อันที่จริงแล้วอู่หยางเทียนหมิงกับจ้าวหยานั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย การที่อู่หยางเทียนหมิงเลือกลักพาตัวจ้าวหยาไป เป็นเพราะเขาต้องการหลอกล่อให้เย่เชียนออกมาเจอก็เท่านั้น ถ้าหากคนอย่างหูวเค่อไม่สามารถตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีโอกาสได้มายืนอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ อย่างในตอนนี้
หูวเค่อไม่รอให้ฉินหยูตอบกลับ เธอถามต่อไปว่า “แล้วพี่รู้มั้ยว่าอู่หยางเทียนหมิงอยู่ที่ไหน ?”
ฉินหยูพยักหน้า “สายลับข่าวกรองของหงเหมินกรุ๊ปได้ข้อมูลมาว่าอู่หยางเทียนหมิงอยู่ที่โรงงานเคมีร้างในเขตชานเมือง… เย่เชียนมุ่งหน้าไปที่นั่นแล้วล่ะ”
หูวเค่อพยักหน้าตอบรับ แต่กลับไม่แสดงออกถึงความกังวลใด ๆ ที่จะบอกให้ฉินหยูส่งคนไปช่วยเย่เชียนเลย เธอเองก็คิดเหมือนกับฉินหยูว่าอู่หยางเทียนหมิงคงต้องการให้เย่เชียนเข้าไปหาเขาเพียงตัวคนเดียว ถ้าหากพวกเธอส่งคนเข้าไปแทรกแทรง มันอาจจะทำให้เย่เชียนตกอยู่ในอันตรายได้ สิ่งเดียวที่พวกเธอทำได้ในตอนนี้คือต้องเชื่อใจเย่เชียนและเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถช่วยจ้าวหยากลับมาได้อย่างปลอดภัย
ส่วนคนอย่างอู่หยางเทียนหมิง พวกเธอไม่ได้ให้ความสนใจเลยสักนิดว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง เรื่องนั้นมันคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรม
หูวเค่อตบไหล่ฉินหยูเบา ๆ เพื่อปลอบใจ จากนั้นเธอก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก… ยังไงพวกเขาจะต้องปลอดภัยและไม่เป็นอะไรแน่ ๆ”
ฉินหยูเงยหน้าขึ้นมองและพยักหน้ารับรู้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉินหยูก็ยังคงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ ในทางกลับกันหูวเค่อดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรต้องกังวลเลย เธอเพียงหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านอย่างเงียบ ๆ
……
ทางด้านเย่เชียน เขาไม่รู้เลยว่าฉินหยูนั้นกำลังกังวลและเป็นห่วงเขามากขนาดไหน เพราะเขามัวแต่ซบอยู่บนไหล่ของจ้าวหยาอย่างสบายใจและสดชื่นไปกับกลิ่นหอม ๆ ของจ้าวหยา
จ้าวหยาเองก็ไม่ได้พูดอะไร เธอจะยอมปล่อยให้คนขี้โกงคนนี้ได้พักผ่อนเสียบ้างก็ได้ แต่ก็แอบสงสัยกับตัวเองในใจว่า ‘ทำไมฉันต้องรู้สึกดีกับอีตานี่ด้วย ?’
จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็กลับมาถึงบ้าน
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน ฉินหยูก็รีบลุกออกไปดูอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเปิดประตูบ้าน เธอก็เห็นเย่เชียนและจ้าวหยากำลังลงมาจากรถ ในที่สุดหัวใจของเธอก็สงบลงได้เสียที
เย่เชียนยังคงทำท่าเหมือนกับว่าขาทั้งสองข้างของเขายังเจ็บปวดอยู่ ถึงแม้ว่าจ้าวหยาจะรู้ว่าเขาเสแสร้ง แต่เธอก็ช่วยพยุงและประคองเขาเข้าไปในบ้าน
และเมื่อฉินหยูเห็นเย่เชียนกับจ้าวหยาที่ใกล้ชิดกันแบบนั้น ความอิจฉาก็พุ่งเข้ามาหัวใจของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ฉินหยูก็เห็นแขนของเย่เชียนอาบไปด้วยเลือดและถูกพันเอาไว้ด้วยเศษผ้า
ฉินหยูรีบเข้าไปช่วยพยุงเย่เชียนทันทีและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ ? บาดเจ็บเหรอ ? เข้าไปข้างในก่อนเร็ว ฉันจะได้ทำแผลให้”
การแสดงความห่วงใยของฉินหยูทำให้เย่เชียนชะงักไปชั่วครู่ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น หูวเค่อและจ้าวหยาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน จ้าวหยาแอบถอนหายใจและคิดในใจว่า ‘มันจบแล้วสินะ… เจ๊หยูถูกอีตาคนขี้โกงคนนี้พิชิตหัวใจไปแล้ว’
เมื่อฉินหยูเห็นท่าทีและแววตาที่เปลี่ยนไปของทั้งจ้าวหยาและหูวเค่อ เธอก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองคงจะเป็นห่วงเขาอย่างออกหน้าออกตาเกินไป เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินหยูก็รีบปรับสีหน้าของตัวเองให้กลับมาเย็นชาตามปกติดังเดิม
เธอพาเย่เชียนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็พยายามพูดเปลี่ยนประเด็น “หยาเอ๋อร์… เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ? ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ?”
ในตอนนี้ จิตใจของจ้าวหยาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและเกิดคำถามมากมาย มันไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกหึงหวงหรืออิจฉาอะไร กลับกันเธอคิดว่าฉินหยูนั้นเป็นพี่สาวที่ดีสำหรับเธอมาก ตอนที่เธอและเย่เชียนมาถึง คนที่ฉินหยูถามถึงเป็นคนแรกกลับไม่ใช่เธอแต่เป็นเย่เชียนคนขี้โกงคนนั้น
แม้เธอจะมัวคิดอยู่ว่า ‘เจ๊หยู… เจ๊แพ้แล้ว… หัวใจของเจ๊มันพ่ายแพ้ให้เขาอย่างสมบูณ์แล้ว’ ซึ่งแน่นอนว่าเธอคงจะไม่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาดัง ๆ แต่ในใจลึก ๆ เธอกำลังคิดไม่ตกว่าในเมื่อตอนนี้พี่สาวของเธอตกหลุมรักเย่เชียน แล้วตัวเธอเองล่ะจะต้องทำยังไง ? เธอควรวางตัวเองไว้ที่ตำแหน่งไหนสำหรับเรื่องแบบนี้…
จ้าวหยาส่ายหัวเล็กน้อยและตอบว่า “ฉันไม่เป็นไร… เจ๊รีบทำแผลให้เขาก่อนดีกว่านะ ฉันกลัวว่าถ้าแผลมันติดเชื้อ มันจะอักเสบเอาได้น่ะ”
ฉินหยูพยักหน้า “เย่เชียน… นายนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบอุปกรณ์มาทำแผลให้” จากนั้นเธอก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างกระวนกระวาย
เย่เชียนขยับตัวอย่างทุลักทุเล ขณะนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นว่าหูวเค่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขามีสีหน้าพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงดูไม่กังวลแม้แต่น้อย ถึงแม้เธออาจจะไม่ได้เป็นห่วงเขาเลยก็ตามที แต่อย่างน้อย ๆ เธอก็ควรเป็นห่วงจ้าวหยาบ้างสิ
เย่เชียนจ้องมองไปที่หูวเค่ออย่างว่างเปล่า เขาไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้จริง ๆ
ทางด้านหูวเค่อ เธอรู้สึกได้ว่าเย่เชียนกำลังมองมาที่ตัวเอง จึงค่อย ๆ วางนิตยสารลงและหันมาหาเขาพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และเธอก็พูดว่า “คุณมองฉันทำไมเหรอคะ ?”
“คุณไม่เป็นห่วงจ้าวหยาเลยเหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
หูวเค่อเม้มปากของเธอเป็นรอยยิ้มและพูดว่า “เย่เชียน… คุณกำลังถามฉันว่าทำไมฉันถึงไม่ทำตัวเหมือนกับพี่สาวหยูที่ดูกระวนกระวายและทุกข์ร้อนใจขนาดนั้นใช่มั้ยคะ ? ก็เพราะว่าเธอชอบคุณไง… แต่ฉันไม่ได้ชอบคุณ คุณอยากให้ฉันทำตัวเหมือนเธอเหรอ ?”
เย่เชียนฝืนยิ้มอย่างขมขื่นเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ด้วยคำพูดอันชาญฉลาดของเธอ มันได้ทลายคำตอบทั้งหมดที่เย่เชียนอยากรู้เกี่ยวกับเธอจนทำให้เขาไม่สามารถถามต่อได้อีกแล้ว
ครู่ต่อมา ฉินหยูก็วิ่งลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกับถือกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาด้วย เธอคุกเข่าลงตรงหน้าเย่เชียนและเปิดกล่อง จากนั้นก็พูดว่า “นี่… นายช่วยยื่นแขนออกมาหน่อยสิ”
ฉินหยูยังคงอยู่ในชุดทำงานที่มีคอเสื้อเปิดค่อนข้างกว้าง การที่เธอกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าเย่เชียนนี้ มันเผยให้เห็นหน้าอกขาวบริสุทธิ์สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา นี่มันทำให้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีมีความสุข เขากลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบ ๆ
ขณะเดียวกัน ฉินหยูนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเย่เชียนกำลังมีความสุขกับการจ้องมองเนินอกข่าว ๆ ของเธออยู่ และแม้หูวเค่อจะเห็นทุกอย่างชัดเจนแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่มองเย่เชียนที่กำลังยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างซุกซนเท่านั้น
ฉินหยูทำแผลให้เย่เชียนอย่างระมัดระวัง เธอค่อย ๆ ตัดแขนเสื้อของเย่เชียนออก แต่เลือดที่แห้งแล้วบางส่วนก็เชื่อมระหว่างเนื้อผ้ากับผิวหนังของเขา เธอจึงพูดเบา ๆ ว่า “เย่เชียน… นายทนหน่อยนะ” จากนั้นเธอค่อย ๆ ลอกเศษผ้าที่ติดอยู่ตรงแขนของเขาออกทีละชิ้น ๆ
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในบุรุษเหล็กของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีเส้นประสาทการรับรู้ปกติเหมือนกับคนอื่น มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกเจ็บปวด เพียงแต่เขายังทนที่จะไม่ตะโกนโวยวายออกมาเสียงดังให้เสียมาดเหมือนใครอีกหลายคน
ก่อนที่ฉินหยูจะเริ่มทำความสะอาดบาดแผลด้วยแอลกอฮอล์นั้น เธอก็ถามเขาว่า “ทำไมนายถึงได้มีบาดแผลที่ดูรุนแรงแบบนี้ล่ะ ? แขนนายถูกแทงซะทะลุเลย… ฉันว่านายต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดนะ ไม่งั้นแขนของนายคงจะอักเสบไปมากกว่านี้แน่ มันอาจทำให้นายเสียแขนได้เลยนะ”
จากนั้นฉินหยูก็หันไปหาจ้าวหยาและถามว่า “หยาเอ๋อร์… บอกฉันหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
จ้าวหยาพยักหน้าและอธิบายอย่างละเอียดว่าเธอถูกอู่หยางเทียนหมิงจับตัวไปได้อย่างไร จากนั้นก็เล่าเกี่ยวกับเย่เชียนที่ยอมเอามีดแทงแขนตัวเองเพื่อที่จะช่วยเธอ รวมถึงเหตุการณ์ที่อู่หยางเทียนหมิงและคนอื่น ๆ ถูกจัดการ
เมื่อฉินหยูและหูวเค่อได้ยินว่าเย่เชียนยอมทำร้ายตัวเองเพื่อช่วยจ้าวหยา ทั้งฉินหยูและหูวเค่อก็ตกตะลึงอย่างเงียบ ๆ แต่พวกเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว…