หูวเค่อและคุณปู่หูวยังคงสนทนากันต่อไปอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเซี่ยงไฮ้ จากนั้นก็วางสายไปในที่สุด
หูวเค่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจทุกครั้งที่เธอนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนจากคำบอกเล่าของคุณปู่ เธอสงสัยจริง ๆ ว่าผู้นำของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่มาเยือนเซี่ยงไฮ้เพียงเพื่อมาเป็นบอดี้การ์ดเท่านั้นน่ะเหรอ ? เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเย่เชียนคงไม่ใช่แค่นี้อย่างแน่นอน แต่หูวเค่อก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ความจริงแล้วเย่เชียนกำลังคิดวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่
อาจเป็นเพราะเย่เชียนเสียเลือดมากเกินไป เขาจึงไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนอย่างเคย เมื่อฉินหยูมาปลุกและบอกเขาว่าถึงเวลาที่ต้องไปโรงพยาบาลกันแล้ว เขาก็ลุกออกจากเตียงด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ร่างกายของเขารู้สึกอ่อนล้าไปหมด ทำให้เมื่อเขาเข้าไปนั่งในรถได้เพียงอึดใจเดียว เขาก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย
เมื่อฉินหยูเห็นเย่เชียนสลบไสลไปเช่นนี้ เธอก็เข้าใจว่าเขาต้องเหนื่อยมากแน่ ๆ จากการไปช่วยจ้าวหยา กว่าที่ทั้งคู่จะกลับมาถึงที่บ้านกันได้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว อีกทั้งเขายังบาดเจ็บกลับมาด้วย เธอจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ปล่อยให้เขานอนต่อไปอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองก็เดินทางไปถึงโรงพยาบาล ฉินหยูปลุกเย่เชียนให้ตื่น “เย่เชียน… ตื่นได้แล้ว เรามาถึงแล้วนะ”
เมื่อเย่เชียนลืมตาตื่นขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็เห็นป้ายโรงพยาบาลเหรินเหมินตั้งตระหง่านอยู่ มันทำให้เขาลุกลี้ลุกลนในทันทีที่เห็นป้ายนั้น เพราะเขารู้ว่าหลินโรโร่วคงกำลังเข้าเวรอยู่แน่ ๆ
“ไม่ดีกว่า… ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายดีแล้ว… ผมไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรอก” เย่เชียนรีบบอกอย่างร้อนรน
ท้ายที่สุดแล้ว หลินโรโร่วก็เป็นผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสำคัญที่สุดในหัวใจของเขา ถึงแม้ว่าระหว่างเขากับฉินหยูจะไม่มีอะไรลึกซึ้งกันก็ตาม แต่ถ้าหากหลินโรโร่วเห็นพวกเขาทั้งสองคนมาด้วยกัน เธอก็อาจจะเข้าใจเขาผิดได้ ซึ่งเขาไม่ได้อยากให้มันต้องเป็นเช่นนั้น เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลินโรโร่วต้องเสียใจเพราะเขา
ฉินหยูมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาทำตัวแปลก ๆ เธอถามว่า “มีอะไรผิดปกติหรือไง ? อย่าบอกนะว่าผู้ชายอย่างนายจะกลัวเข็มน่ะ!”
เย่เชียนยิ้มแหย ๆ เขาหัวเราะและพูดว่า “แหะ ๆ ๆ คุณนี่รู้ใจผมจริง ๆ เดาถูกเผงเลย”
ฉินหยูเป็นผู้หญิงฉลาดมาก เธอรู้ว่าเย่เชียนไม่ได้กลัวเข็มจริง ๆ มันช่างเป็นเรื่องน่าตลกยิ่งนักที่ผู้ชายที่กล้าถึงขนาดแทงตัวเองด้วยมีดคม ๆ กลับมากลัวเข็มฉีดยา เธอจ้องมองเย่เชียนไม่วางตาและพูดขึ้นว่า “ถึงยังไงนายก็ต้องไป… แม้นายจะกลัวยังไงนายก็ต้องไป อย่ามาหลอกฉันดีกว่าหน่า”
ไม่รอให้เย่เชียนตอบอะไร เธอเปิดประตูรถออกไปทันที
เย่เชียนยิ้มอย่างขมขื่น เขาจำต้องฝืนตัวเองเพื่อเดินออกจากรถ
ฉินหยูพยุงเย่เชียนอย่างดีราวกับว่าเย่เชียนมีอาการป่วยขั้นรุนแรง เย่เชียนผู้น่าสงสารไม่มีความรู้สึกยินดีเลยในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธฉินหยูได้ การแสดงออกและนิสัยของเธอในบางครั้งมันน่ากลัวมาก
เขาขัดอะไรเธอไม่ได้เลยให้ตายเถอะ!
ณ ทางเข้าตรงทางเดินของโรงพยาบาล จู่ ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาทางเย่เชียน ชายคนนั้นดูเหมือนกำลังรีบเร่งไปที่ไหนสักแห่ง จึงบังเอิญพุ่งเข้าชนเย่เชียนอย่างแรงและรวดเร็วโดยที่เย่เชียนไม่ทันระวังตัว
เย่เชียนถูกกระแทกจนล้มลงไปกับพื้น นั่นทำให้ฉินหยูขมวดคิ้วแน่น เธอจ้องมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นด้วยแววตาดุร้ายเต็มที่
“นี่คุณ! เดินยังไงของคุณเนี่ย ? ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลย” ฉินหยูแหว
“ผมขอโทษ… ผมขอโทษจริง ๆ!” ชายหนุ่มก้มหัวขอโทษ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นเย่เชียน ชายคนนั้นจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งแล้วพูดว่า “อ้าว…? ลูกพี่สอง อะไรกัน ลูกพี่สองมาทำอะไรที่นี่ ?”
ชายคนนั้นคือ หลี่ตง นั่นเอง
เมื่อเย่เชียนเห็นว่าคนที่วิ่งมาชนคือหลี่ตง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “อ้าวหลี่ตง! ทำไมนายถึงมาอยู่นี่ได้ ?”
“คือ… พี่หวังน่ะ… ผมมาเยี่ยมเขา มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน” หลี่ตงพูด
“พี่หวัง ? ไอ้เสือน่ะเหรอ ?” เย่เชียนถาม
“ใช่แล้วครับ ผมลืมไปเลยว่าลูกพี่สองกับพี่หวังรู้จักกัน” หลี่ตงพูด “ย้อนกลับไปตอนนั้นน่ะ… ผมเห็นพี่หวังเรียกลูกพี่ว่าพี่สอง พอผมได้รับการสั่งสอนบทเรียนจากลูกพี่แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปติดตามพี่หวังเขาน่ะ เอาจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่ ผมก็คงยังทำธุรกิจสกปรก ๆ นั่นต่อไปทั้งชีวิตแหง ๆ”
“นายกำลังพูดถึงไอ้เสือ… หวังหู่ใช่มั้ย ? หวังหู่อยู่ที่นี่ตอนนี้เหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย
“ใช่ครับลูกพี่สอง… เมื่อคืนก่อนแก๊งชิงมันเข้ามาสร้างความวุ่นวาย พี่หวังเลยออกมาตักเตือนและจัดการกับพวกมัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าไอ้พวกแก๊งชิงอะไรนั่น มันจะโหดเหี้ยมและไม่มีเหตุผลได้ขนาดนั้น ไอ้พวกนั้นมันรุมทำร้ายพี่หวัง” หลี่ตงพูดอย่างหดหู่
“แก๊งชิงเรอะ ?” เย่เชียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดว่า “เขาอยู่ห้องไหน ? ฉันจะไปหาเขา”
“ห้องหมายเลข 304 ครับลูกพี่สอง”
หลังจากที่หลี่ตงตอบเย่เชียน หลี่ตงก็ถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “แล้วลูกพี่มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ ลูกพี่เป็นอะไรรึเปล่า ?”
เย่เชียนยิ้มแหย ๆ “ไม่มีอะไรมากหรอก… แค่รอยขีดข่วนนิดหน่อย”
หลี่ตงส่งเสียง “โอ้…”
จากนั้นเย่เชียนก็พูดต่อ “นายไปก่อนเถอะ… เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง” หลังจากที่เขาพูดแบบนี้ เขาก็เดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาลต่อ
“ลูกพี่สองงั้นเหรอ ?” ฉินหยูถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาลได้ไม่นาน “ฉันไม่รู้ว่านายมีชื่ออะไรแบบนี้ด้วย… ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่านายไปได้ชื่อนี้มายังไง ?”
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนที่ผมยังเด็กผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็มัวแต่วิ่งเล่นกับพี่ ๆ น้อง ๆ แถวบ้านนั่นแหละ อีกอย่าง ผมก็เป็นพี่ชายคนที่สองในครอบครัว พวกเขาก็เลยเรียกผมว่าลูกพี่สอง”
“แล้วคนที่ชื่อหวังหู่นี่คือใครล่ะ ?” ฉินหยูถาม
“เพื่อนสมัยเด็ก… เราทะเลาะกันบ่อยมากแต่ตอนเด็ก ๆ พวกเราก็สนิทกัน แทบจะใส่กางเกงในตัวเดียวกันเลย” เย่เชียนตอบพลางยักคิ้ว
“อะ… อ้อ! แบบนี้นี่เอง” ฉินหยูตอบ เธอชะงักไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเย่เชียนพูดว่า ‘แทบจะใส่กางเกงในตัวเดียวกัน’ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก
ฉินหยูดูแลการลงทะเบียนและเข้าคิวราวกับว่าเย่เชียนได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เธอสั่งให้เขานั่งรอและบอกว่าเธอจะจัดการทุกอย่างให้เอง
แต่เย่เชียนนั้นไม่ได้สังเกตเลยว่า ที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาลมีนางพยาบาลคนหนึ่งเห็นเย่เชียนและฉินหยูเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้วยกัน หลังจากนั้นเธอจึงแอบไปที่ห้องรับรองของพยาบาล ซึ่งภายในห้องรับรองนั้น หลินโรโร่วกำลังดูบันทึกของผู้ป่วยอยู่อย่างขมักเขม้น
เมื่อนางพยาบาลคนนั้นเห็นหลินโรโร่วนั่งอยู่ในห้อง เธอจึงรีบเข้าไปข้างในด้วยความตื่นตระหนกและพูดว่า “โรโร่ว… โรโร่ว! ฉันว่าดูท่าจะไม่ดีแล้ว… ฉันเพิ่งจะไปเห็นอะไรดี ๆ มาล่ะ!”
หลินโรโร่วมองเธอด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไร ? ทำไมดูร้อนรนจัง”
“โรโร่ว… ฉันเพิ่งเห็นแฟนของเธอเมื่อกี๊นี้” นางพยาบาลพูดต่ออีกว่า “แต่ที่น่าแปลกคือนอกจากเขาแล้วก็ยังมีสาวสวยอีกคนนึงมากับเขาด้วยนะ… ฉันว่าพวกเขาทั้งคู่ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเลย”
“หึ ๆ ๆ เธอมองผิดหรือเปล่า ?” หลินโรโร่วพูดพลางหัวเราะเบา ๆ
“ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้มองผิดหรอก ถ้าเธอไม่เชื่อก็ไปดูเองสิ” นางพยาบาลยืนกราน “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ห้องของหมอเฉียน ฉันเห็นแฟนเธอมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบแขนเลย ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บนะ”
หลินโรโร่วรีบลุกขึ้นยืน เธอจับไหล่ของนางพยาบาลคนนั้นแน่นและถามอย่างเป็นกังวลว่า “เขาบาดเจ็บเหรอ ? เขาบาดเจ็บได้ยังไง ?”
นางพยาบาลคนนั้นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอจึงพูดไปว่า “โรโร่ว… ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ? ถ้าเธออยากรู้ ทำไมเธอไม่ไปดูเองล่ะ”
“เออ… นั่นสิ” หลินโรโร่วรีบออกจากห้องด้วยความตื่นตระหนก เธอพึมพำกับตัวเองขณะที่กำลังรีบไป “เขาอยู่กับหมอเฉียนสินะ ไปดูเขาสักหน่อยแล้วกัน”
เมื่อพวกพยาบาลคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องเห็นท่าทางตื่นตระหนกและร้อนรนของหลินโรโร่ว พวกเธอต่างก็ส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้และคิดกับตัวเองว่า ‘เฮ้อ… เพื่อนสาวคนนี้ตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ’