<*>นิยายBookmarksไม่แจ้งเตือนท่านสามรถดูนิยายอัพเดทได้ที่นี่<*>Click
ชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหวังปิง เลขานุการคณะกรรมการเทศบาลเซี่ยงไฮ้ที่ตอนนี้ก็ใกล้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้ว่าการเทศบาลเซี่ยงไฮ้ เดิมทีเขาตั้งใจจะมาพบกับหลี่ฮ่าวในศาลาเซียงเฟยแห่งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการในอนาคตของเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเย่เชียนที่นี่ด้วย
เมื่อหวังปิงเห็นซูเหม่ยนั่งอยู่ตรงข้ามกับเย่เชียน เขาก็รู้สึกว่าซูเหม่ยมีอะไรคล้ายกับตัวเขาเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะหวังปิงนั้นอยู่ในระบบราชการระดับสูงมานาน เขาจึงมีโอกาสได้พบปะกับคนประเภทนี้มาแล้วหลายต่อหลายคน ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่การคาดเดาของหวังปิงเอง เขาจึงตัดสินใจถามว่า “แล้วคุณคนนี้คือ…?”
ซูเหม่ยเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมืองหางโจวในมณฑลเจ้อเจียง เธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานการเงินอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงส่งอะไรมากนัก ทว่าอำนาจของเธอก็ไม่ได้น้อย
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งของเธอนั่นมันก็เป็นเพียงตำแหน่งในท้องถิ่นที่ถือว่าห่างไกลจากตำแหน่งของหวังปิงมาก อย่างไรเสีย หวังปิงก็เป็นถึงคนที่ทำงานในคณะกรรมการเทศบาลเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ แม้ว่าหวังปิงจะไม่รู้จักเธอ แต่ซูเหม่ยต้องเคยได้ยินชื่อของหวังปิงมาบ้างแล้วอย่างแน่นอน
เมื่อหวังปิงทักทายเย่เชียนอย่างเป็นกันเอง เธอก็มองทั้งคู่ด้วยสายตาประหลาดใจ ด้วยเพราะความสนิทสนมคุ้นเคยนี้เองที่ทำให้เธอเริ่มอยากรู้สถานะและตัวตนของเย่เชียนมากขึ้น บางทีหนุ่มน้อยคนนี้อาจจะมีบางอย่างที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆ แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้
“อ้าว! นึกว่าใครมาทักทายผมเสียอีก ที่แท้ก็เป็นท่านผู้ว่าหวังปิงนี่เอง เธอคนนี้คือแม่ยายของผมเองครับ ทำงานรัฐบาลอยู่ที่เมืองหางโจวน่ะ” เย่เชียนพูดอย่างยิ้มแย้มและตรงไปตรงมา เขาไม่สนว่าซูเหม่ยจะยินยอมอยู่ในสถานะแม่ยายของเขาหรือไม่ยอมอยู่ แต่เขาก็พูดไปแล้ว
เย่เชียนคิดว่าอีกไม่นาน หวังปิงก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้ว่าการเทศบาลเซี่ยงไฮ้แล้ว เขาจึงไม่ลังเลที่จะเรียกหวังปิงด้วยตำแหน่งใหม่ เขามั่นใจว่ามติจะต้องออกมาเป็นเอกฉันท์ให้หวังปิงได้ตำแหน่งผู้ว่าฯ เพราะหลังจากที่อู่หยางเฉิงถูกตัดสิทธิ์ไปจากเรื่องฉาวโฉ่ที่เขาเคยกระทำ คู่แข่งของหวังปิงก็ลดลง
หลังจากที่หวังปิงชะงักไปชั่วครู่ เขาก็ยิ้มและยื่นมือออกไปทักทายซูเหม่ย “สวัสดี… ผมหวังปิง”
ซูเหม่ยเหลือบมองเย่เชียนและตำหนิเขาด้วยสายตาคมกริบ เพราะเขาดันบอกกับหวังปิงว่าเธอเป็นแม่ยาย แต่เธอก็ไม่ได้พูดแก้ต่างอะไรกับสถานะนั้น ด้วยความที่เธอก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีการศึกษาเด่น แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับการที่เย่เชียนคบกับหลินโรโร่ว แต่เธอก็จะไม่มีทางตะโกนด่าทอเขาเหมือนกับพวกแม่ค้าขายปลาข้างถนนเป็นอันขาด
ซูเหม่ยจับมือทักทายหวังปิงอย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็พูดว่า “ฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณหวังมานานแล้ว… ฉัน ซูเหม่ย… รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีมากที่บังเอิญได้มาเจอกับคุณหวังในวันนี้ค่ะ”
