เมื่อหลินโรโร่ววิ่งเข้าไปในห้องของหมอเฉียน เธอก็เห็นว่าหมอเฉียนกำลังทายาลงบนแขนของเย่เชียนอย่างเบามือโดยมีฉินหยูยืนดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยราวกับภรรยามายืนเฝ้าสามีอย่างไรอย่างนั้น
หมอเฉียนพูดเป็นครั้งคราวว่าให้เย่เชียนระมัดระวังแผลด้วย ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลินโรโร่วนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็หายใจเข้าลึก ๆ และก้าวเข้าไปข้างใน สีหน้าเธอกระวนกระวาย เธอถามอย่างเป็นกังวล “เย่เชียน… คุณเป็นอะไรมากมั้ย ? ได้รับบาดเจ็บได้ยังไงน่ะ ? คุณหมอเฉียนคะ บาดแผลของเขาเป็นยังไงบ้างคะ ? มันจะอักเสบและเป็นแผลเป็นมั้ย ?”
หมอเฉียนมองหลินโรโร่วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดเอาเองไปแล้วว่าเย่เชียนและฉินหยูคงจะเป็นคู่รักกัน ทว่าตอนนี้กลับมีหลินโรโร่วอีกคนที่กำลังแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยและกังวลต่อเย่เชียน
อย่างไรก็ตาม หมอเฉียนถือได้ว่าเป็นคนที่ได้เห็นโลกมามากและเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นในโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง พูดง่าย ๆ มันก็คือ ‘รักสามเส้า’ นั่นเอง
จากนั้นหมอเฉียนก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวลครับพยาบาลโรโร่ว ร่างกายเขาแข็งแรงมากและบาดแผลก็ไม่อักเสบแล้ว เขาแค่ต้องคอยระวังไม่ให้แผลมันเปิดอีก เพราะถ้ามันเปิดอีก มันอาจจะเป็นอันตรายได้”
หลินโรโร่วรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของหมอเฉียน จากนั้นเธอก็มองเย่เชียนด้วยท่าทางตำหนิและพูดว่า “ดูคุณสิ… คุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่รู้จักระวังตัวอีก! ไหนขอฉันดูหน่อยซิ… คุณยังเจ็บอยู่มั้ย ?”
ถึงแม้ว่าเธอจะบ่น แต่ความห่วงใยของเธอที่มีต่อเขาก็ปรากฏชัดเจนในคำพูดของเธอ
ฉินหยูจ้องมองอย่างว่างเปล่าอยู่ข้าง ๆ พวกเขาทั้งสอง จากนั้นเธอก็ยิ้มจาง ๆ
เย่เชียนยิ้มเจื่อน ๆ เขาดึงหลินโรโร่วขึ้นมานั่งบนตักของเขาแล้วพูดว่า “คุณเป็นภรรยาที่ดีมาก… มาให้ผมจูบคุณหน่อยสิ”
เย่เชียนไม่เพียงพูดเปล่า เขาขยับริมฝีปากของเขาเข้าไปหาใบหน้าเธออย่างใกล้ชิด
“หยุดนะ!” หลินโรโร่วเริ่มเขินอาย
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และหยุดล้อเล่นกับเธอ หลังจากทายาเสร็จแล้ว หมอเฉียนก็พูดกับหลินโรโร่วว่า “พยาบาลโรโร่วช่วยพันแผลนี้ให้เขาทีสิ… ผมจะขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อน ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วล่ะ แต่อย่าปล่อยให้แผลติดเชื้อนะ ไม่อย่างนั้นแผลมันจะกลับมาอักเสบอีก”
หลินโรโร่วลุกขึ้นจากตักของเย่เชียน เธอเอาผ้าพันแผลและผ้าก๊อซปิดบาดแผลของเขาอย่างระมัดระวัง ในขณะเธอที่กำลังพันแผลให้ เธอก็ถามว่า “เย่เชียน… นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ? คุณได้รับบาดเจ็บได้ยังไง ?”
“ไม่มีอะไรหรอก… ผมแค่ประมาทน่ะก็เลยโดนมีดแทงเข้า” เย่เชียนตอบยิ้ม ๆ
“ประมาทได้ยังไง ? นี่ถ้ามันเลยขึ้นไปอีกหน่อย มันจะถึงเส้นเลือดใหญ่แล้วนะ คุณอาจจะต้องเสียแขนไปเลยรู้มั้ย ทำไมถึงทำแบบนี้” หลินโรโร่วตำหนิเย่เชียน ทว่าน้ำเสียงเธอมีความอ่อนโยน
“ก็ผมมีภรรยาที่ดีไม่ใช่เหรอ ? ต่อให้ผมเสียแขนไปข้างนึง ถึงยังไงคุณก็ยังรักผม ยังต้องการผมอยู่ใช่มั้ย ?” เย่เชียนพูดพลางทำท่าทางอ้อนวอน “ว่าไงล่ะ คุณจะยังต้องการผมอยู่ใช่หรือเปล่า ?”
หลินโรโร่วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพฤติกรรมขี้โกงของเย่เชียนดี และเธอก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรที่เธอจะสามารถทำได้ อีกทั้งตอนนี้เธอก็ไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก เธอมองเย่เชียนด้วยสีหน้าตำหนิอีกครั้งก่อนที่จะหันไปหาฉินหยูที่ยืนอยู่ด้านข้างและพูดว่า “เย่เชียน… เธอเป็นเพื่อนของคุณเหรอ ? ทำไมคุณถึงไม่แนะนำเธอให้ฉันรู้จักล่ะ”
“ฉันชื่อฉินหยู… คุณต้องเป็นแฟนของเย่เชียนคนนั้นแน่ ๆ เลย เย่เชียนมักจะพูดถึงคุณให้ฉันฟังบ่อย ๆ” ฉินหยูยื่นมือออกไปอย่างสุภาพขณะที่เธอตอบ
หลินโรโร่วเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์และสง่างาม แต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่ เธอสามารถรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างได้จากคำพูดของฉินหยู เพราะโดยปกติแล้วคนแปลกหน้าอย่างฉินหยูก็ต้องพูดว่า ‘คุณต้องเป็นแฟนของเย่เชียนแน่เลย… คุณคือหลินโรโร่วใช่มั้ย ?’ มากกว่า แต่ฉินหยูกลับไม่ได้พูดชื่อของเธอออกมาเลย ดังนั้นเธอจึงคิดว่าฉินหยูกำลังโกหกเธออยู่
หลินโรวโร่วไม่ได้พูดสิ่งที่เธอคิดออกไป เธอยื่นมือออกไปจับมือกับฉินหยูอย่างสุภาพและพูดว่า “ฉันชื่อหลินโรโร่วค่ะ เย่เชียนได้รับบาดเจ็บเลยทำให้คุณต้องลำบากพาเขามาส่งโรงพยาบาลอีก… ฉันขอโทษด้วยนะคะ”
ฉินหยูยิ้มจาง ๆ และก็พูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกำลังจะไปทำงานและต้องผ่านทางนี้อยู่แล้ว ก็เลยแวะมาส่งเขาก่อนก็แค่นั้น อา… ในเมื่อเขาอยู่ในความดูแลของคุณแล้ว งั้นฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะ” จากนั้นเธอก็หันกลับมาที่เย่เชียนและพูดว่า “เย่เชียน ฉันไปมหาวิทยาลัยก่อนนะ”
“อืม” เย่เชียนตอบอย่างเรียบง่ายเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีกดี
ในความเป็นจริงแล้ว เย่เชียนนั้นมีความรู้สึกพิเศษต่อฉินหยูมาก ถ้าหากว่าหลินโรโร่วไม่มาเสียก่อน เขาคงจะตามฉินหยูไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อตอนนี้เขามีหลินโรโร่วอยู่แล้วและเย่เชียนก็ไม่อยากที่จะทำร้ายจิตใจเธอ ดังนั้นถ้าหากเขาต้องเลือกใครสักคนจริง ๆ ล่ะก็ เขาก็จะเลือกหลินโรโร่ว
ฉินหยูยิ้มให้หลินโรโร่วทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
เมื่อฉินหยูออกไป เย่เชียนก็กอดหลินโรโร่วแน่นและพูดว่า “ภรรยาของผม… คุณคิดถึงผมมั้ย ?”
