ในเวลาเดียวกัน ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ อู่หยางเทียนหมิงก็ไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้ใด ๆ พวกเขาโดนกระสุนสองนัดที่ต่อเนื่องกันพุ่งเจาะเข้าไปที่หัวของพวกเขา ทั้งคู่พบกับจุดจบที่น่าอนาถทันทีด้วยกระสุนปืนที่ไม่มีโอกาสจะได้ตอบโต้แม้แต่นัดเดียว
เมื่อกระสุนผ่านสมอง แม้แต่เส้นประสาททั้งหมดก็ไม่มีโอกาสตอบสนองใด ๆ ได้
และแล้ว… ร่างของพวกเขาทั้งสองก็ล้มลงกับพื้น
ช่วงเวลาระหว่างกระสุนสองนัดนั้นห่างกันเพียงเสี้ยววินาที แน่นอนว่าความยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดา ๆ จะจินตนาการได้ ส่วนม่อหลงเอง เขาก็ชื่นชมฝีมือของฟูจุนเฉิงอย่างจริงใจ ถึงแม้ว่าม่อหลงจะเชื่อว่าตัวของเขาเองก็สามารถโจมตีสองเป้าหมายที่ต่างกันและคนละทิศทางกันได้ แต่ทว่าในระยะเวลาอันสั้นเพียงเสี้ยววินาทีนั้น เขาก็คิดว่าตัวเขาก็อาจจะทำไม่ได้ภายในเสี้ยววินาทีเหมือนกับฟูจุนเฉิงคนนี้…
เมื่อได้ยินเสียง เย่เชียนก็รู้ได้ทันทีว่าม่อหลงกับฟูจุนเฉิงมาถึงกันแล้ว เขารู้สึกโล่งใจมาก ก็ถ้าพวกเขาทั้งคู่อยู่รอบ ๆ นี้ ตัวเขาก็จะได้ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ อู่หยางเทียนหมิงจะทำอันตรายใด ๆ กับจ้าวหยา สำหรับตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือจัดการกับชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่อยู่ใกล้ ๆ เขาให้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจจะพลิกผัน
เย่เชียนเฝ้าดูขณะที่ทั้งสองคนพุ่งเข้ามาข้างหน้าด้วยหมัด และเย่เชียนก็ไม่สนใจความเจ็บปวดที่แขนซ้ายอีกต่อไป ถึงแม้ว่าการโจมตีของชายฉกรรจ์ทั้งสองจะไม่ใช่เทคนิคศิลปะการต่อสู้แบบโบราณก็ตามที แต่มันมีความดุดันและทรงพลังซึ่งมันต้องเป็นเทคนิคที่ต้องได้รับการฝึกฝนโดยผ่านการต่อสู้มามากมายอย่างแน่นอน
ในขณะนี้ เย่เชียนไม่ว่างที่จะคิดอะไรใด ๆ ได้มากนัก และเพราะแขนของเขาที่ถูกกรีดด้วยมีดหมาป่าสีเลือดเริ่มเจ็บ เขาจึงไม่สามารถออกแรงมากเกินไปได้ แต่ถึงอย่างไรเย่เชียนก็เป็นนักสู้ระยะประชิดอันดับหนึ่งของเขี้ยวหมาป่า เรียกได้ว่าในการต่อสู้ระยะประชิด เขาจะไม่มีทางพ่ายแพ้แม้จะใช้เพียงแค่แขนข้างเดียวก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนอย่างเขา เพียงแค่มือเดียวแขนเดียวมันก็เกินพอแล้วที่จะจัดการกับชายฉกรรจ์กระจอกสองคนนี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้มักจะใช้ทักษะหนึ่งผสมกับอีกทักษะหนึ่งไปตามสถานการณ์ และการต่อสู้ด้วยมือเปล่าทุก ๆ ประเภทมักจะต้องใช้ความชำนาญและไหวพริบมากกว่าสิ่งที่เรียนรู้มา
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เย่เชียนแทบไม่ได้ใช้ขาของเขาในการต่อสู้ระยะประชิดเลย ซึ่งมันไม่ใช่เพราะเขาไม่มีทักษะในด้านการใช้เท้าหรืออะไร แท้จริงแล้วนั้นมันตรงกันข้ามเลยต่างหาก ทักษะการต่อสู้ด้วยขาและเท้าของเย่เชียนเหนือกว่าทักษะการใช้มือของเขาเสียอีก เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะนี่มันเป็นวิธีที่จะปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้โดยใช้เพียงแค่พลังที่สามารถเอาชนะศัตรูได้ก็เพียงพอ
ด้วยเสียง ‘ปั้ป’ กับเสียง ‘กร๊อบ’ สองเสียงนี้ เย่เชียนใช้ขาของเขาเหวี่ยงเตะเข้าไปที่คอของชายฉกรรจ์ทั้งสองอย่างแรงจนกระดูกคอแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็ทรุดตัวล้มลง
ม่อหลงเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านกล้องสโคปของปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเขาและตกตะลึงอย่างมาก เขาเองยังไม่เคยเห็นเย่เชียนใช้ทักษะของขาที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนและเขาก็ไม่คาดคิดด้วยว่ามันจะอันตรายถึงชีวิต
ย้อนกลับไปที่ฐานที่มั่นกองกำลังสำนักงานใหญ่ส่วนกลางของเขี้ยวหมาป่านั้น ในแต่ละวัน ๆ จะมีเหล่าสมาชิกมาแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการต่อสู้ต่าง ๆ กันเสมอ เย่เชียนเองเป็นคนที่ใช้เพียงรูปแบบการต่อสู้ด้วยหมัดตลอดเวลา และในทุกๆ ครั้งนั้น สมาชิกเขี้ยวหมาป่าแต่ละคนก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเย่เชียนที่ใช้เพียงแค่หมัดกับฝ่ามือได้เลย ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาทั้งหมดจึงคิดกันว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเย่เชียนนั้นอยู่ที่หมัดของเขา แต่ทว่าตอนนี้ม่อหลงถึงกับต้องประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ถ้าหากว่าเย่เชียนใช้ คิกบ็อกซิ่ง ที่ทรงพลังของเขาตั้งแต่ในตอนแรกนั้น ม่อหลงก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะมีสมาชิกในเขี้ยวหมาป่าสักกี่คนกันที่สามารถรอดชีวิตจากการฝึกซ้อมของเย่เชียนไปได้…
อาจพูดเลยว่านั่นคือเหตุผลที่เย่เชียนใช้แต่หมัดก็เป็นได้
ม่อหลงวางปืนสไนเปอร์ไรเฟิลในมือของเขาลงแล้วยืนขึ้น เขามองไปที่ฟูจุนเฉิง จากนั้นก็พูดว่า “เราไปกันเถอะ”
ฟูจุนเฉิงเข้าใจ เขาพยักหน้าพร้อมวางปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเขาลงเพื่อจะได้ไปพร้อมกับม่อหลง
ในที่สุดเหตุการณ์ที่คับขันก็ได้จบลงแล้วและมันก็ถึงเวลาที่เย่เชียนกับจ้าวหยาจะต้องคุยเรื่องโรแมนติกระหว่างทั้งสอง ฟูจุนเฉิงนั้น เขาเข้าใจส่วนนี้เป็นอย่างดี อีกอย่าง ม่อหลงกับตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปรบกวนเวลาของพวกเขาทั้งสองเลย
หลังจากจัดการกับชายฉกรรจ์ทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เย่เชียนก็รีบเดินไปหาจ้าวหยาที่กำลังสั่นไปทั้งตัว เขายิ้มอ่อนโยนให้แล้วปลอบใจเธอ “ไม่เป็นไรแล้วนะ… ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว” เขาพูดขณะที่ปลดเชือกให้เธอ
จ้าวหยาถูกมัดไว้นานเกินไปจึงทำให้มือของเธอรู้สึกชา แต่เมื่อเธอเห็นแขนของเย่เชียนที่เต็มไปด้วยเลือด จ้าวหยาก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก เธอจึงอดทนเก็บข่มความชามือเอาไว้แล้วจัดแจงฉีกเสื้อของเธอออกและใช้เศษผ้าพันแขนของเย่เชียนเอาไว้อย่างเบามือ
“นายมันคนโง่ ทำไมนายถึงต้องใช้มีดแทงตัวเองด้วย มันเจ็บมากมั้ยนี่” เธอบ่นพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
ถึงแม้ว่าเธอจะบ่นอยู่ก็ตาม แต่น้ำเสียงของเธอก็เผยให้คนฟังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดใจผสมกับความขอบคุณและความห่วงใยปะปนกัน
ในเวลานี้เย่เชียนกำลังมองดูจ้าวหยาผู้ซึ่งอ่อนโยนอย่างประหลาด แน่นอนว่าเขาก็รู้สึกงุนงงผสมแปลกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่คิดเลยว่าจ้าวหยานั้นจะมีด้านที่อ่อนโยนและแสดงความห่วงใยที่น่ารักแบบผู้หญิง ๆ เช่นนี้ หลังจากที่เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เขาก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่เจ็บเลย แต่ตอนนี้พอเธอพูดถึงมัน มันก็เริ่มเจ็บขึ้นมาแล้วสิ”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวหยามีประสบการณ์บางอย่างเพราะเธอพันแผลให้เย่เชียนได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังออกมาสวยงามไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ไม่เคยทำแผลมาก่อน
“เลือดแห้งแล้วนะ แต่แผลของนายมันยังไม่หายดีหรอก มันจะอักเสบได้ง่ายเลยแหละ ฉันว่าเราไปโรงพยาบาลดีกว่า มา… ฉันจะพานายไปโรงพยาบาลเอง” เธอพูดเสียงแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร ๆ มันแค่แผลเล็ก ๆ เอง” เย่เชียนพูดเสียงเบา “จ้าวหยา เธอรู้สึกยังไงบ้างที่เกิดเหตุการณ์บ้า ๆ แบบนี้ ฉันคิดว่าพ่อของเธอเลือกถูกแล้วล่ะ เธอเป็นคู่หมั้นที่ดี” นี่เป็นการลืมความเจ็บปวดได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว เย่เชียนขี้เล่นเกินไป แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอ
แต่แล้วก็เป็นเย่เชียนเองที่ต้องประหลาดใจ เพราะจ้าวหยาไม่ได้บ้าคลั่งหรือโวยวายใส่เขาเหมือนเมื่อก่อน ตรงกันข้ามเธอกลับมองเย่เชียนอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “อันที่จริงฉันรู้นานแล้วว่านายไม่ใช่คู่หมั้นของฉันนะ นายเป็นบอดี้การ์ดที่พ่อฉันจ้างมาไม่ใช่เหรอ ?”
เย่เชียนจ้องมองอย่างว่างเปล่า เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอรู้มาตั้งแต่แรก ๆ แล้วว่าเขาไม่ใช่คู่หมั้นของเธอ
“เธอรู้ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ ?” เย่เชียนถามอย่างคนโง่เขลา
“อืม… อันที่จริงตอนแรกที่นายบอกฉันตอนนั้นฉันก็เชื่อจริง ๆ นั่นแหละว่าเราคือคู่หมั้นกัน แต่หลังจากนั้นฉันก็คิดอย่างถี่ถ้วนและฉันก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพ่อฉันน่ะ เขาเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของฉันมากนะ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบังคับฉันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากฉันเกี่ยวกับการหาคู่หมั้น และก็… ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมนายถึงต้องทำแบบนั้น แต่ฉันรู้ว่านายคงจะมีเหตุผลของนาย ฉันก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่านายไม่ได้พูดความจริง” จ้าวหยาค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ
เย่เชียนยิ้มอ่อน “อา… นี่เธอรู้มานานแล้วเหรอเนี่ย ฮ่า ๆ ว่าแต่ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันล่ะ หรือว่าเป็นไปได้ไหมที่เธออยากให้ฉันเป็นคู่หมั้นของเธอจริง ๆ น่ะ”
จ้าวหยามองหน้าเย่เชียนอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นเธอก็พูดว่า “ฝันไปเถอะย่ะ ฉันรู้ว่าเจ๊หยูมีความประทับใจที่ดีต่อนาย เธอเป็นผู้หญิงที่ดีนะ ฉันหวังว่านายจะดูแลเธอได้ แน่นอนว่าพี่สาวของฉันจะเป็นคนที่ช่วยนายได้ในอนาคตด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงานหรืออย่างอื่นก็ตามที…”
เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะและกำลังคิดว่าความหมายในสิ่งที่จ้าวหยาพูดมามันคืออะไร ? เธอชอบเขา แต่เธอไม่ต้องการเป็นมือที่สามระหว่างเขากับฉินหยูอย่างนั้นเหรอ ? เย่เชียนกำลังสับสนงงวย จากนั้นเขาก็มองหน้าจ้าวหยาและพูดออกมาว่า…
“เธอ… หึงเหรอ ?”