หลังจากที่หวังปิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ถึงแม้ว่าอู่หยางเฉิงจะพ้นโทษแล้วก็ตาม… แต่ฉันก็คิดว่าเขาคงจะไม่เคลื่อนไหวหรือทำการใหญ่ใด ๆ ได้ในเร็ววันหรอก ฉันแค่กังวลว่าอู่หยางเฉิงจะไม่ปล่อยเสี่ยวเย่ไปง่าย ๆ น่ะสิ… ยังไงเสี่ยวเย่ก็ควรระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มากนะในอนาคต”
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ… ผมจะรอให้เขามาหาเลย”
เช่นเดียวกับการฟันดาบ ยิ่งคุณโจมตีมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีช่องโหว่มากขึ้นเท่านั้น เย่เชียนนั้นไม่ได้เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของอู่หยางเฉิงเลย ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าอู่หยางเฉิงโจมตีเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะมีโอกาสสวนกลับได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น และนี่ก็จะเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบสำหรับเย่เชียนที่จะทำให้อู่หยางเฉิงพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในทางกลับกัน สิ่งที่เย่เชียนกลัวว่าจะเกิดขึ้นก็คือ เขากลัวว่าอู่หยางเฉิงจะตัดสินใจกลับตัวกลับใจเป็นคนดีและขี้ขลาดตาขาวขึ้นมามากกว่า เพราะนั่นจะเป็นการลดโอกาสของเย่เชียนในการกำจัดเขาลง
“เสี่ยวเย่…! มันยังมีอีกเรื่องนึง”
หวังปิงหยุดชั่วคราวก่อนที่เขาจะพูดต่อ “เมื่อคืนก่อนอู่หยางเทียนหมิงแหกคุก! และตอนนี้ทางเราก็ยังไม่ทราบที่อยู่ของเขาเลย อู่หยางเทียนหมิงลูกชายเขาน่ะได้ช่วยอู่หยางเฉิงประสานงานและติดต่อกับพวกอาชญากรใต้ดินมาโดยตลอด เขาทำหน้าที่เป็นตัวแทนระหว่างทั้งสองฝ่าย ไอ้เหตุผลที่อู่หยางเทียนหมิงได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่หนุ่มผู้เกรียงไกรในเซี่ยงไฮ้นั้น มันไม่ใช่เพราะอิทธิพลของอู่หยางเฉิงหรอก แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับพวกอาชญากรใต้ดินต่างหาก…
เขาน่ะสามารถหยิบยืมอิทธิพลของพวกอาชญากรใต้ดินมาเพื่อที่จะจัดการกับเสี่ยวเย่ได้ ดังนั้นเสี่ยวเย่ต้องคอยระวังสองพ่อลูกนั่นเอาไว้ให้มาก ๆ นะ เขาจะต้องมาหาเสี่ยวเย่อย่างแน่นอน”
คิ้วของเย่เชียนขมวดเล็กน้อยขณะที่เขาพูดว่า “พัศดีและการจัดการของหน่วยงานเรือนจำในเซี่ยงไฮ้นี้ไร้ความสามารถขนาดนั้นเลยเหรอครับ…? พวกเขาปล่อยให้นักโทษหลบหนีออกมาได้ง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง นี่มันเป็นฝีมือของอู่หยางเฉิงอีกแล้วใช่มั้ย ?”
“ฉันเองก็คิดเอาไว้แบบนั้นเหมือนกัน อู่หยางเฉิงมีสัมพันธไมตรีใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ในระบบเรือนจำมาโดยตลอด และในวันที่อู่หยางเทียนหมิงแหกคุก ฉันก็รีบไปที่เรือนจำทันทีแต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย ถึงเราจะรู้ว่าเป็นฝีมือของอู่หยางเฉิงก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่มีหลักฐานที่สามารถสาวไปถึงตัวของเขาได้” หวังปิงพูดเครียด ๆ
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ทำงานในระบบราชการ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการทำงานของคนในระบบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบนไล่ลงมาจนถึงระดับล่าง พวกเขาต่างก็มีคนที่ต้องการกำจัดทิ้งด้วยกันทั้งนั้น แต่ทว่าการกำจัดคนเพียงคนเดียว มันก็อาจหมายถึงการกำจัดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นไปด้วย เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นล่ะก็ พวกเขาเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาทำให้ตัวเองเผชิญกับปัญหามากมายในอนาคตได้
หวังปิงรู้เรื่องเกี่ยวกับเครือข่ายของอู่หยางเฉิงเป็นอย่างดี แต่เขาไม่สามารถสั่งให้คนไปลอบสังหารทุกคนทั้งหมดในรายชื่อของพวกนั้นได้ ถ้าทำแบบนั้น ไม่เพียงแค่มันไม่ได้ทำให้หวังปิงไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ เลย แต่ยังทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้นด้วย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือ หาทางโค่นอู่หยางเฉิงและผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดให้สิ้นซาก
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่กลัวการตอบโต้ของอู่หยางเทียนหมิง แต่หากอู่หยางเทียนหมิงเกิดตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป้าหมายจากเย่เชียนไปที่คนรอบข้างของเขาแทน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับเขาอย่างมาก เมื่อคิดแบบนั้นเย่เชียนก็ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะอู่หยางเทียนหมิงหลบหนีไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว เขาจำเป็นต้องรีบสั่งให้แจ็คหามือดีสักคนมาคอยคุ้มกันพ่อและฮันเซ่ล รวมทั้งหลินโรโร่ว ฉินหยู และคนอื่น ๆ อีก
ถ้าหากอู่หยางเทียนหมิงคิดพาลไปเล่นงานคนรอบข้างเขาจริง ๆ ล่ะก็ มันจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเย่เชียนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเย่เชียนก็ไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเขาถูกทำร้ายได้
ถึงตอนนี้ เย่เชียนไม่รอช้า รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดไปที่เบอร์ของแจ็คอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล… ไอ้เพื่อนตัวแสบของฉันมันแหกคุกออกมาเมื่อสองวันก่อน นายว่าเราควรเอาไงต่อดี ?” เย่เชียนพูดอย่างคลุมเครือ เขาเพิ่มความหมายที่จริงจังมากขึ้นในน้ำเสียง เมื่อพูดคำว่า ‘เพื่อนตัวแสบ’
แจ็คเข้าใจความหมายที่เย่เชียนต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่บุกน้ำลุยไฟกันมาหลายปี แน่นอนว่าพวกเขาก็มีคำแฝงมากมายที่เอาไว้ใช้กัน
ฟังคำพูดเย่เชียนแล้ว แจ็คก็ไม่รอช้ารีบตอบกลับว่า “เข้าใจแล้วบอส”
เย่เชียนมั่นใจในความสามารถการจัดการเรื่องนี้ของของแจ็คมาก หลังจากที่แจ็คตอบกลับแล้ว เขาก็ตัดสายโทรศัพท์ไปทันที บทสนทนาทั้งหมดนั่นใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีการพูดอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันหรือจับใจความอะไรแทบไม่ได้เลย แต่หวังปิงก็เดาได้ว่าเย่เชียนต้องมีเพื่อนและเครือข่ายที่พิเศษอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
หวังปิงคิดว่าถึงแม้เย่เชียนจะเป็นพันธมิตรของเขา แต่ตัวเขาก็ยังแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเย่เชียนเลย เขาอดไม่ได้ที่จะมีข้อสงสัยและหวังให้ตัวเขาเองรู้ข้อมูลของเย่เชียนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากที่จะถามและก็ยากที่จะไปสืบหาเอาเองอย่างลับ ๆ เพราะถ้าเย่เชียนรู้ขึ้นมาว่าเขาทำเช่นนั้น มันก็จะทำให้ทุกอย่างอึดอัดและคงจะจบไม่สวยเป็นแน่แท้
เมื่อเย่เชียนวางสายไป เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “ท่านหวังปิง… เดี๋ยวผมขอจัดการเรื่องของอู่หยางเทียนหมิงเองก็แล้วกัน ในเมื่อเขาไม่อยากที่จะติดคุกดีนัก งั้นผมจะพาเขาไปพบกับท่านยมทูตสักหน่อย… ส่วนเรื่องของอู่หยางเฉิง ผมคงต้องฝากคุณดูแลด้วย… ผมคงได้แต่ช่วยคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในเงามืด”
หัวใจของหวังปิงนั้นอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอยู่ภายใน เพราะความหมายของเย่เชียนนั้นชัดเจนมากว่าเขาตั้งใจจะฆ่าอู่หยางเทียนหมิงทิ้ง แต่เขาจะพูดอะไรได้กับเรื่องแบบนี้ ? เขาจะขอร้องให้เย่เชียนไม่ฆ่าอู่หยางเทียนหมิงงั้นเหรอ ? ถ้าเขาทำแบบนั้นจริง เขาคงจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
เมื่อหวังปิงคิดได้ดังนั้น จึงทำเป็นหูทวนลม อะไรที่จะเกิดขึ้นก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป
“ที่สำคัญอีกอย่างคือ… เราต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังอู่หยางเฉิง ท่านหวังปิงมีเบาะแสบ้างหรือเปล่าครับว่าคนคนนั้นคือใคร ?” เย่เชียนถาม
หวังปิงส่ายหัวและพูดว่า “ในรัฐบาลเนี่ยมันยุ่งเหยิงจริง ๆ คนส่วนใหญ่มักจะมีใครสักคนที่อยู่เหนือพวกเขาอยู่แล้ว เพราะอย่างตัวฉันเองก็ยังมีเลย… เราไม่รู้จริง ๆ หรอกว่าใครเกี่ยวข้องกับใครบ้าง แต่ขอให้มั่นใจได้เลยว่าฉันจะคอยจับตาดู แล้วถ้าหากมีข่าวอะไรเพิ่มเติมมา ฉันจะรีบบอกเสี่ยวเย่เป็นคนแรก”
เย่เชียนพยักหน้า “อืม… เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลังดีกว่าครับ… ตอนนี้ผมยังไม่ได้แสดงความยินดีอย่างเป็นทางการเลยที่คุณจะได้เป็นผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ มา ๆ ผมขอรินชาให้คุณสักถ้วย”
หวังปิงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มกับเย่เชียน…
ทั้งสามคนคุยกันต่อไปอีกสักพักเกี่ยวกับหัวข้อที่สบายใจกว่า และก่อนที่จะสิ้นสุดการประชุมเล็ก ๆ ของพวกเขา เย่เชียนก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นเวลานานมากแล้วที่เขาเข้าไปเรียนครั้งสุดท้าย ถึงยังไงไอ้งานบอดี้การ์ดของเขาก็ยังบังคับให้เขาต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาอยู่ อีกอย่าง ที่มหาวิทยาลัยก็มีฉินหยูและจ้าวหยาอยู่ที่นั่นกันทั้งคู่ เขาเองก็อยากจะเข้าไปดูพวกเธอสักหน่อยจะได้ทำให้พวกเธอประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อออกมาจากศาลาเซียงเฟยแล้ว หวังปิงก็ขับรถออกไปคนเดียวโดยปล่อยให้หลี่ฮ่าวพาเย่เชียนไปส่งยังจุดหมาย
ตั้งแต่ที่เย่เชียนกลับมา พวกเขาแต่ละคนก็มีปัญหาของตัวเองที่ต้องจัดการ หลี่ฮ่าวไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเย่เชียนเลย แต่แน่นอนว่าการที่เย่เชียนได้เป็นที่ชื่นชอบจากหวังปิงแบบนี้ หลี่ฮ่าวก็เห็นด้วยและมีความสุขไปกับเย่เชียน
ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย เย่เชียนก็ถามขึ้นว่า “นายไปหาพ่อมาบ้างหรือเปล่า ?”