“หยุดทำอย่างนี้เถอะ เรายังอยู่ที่โรงพยาบาลกันอยู่นะ มีคนตั้งเยอะตั้งแยะกำลังมองดูเราอยู่” หลินโรโร่วพูดอย่างเขินอาย
เมื่อเย่เชียนมองไปรอบ ๆ เขาก็พบเพียงผู้ป่วยสูงอายุสองคนที่กำลังมองพวกเขาด้วยท่าทางเหมือนกำลังสงสัย เขาจึงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ภรรยาของผม… ตอนนี้มีแค่คุณปู่และคุณย่ากำลังมองพวกเราอยู่ งั้นเรามาให้พวกเขาได้รู้กันมั้ยว่าหนุ่มสาวสมัยนี้รักกันยังไง ?”
หลินโรโร่วมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ฉันยังมีธุระที่ต้องทำอยู่นะ… คุณรอจนกว่าฉันจะทำงานเสร็จแล้วเรามาทานข้าวกลางวันด้วยกันเถอะ”
เย่เชียนต้องการพบหวังหู่ ดังนั้นเขาจึงหยุดและหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “มานี่… ภรรยาของผม มาให้ผมจูบคุณให้ชื่นใจหน่อยหน่า” พูดจบเขาก็จูบไปที่แก้มของหลินโรโร่วอย่างแรงโดยไม่อายคุณปู่คุณย่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั้นเลย จากนั้นก็ปล่อยให้เธอไปทำงาน
หลังจากหลินโรโร่วออกไปแล้ว ปู่ย่าคู่นั้นก็หัวเราะและพูดว่า “เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเลยนะ… ดูแลเธอให้ดีล่ะพ่อหนุ่ม”
“แน่นอนครับ” เย่เชียนยิ้มตอบ จากนั้นก็พูดว่า “คุณปู่คุณย่าไม่ต้องกังวลไป ผมจะไม่ปล่อยให้ใครคนอื่นพรากภรรยาสุดที่รักไปจากผมได้ เชิญคุณปู่คุณย่าพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะออกไปเยี่ยมเพื่อนแล้ว… ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับ”
เมื่อเย่เชียนพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลข 304
เมื่อมาถึงห้อง 304 ที่หวังหู่พักรักษาตัวอยู่ เย่เชียนก็ผลักประตูเข้าไป เขาเห็นหวังหู่นอนอยู่บนเตียง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลทั้งตัวดูไปดูมาคล้าย ๆ กับมัมมี่ไม่มีผิด หลี่ตงและคนอื่นอีกหลายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังโต้เถียงกันไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับการแก้แค้นให้หวังหู่
คิ้วของเย่เชียนขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นสภาพของหวังหู่ เขาอดไม่ได้ที่จะแผ่เจตนาฆ่าและจิตสังหารออกมาจากดวงตาของเขาอย่างรุนแรง ไม่ว่าใครก็ตามที่มาทำร้ายหวังหู่ให้ต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เย่เชียนจะไม่มีวันปล่อยให้คนผู้นั้นลอยนวลไปอย่างแน่นอน
ในขณะที่เย่เชียนมองไปยังหลี่ตงและคนอื่น ๆ ที่ยังคงโต้เถียงกันอยู่ เขาก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังขณะที่เดินเข้าไปข้างในว่า “ทุกคนหุบปากซะ!”
เด็กนักเลงคนหนึ่งมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไอ้เวรนี่! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาโวยวายที่นี่ได้ ? พวกแกรีบไปจัดการมันสิวะ ชักช้าเดี๋ยวพ่อแทงท้องเป็นรูเลยดีมั้ย ?”
เย่เชียนปรายตามองอย่างเย็นชา จากนั้นก็เหวี่ยงเท้าเตะเด็กคนนั้นอย่างแรง เด็กคนนั้นรู้สึกถึงคลื่นแห่งความเจ็บปวด ร่างกายของเขาถูกเตะกระเด็นไปจนล้มลงแต่เขาก็ยังไม่วายที่จะพยายามลุกขึ้นและเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาเย่เชียนอย่างมุ่งร้าย
“หยุด!” หลี่ตงตะโกน “นี่พวกแกทำตัวไม่สุภาพเลยนะเว้ย เขาคือลูกพี่คนที่สองของพี่หวัง!”