“แกก็รู้อยู่แก่ใจว่าแกต้องทำยังไง… แกคงไม่ต้องให้ฉันสอนใช่มั้ยวะ ? ฮ่า ๆ ๆ” อู่หยางเทียนหมิงหัวเราะอย่างสะใจ
เย่เชียนรับมีดหมาป่าสีเลือดของเขากลับคืนมาและแทงเข้าไปที่แขนซ้ายของตัวเองอย่างรุนแรง ทันใดนั้นแขนของเขาก็อาบท่วมไปด้วยเลือดทันที ทว่าเย่เชียนกลับไม่เปล่งเสียงใด ๆ ออกมาราวกับว่าเขาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ เลย
เมื่อจ้าวหยาที่เห็นฉากนี้จากข้างหลัง เธอก็กรีดร้องร่ำไห้น้ำตาไหลอาบไปทั่วใบหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทะเลาะและหาเรื่องกับเย่เชียน แต่เธอก็ไม่ได้เกลียดชังเขา ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีเธอชักจะเริ่มชอบเขาขึ้นมาบ้างแล้ว การที่ได้เห็นเย่เชียนต้องมาเจ็บตัวจนเลือดตกยางออกเพียงเพราะเขาต้องการที่จะช่วยเธอแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีมีดมาแทงเข้าไปในหัวใจของเธออย่างแรง
“พอใจรึยัง ?” เย่เชียนถามด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา
“เหอะ…! ไม่ได้เรื่อง นี่มันน่าเบื่อมาก! แกคิดว่าแค่นี้มันจะทำให้ฉันพอใจได้งั้นเหรอวะ ?” อู่หยางเทียนหมิงพูดเย้ยหยัน “ไอ้เบื๊อกเอ๊ย! แกอ้อนวอนสิวะ! อ้อนวอนขอให้ฉันปล่อยเธอไปสิ ฉันชอบความรู้สึกของคนที่มาอ้อนวอนฉันโว้ย โดยเฉพาะคนอย่างแก ฉันอยากให้แกคุกเข่าลงตรงหน้าฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะได้เหยียบย่ำแกให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของฉันตลอดไปไง ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!”
การคุกเข่าของชายคนหนึ่งนั้นมันมีค่าดั่งทองคำ เพราะลำแข้งและหัวเข่าของลูกผู้ชายนั้นเปรียบได้เหมือนกับสวรรค์ การคุกเข่าลงกับพื้นดินมันมีเพียงเพื่อผู้อาวุโสและคนที่ตนเคารพยิ่งเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่จะทำให้เย่เชียนยอมคุกเข่าลงต่อหน้าของอู่หยางเทียนหมิงจะเป็นเรื่องที่ยากมากขนาดไหน
ตัวเย่เชียนเองก็รู้ว่าอู่หยางเทียนหมิงแค่กำลังพยายามทำให้เขารู้สึกอับอายและอัปยศอดสู ไม่ว่าเขาจะคุกเข่าจริง ๆ หรือไม่คุกเข่า มันก็ไม่สำคัญอะไร นอกจากนั้นแล้วถึงแม้ว่าเย่เชียนจะยอมคุกเข่าให้อู่หยางเทียนหมิงในที่สุด แต่คนอย่างอู่หยางเทียนหมิงก็จะไม่ปล่อยจ้าวหยาไปอยู่ดี
“ฉันอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง… ถ้าแกอยากจะมาเหยียบฉันก็เข้ามาเหยียบเลยสิ” เย่เชียนพูดพลางแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“โอ๊ย… ฉันกลัวแล้ว… ฉันกลัวแกมากเลย!” อู่หยางเทียนหมิงแกล้งทำเป็นกลัว “ฉันรู้หน่าว่าคนอย่างแกมันต่อสู้เก่ง… แล้วไงล่ะ ? มันจะเร็วกว่าลูกกระสุนงั้นเหรอวะ ?” ในขณะที่อู่หยางเทียนหมิงพูด เขาก็หยิบปืนออกมาจ่อเล็งไปที่เย่เชียนจากระยะไกล
“แกเห็นนี่มั้ยวะ ? ห๊ะ ? แกเห็นนี่มั้ย ? ถ้าฉันอยากจะฆ่าแกมันซะตอนนี้ก็ง่ายมาก แล้วไงล่ะ ทักษะการต่อสู้ของแกมันจะไปทำอะไรกับลูกปืนได้วะ ? ฮ่า ๆ ๆ” อู่หยางเทียนหมิงพูดอย่างมั่นใจ เขายืดอกผ่าเผยราวกับตนสูงส่งเสียเต็มประดา
จากนั้นอู่หยางเทียนหมิงก็พูดกับชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้าง ๆ เย่เชียนว่า “แกสองคนไปทำให้มันคุกเข่าซะ!”
เมื่อชายฉกรรจ์ทั้งสองได้ยินคำสั่งก็เดินไปเตะข้อพับขาของเย่เชียนอย่างไร้ความปรานีทันที เย่เชียนรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาตรงหลังหัวเข่า เขารู้สึกว่าขาของเขากำลังอ่อนแรงลงและตัวเองก็เกือบจะคุกเข่าทรุดลงไปกับพื้น แต่เย่เชียนก็ฝืนใช้ความแข็งแกร่งและความอดทนอันยิ่งใหญ่ที่มาจากการฝึกฝนนานนับหลายปีทำให้เขายังคงยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
“หึ ๆ ๆ แกนี่แข็งแกร่งไม่เบา… ไหนดูซิว่าแกจะทนได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว” อู่หยางเทียนหมิงพูดจบก็หันไปสั่งลูกน้องของเขาต่อ
“เตะมันอีก! เตะมัน! เตะจนกว่ามันจะคุกเข่าลงต่อหน้าฉัน”
ด้วยคำสั่งของอู่หยางเทียนหมิง ชายฉกรรจ์สองคนก็ไม่ลังเลที่จะเตะไปที่ทั้งเข่าและขาของเย่เชียนอย่างไม่หยุดยั้ง เย่เชียนกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด แต่ทุกครั้งที่เข่าของเขากำลังจะทรุดลงไป เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างแน่วแน่
น้ำตาไหลรินไปทั่วใบหน้าของจ้าวหยา ขณะที่เธอทำได้แค่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่มีเสียง เธอรู้ดีว่าเย่เชียนเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่การที่เขาต้องมาทนทุกข์ทรมานเพื่อเธอขนาดนี้มันก็เกินไป
ดูเหมือนว่าอู่หยางเทียนหมิงเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว เขาจึงเล็งปืนไปที่หัวของจ้าวหยา จากนั้นก็พูดกับเย่เชียนอย่างเดือดดาลว่า “แกเข้มแข็งนักใช่มั้ย ? คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้… ไม่งั้นฉันจะเป่าหัวนังนี่ซะ!”
จากนั้นอู่หยางเทียนหมิงก็หันไปพูดกับจ้าวหยาว่า “เธออย่าโทษฉันนะเว้ย! ถ้าอยากโทษไปโทษมันนู่น มันเป็นต้นเหตุที่นำความตายมาสู่เธอ… เข้าใจมั้ย!”
เย่เชียนต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบากมากที่สุด เขาครุ่นคิดหาทางออกอยู่ในใจ ในขณะที่อู่หยางเทียนหมิงในตอนนี้นั้นไร้เหตุผลและบ้าคลั่งไปแล้ว ถ้าเขายังไม่ยอมคุกเข่าลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ คนบ้าอย่างอู่หยางเทียนหมิงก็จะเหนี่ยวไกอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขายอมคุกเข่าลง มันจะทำให้ทั้งตัวเขาเองและกลุ่มเขี้ยวหมาป่าต้องอับอายขายขี้หน้า หากเรื่องพวกนี้หลุดลอดออกไปสู่โลกภายนอกแล้วล่ะก็ กลุ่มเขี้ยวหมาป่าก็จะไม่มีที่ยืนอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
เย่เชียนอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อไหร่ม่อหลงกับฟูจุนเฉิงจะมาถึงสักที
ในขณะเดียวกันที่ด้านนอกโรงงานเคมีร้าง ม่อหลงและฟูจุนเฉิงเพิ่งจะมาถึงโดยไม่มีปัญหาใด ๆ ระหว่างทาง และทั้งสองคนก็พบจุดเหมาะสมที่จะปฏิบัติการแล้วซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอาคารของโรงงาน
ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ได้เล็งปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของพวกเขาไปที่อู่หยางเทียนหมิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขามีปืนสไนเปอร์ไรเฟิลเพียงแค่สองกระบอก ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีคนอยู่ทั้งหมดห้าคน หากทั้งสองไม่ระวังหรือมีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ มันก็อาจทำให้ชีวิตของจ้าวหยาต้องพบกับจุดจบเลยก็เป็นได้ ส่วนเย่เชียน พวกเขาไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าจ้าวหยาอยู่ในระยะปลอดภัย เย่เชียนจะสามารถจัดการกับพวกนั้นทั้งหมดได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน
“คุณพร้อมมั้ย ?” ม่อหลงถาม เขาเหลือบมองฟูจุนเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ
“เดี๋ยวคุณจัดการกับอู่หยางเทียนหมิงนะ ส่วนผมจะจัดการสองคนข้าง ๆ เขาเอง” ฟูจุนเฉิงพยักหน้าและตอบกลับ
ม่อหลงเหลือบมองฟูจุนเฉิงอย่างประหลาดใจ เพราะสำหรับพลซุ่มยิงแล้ว การยิงต่อเนื่องแต่คนละเป้าหมายกัน ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก ในฐานะพลแม่นปืนมือหนึ่งของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า ม่อหลงก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขาจะสามารถยิงโดนเป้าหมายทั้งสองได้ทันเวลาตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า เพราะถ้าหากว่าใช้เวลาในการยิงทั้งสองเป้าหมายนานเกินไป ก็อาจจะมีใครบางคนไหวตัวทันและจัดการกับตัวประกันก็เป็นได้
อีกอย่าง ฟูจุนเฉิงเองก็ไม่ได้สัมผัสกับปืนสไนเปอร์ไรเฟิลมานานแล้ว ดังนั้นเขาอาจจะยังไม่มีความคุ้นเคยกับอาวุธปืนมากพอ ซึ่งถ้าฟูจุนเฉิงยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปืน มันก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในฐานะพลซุ่มยิงด้อยลงและอาจจะผิดพลาดได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อม่อหลงเห็นฟูจุนเฉิงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่อย่างยิ่ง เขาจึงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และพูดว่า “เอาล่ะ! งั้นเดี๋ยวเราเปิดฉากยิงพร้อมกัน พอเย่เชียนได้ยินเสียงปืนของพวกเรา เขาจะจัดการกับสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างแน่นอน”
……
กลับมาที่ด้านนอกของมหาวิทยาลัย หลังจากที่ จางเชียง ได้แต่ยืนดูเย่เชียนขับรถของตัวเองออกไปนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเย่เชียนมาจากปากของฉินเฟิงแล้ว และเขาก็ตัดสินใจว่าจะคอยจับตาดูหนุ่มน้อยที่มีเสน่ห์คนนี้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกัน ถึงสามารถมากระตุ้นหัวใจของฉินหยูได้ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย นี่ขนาดแค่เขาเพิ่งจะมาถึงทางเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็ถูกเย่เชียนดึงตัวออกจากรถและขับมันไปซะอย่างนั้น เหตุการณ์นี้มันทำให้จางเชียงต้องหัวเราะทั้งน้ำตา
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหยูก็ขับรถแลมโบกินี่มูร์เซียลาโกของเธอเองออกมาจากมหาวิทยาลัย เมื่อเธอเห็นจางเชียงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจแล้วหยุดรถตรงข้างเขาก่อนจะลดกระจกลง จากนั้นเธอก็ยื่นหน้าออกไปถามด้วยความประหลาดใจ
“ลุงจาง…! ลุงมายืนทำอะไรที่นี่น่ะ ?”
จางเชียงหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “ลุงได้ยินมาจากเฟิงเอ๋อร์ว่าเธอมีแฟนแล้ว… ก็เลยจะแวะมาดูเขาเสียหน่อย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอมาถึง ลุงจะโดนพ่อหนุ่มคนนั้นเอารถของลุงไปเฉยเลย”
“ห๊ะ! อะไรนะ…!? เขาปล้นรถลุงเหรอ ?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ
จางเชียงพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูดว่า “ดูท่าทาง… เขาน่าจะมีเรื่องด่วนมากนะ ว่าแต่ แม่หนูเอ๋ย! สายตาของเธอนี่เฉียบขาดจริง ๆ รู้มั้ยว่าเขาน่ะเป็นหนุ่มน้อยคนแรกในเซี่ยงไฮ้เลยนะที่กล้ามายึดรถลุงไปแบบนี้ ฮ่า ๆ ๆ ลุงคิดว่าลุงชักจะชอบหนุ่มน้อยคนนี้ซะแล้วสิ”
เจ้าหญิงน้ำแข็งผู้ที่เย็นชาแม้ต่อหน้าผู้อาวุโสและผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวของตัวเอง ตอนนี้กลับมีใบหน้าแดงก่ำ เธอจึงรีบพูดอย่างร้อนรนเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอาย
“ลุงจางอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเสี่ยวเฟิงเลย… ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ใช่แฟนฉันหรอก”