เย่เชียนไม่ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากนัก เขายังคงนึกถึงบุคลิกที่ดูเย่อหยิ่งและเย็นชาที่เขาได้รับจากซูเหม่ยก่อนหน้านี้ เย่เชียนแอบคิดอยู่คนเดียวในใจว่า ถ้าหากซูเหม่ยไม่ได้เป็นคนเย่อหยิ่ง เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก
“คุณซู… คุณก็ชมผมเกินไป… ที่ผมสามารถมีวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากเสี่ยวเย่เลย… คุณซูนี่ช่างโชคดีจริง ๆ นะครับที่มีลูกเขยยอดเยี่ยมอย่างเขา” หวังปิงพูดอย่างเป็นกันเอง
การที่หวังปิงพูดแบบไม่เป็นทางการเช่นนี้ทำให้ซูเหม่ยประหลาดใจและตกตะลึงอย่างมาก การที่หวังปิงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเทศบาลเซี่ยงไฮ้โดยมีเย่เชียนที่มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือเขาในเรื่องบางอย่างด้วย นี่มันเป็นสิ่งที่เธอนึกไม่ถึงเลย
เธออดไม่ได้ที่จะจ้องมองเย่เชียน แต่เขากลับมีเพียงรอยยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรอยู่บนใบหน้า นั่นมันทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกสับสนงุนงงมากยิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้ซูเหม่ยชักจะเริ่มสงสัยและอยากรู้แล้วว่าการเดิมพันกันระหว่างซูเหม่ยกับเย่เชียน ใครจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป แต่ถึงแม้ว่าเธอจะชนะหรือแพ้ มันก็จะไม่ทำให้เธอหรือตระกูลหลินได้รับอันตรายใด ๆ
เย่เชียนหัวเราะแห้ง ๆ “แหะ ๆ ๆ อย่าว่าผมโมเมอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับ อันที่จริงตอนนี้แม่ยายของผม เธอยังไม่ยอมรับผมเป็นลูกเขยในอนาคตของเธอเลย…”
หวังปิงผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะแห้ง ๆ เช่นกัน การที่แม่ยายมาพบกับว่าที่ลูกเขยเป็นการส่วนตัว ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากสำหรับหวังปิง แต่เขาก็ยังพอคาดเดาและเข้าใจสถานการณ์ได้บ้าง
หลังจากที่ทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังปิงก็ขอตัวไปนั่งที่โต๊ะอื่นกับหลี่ฮ่าวเพราะเขานัดหลี่ฮ่าวไว้
ด้วยเหตุนี้เอง การเผชิญหน้าครั้งแรกของเย่เชียนกับแม่ยายในอนาคตของเขาก็จบลงโดยที่เย่เชียนเป็นผู้ทำคะแนนนำได้ก่อน สำหรับการพบปะกันในครั้งนี้เย่เชียนค่อนข้างพึงพอใจ เขาคิดว่าซูเหม่ยเองก็น่าจะเริ่มเห็นดีเห็นชอบในตัวเขามากขึ้นหลังจากที่เห็นว่าเขาสนิทกับคนมีหน้ามีตาในแวดวงสังคมอย่างหวังปิง นอกจากนี้ เขาก็ยังได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับแม่ยายของเขาด้วย
เย่เชียนแอบคิดในใจว่า เขากับคุณป้าซูเหม่ยคนนี้คงจะเข้ากันได้ดีในภายภาคหน้า
ในขณะที่ซูเหม่ยกำลังจะกลับไป เย่เชียนก็เดินออกไปส่งเธอด้วยความเคารพและสุภาพนอบน้อม ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันนั้น ซูเหม่ยก็พูดขึ้นว่า “โรโร่วน่ะ… ไม่รู้เรื่องที่ฉันมาเซี่ยงไฮ้ในวันนี้หรอกนะ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” เย่เชียนพยักหน้า
เขารู้ว่าซูเหม่ยไม่ต้องการให้เขาบอกหลินโรโร่วเรื่องการพบกันในวันนี้ แต่ถึงเธอจะไม่ได้พูดเช่นนั้น เย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับหลินโรโร่วอยู่แล้ว แม้เดิมทีเขาจะคิดว่าโรโร่วเป็นคนบอกเบอร์โทรศัพท์ของเขาให้แม่ของเธอรู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะรู้ว่าแม่ของเธอจะนัดเจอเขาในวันนี้
ถ้าผู้ชายที่โตเป็นหนุ่มเต็มวัยแล้วอย่างเขากระวนกระวายเรื่องที่ไปเจอแม่ว่าที่ภรรยามาแล้ววิ่งกลับบ้านมาบ่น นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย นอกจากนี้ เย่เชียนเองก็ตระหนักได้ถึงความหมายอื่น ๆ ในคำพูดของซูเหม่ยด้วย เพราะมันเป็นไปได้ว่าข้อตกลงสองปีของหลินโรโร่วกับซูเหม่ยนั้นอาจจะกำลังอยู่ในสภาวะหยุดชะงักชั่วคราว
ซูเหม่ยพยักหน้าอย่างพอใจแล้วจึงเข้าไปนั่งในรถ หากเธอไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของเย่เชียนและมองแค่ตัวตนของเขาเพียงอย่างเดียว ซูเหม่ยก็ประทับใจในตัวเขาอยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตระกูลหลินต้องการไม่ใช่เพียงแค่ลูกเขยนิสัยดี แต่ยังต้องการคนที่มาจากตระกูลที่ดีและสถานภาพที่ดีด้วยเช่นกัน
ณ ตอนนี้ซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของเย่เชียน ถ้าหากสิ่งที่เย่เชียนพูดมาทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริงไม่ได้โกหก เขาก็คงจะต้องใช้พลังความสามารถของตัวเองเพื่อพาตัวเองขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมในสายตาของเธอให้ได้
เมื่อส่งซูเหม่ยเสร็จ เย่เชียนก็เดินกลับเข้าไปในโรงน้ำชาที่ศาลาเซียงเฟยอีกครั้ง เขามุ่งตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีหวังปิงและหลี่ฮ่าวนั่งอยู่ พยักหน้าให้ทั้งสองเล็กน้อยและนั่งลงอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นใบหน้าของหวังปิงที่มีแต่ความกังวลตึงเครียด เย่เชียนจึงเริ่มพูดว่า “ท่านหวังปิง… เมื่อครู่นี้คุณบอกกับผมว่าคุณมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับผม… มีเรื่องอะไรเหรอครับ ?”
หวังปิงกำลังจะเริ่มพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ลังเลและหยุดชะงักไป จากนั้นก็พูดว่า “เสี่ยวหลี่ คุณช่วยบอกเขาทีสิ”
หลี่ฮ่าวพยักหน้า “อู่หยางเฉิงหลุดออกจากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบวินัยแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียคุณสมบัติในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้เนื่องจากปัญหาก่อนหน้านี้ก็ตาม… แต่เขาก็ยังคงไปจับเอาตำแหน่งรองเลขามาใช้เพื่อยึดถือเอาสิทธิ์ในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ อยู่น่ะสิ”
คิ้วของเย่เชียนขมวดแน่น ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าระบบราชการรัฐบาลมันเน่าเฟะ ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเละขนาดนี้ แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ทำให้เย่เชียนได้รู้อะไรเพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคืออู่หยางเฉิงจะต้องมีผู้สนับสนุนจำนวนมากอยู่เบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน การที่เขาไม่ได้รับโทษทางกฎหมายนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ควรที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่และหมดสิทธิ์เลือกตั้งชิงตำแหน่งไปแล้ว ไม่น่าจะยังมายึดเอาตำแหน่งอื่นมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งชิงตำแหน่งแบบนี้
ถ้าเป็นเช่นนี้ การรับมือกับอู่หยางเฉิงในอนาคตจำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นและห้ามมีข้อผิดพลาดใด ๆ เรื่องมันมาขนาดนี้ แสดงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของอู่หยางเฉิงก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องและเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้ด้วยอย่างแน่นอน
“ท่านหวังปิงคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ ?” เย่เชียนถาม