไปมองหลินโรโร่วและทักทายเธอ
หลินโรโร่วเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าเย่เชียนหมายถึงอะไร ในขณะที่เขาแนะนำว่าคนคนนี้เป็นพี่ชาย เธอก็เข้าใจว่าเขาคงเป็นพี่น้องของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าอย่างแน่นอน และเมื่อเธอได้ยินคำพูดของม่อหลง มันก็ยากมากที่เธอจะไม่รู้สึกเขินอาย เธอจึงยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ…”
เย่เชียนดึงหลินโรโร่วเข้ามาโอบและพูดว่า “ไปกันเถอะ… กลับบ้านกัน”
หลินโรโร่วแสดงสีหน้าอ่อนโยนและปล่อยให้เย่เชียนโอบเธอออกไปจากสนามบิน ส่วนม่อหลงก็เดินตามมาจากทางด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาสงบนิ่งยากที่จะอ่านออก ราวกับว่าในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เขาคิดว่าน่าสนใจสำหรับเขาเลยสักอย่าง
เย่เชียนนั้นไม่รู้ประวัติของม่อหลงมากนัก เขารู้แค่ว่าม่อหลงเป็นสาวกของ สำนักม่อจื๊อ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในอดีตอันไกลโพ้นช่วงสงครามของจีน ในสมัยนั้นมักจะมีความสับสนวุ่นวายของสงคราม และในแต่ละประเทศก็เริ่มออกทำสงครามยึดดินแดนกัน สำนักม่อจื๊อจึงลุกขึ้นอย่างสง่าในช่วงเวลานั้น และสาวกคนแรกก็คือ ม่อตี๋ ผู้ก่อตั้งสำนักม่อจื๊อ เขายืนหยัดเพื่อรักษาความสงบโดยการเดินทางไปตามแคว้นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้มณฑลและเมืองที่อ่อนแอกว่าสามารถต่อต้านการข่มเหงของแคว้นใหญ่ ๆ ได้
เย่เชียนไม่เห็นด้วยกับหลักคำสอนของลัทธิม่อจื๊อมากนัก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เขาเคารพในปรัชญาของพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วสำนักม่อจื๊อก็เป็นตัวแทนของประชาชนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจจากเบื้องบน
สำนักม่อจื๊อเริ่มจางหายไปในยุคของราชวงศ์ฮั่น อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ถอยกลับไปและอาศัยอยู่บนภูเขาจะลงมาเป็นครั้งคราวและเดินทางผ่านแคว้นต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนและปรัชญาของพวกเขา
ก่อนหน้านี้สำนักม่อจื๊อเป็นสำนักทางทหารที่เข้มงวดมาก อาจกล่าวได้ว่าผู้ติดตามและสาวกของสำนักม่อจื๊อแต่ละคนเป็นดั่งมีดคมในกองทัพ
สำหรับม่อหลงเอง ในฐานะสาวกของสำนักม่อจื๊อในยุคนี้ เขาก็เป็นดั่งม่อตี๋ของยุคนี้เช่นกัน ชื่อนี้ได้รับการถ่ายทอดมาแล้วหลายชั่วอายุคน แต่ก็ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่ายังมีอยู่อีกกี่คนที่ยังคงเชื่อในอุดมการณ์และปรัญชาเช่นนี้ของพวกเขาอยู่ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เทียนเฉินพาม่อหลงมาที่กลุ่มเขี้ยวหมาป่า เขาบอกเย่เชียนเพียงแค่ตัวตนคร่าว ๆ ของม่อหลงและสั่งให้เย่เชียนปฏิบัติดีต่อม่อหลงด้วยหัวใจเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง เพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นั้นม่อหลงจะช่วยเหลือเย่เชียนได้อย่างมาก
ในตอนนั้นเย่เชียนยังเป็นเด็กอยู่ เขาไม่รู้ว่าลัทธิม่อจื๊อคืออะไร จนกระทั่งเขาได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหัวข้อนี้ เขาถึงได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และในสายตาของเย่เชียนนั้น ม่อหลงไม่ได้เพียงแค่เป็นม่อตี๋ของยุคนี้เท่านั้น แต่เขาเป็นดั่งพี่ชายคนหนึ่งซึ่งเย่เชียนถือว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ที่มีชีวิตและความตายไปพร้อม ๆ กันกับเขา