หลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เย่เชียนก็พาหลินโรโร่วกลับไปส่งที่โรงพยาบาล
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ดูมีความสุขมาก แต่เย่เชียนก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่ชอบเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจ เขารู้ดีว่าต่อให้ถามไป มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเธอไม่ต้องการพูดถึงมัน เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่ดูแลเธอให้มากขึ้นในอนาคต พยายามทำทุกอย่างที่เขาพอจะทำได้เพื่อทำให้ความเศร้าโศกและความผิดหวังของเธอจางหายไป
ขณะเดียวกันหลินโรโร่ที่ยืนมองดูร่างของเย่เชียนที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาลไปนั้น น้ำตาของเธอก็เริ่มไหลรินลงมาอาบใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม เธอรู้ว่าเย่เชียนไม่ได้โกหกเรื่องที่ว่าเขารักเธออย่างสุดซึ้ง เธอเข้าใจดีว่าผู้ชายอย่างเย่เชียนจะต้องมีผู้หญิงดี ๆ มากมายอยู่รอบตัวเขาเสมอ เธอรู้ตัวว่าตัวเองหลงรักเย่เชียนไปแล้วจนหมดทั้งหัวใจ ถึงกระนั้นแล้ว การที่เธอต้องมาเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ เธอกลับไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี เพราะบางครั้งความรักมันก็อาจเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของคนคนหนึ่งที่ไม่สามารถอดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ เหมือนกับที่หลินโรโร่วได้บอกกับเย่เชียนไปว่า เธอเองก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีความเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่หวังว่าเขาจะรักเธอเพียงคนเดียวเสมอ
แต่หลินโรโร่วก็รู้ดีว่าถ้าหากเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวและพูดทุกอย่างออกไปอย่างที่ใจคิดล่ะก็ เย่เชียนั้นคงจะยอมทิ้งผู้หญิงคนอื่นทุกคนเพื่อมาอยู่กับเธอเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเธอเหล่านั้นต้องพบกับผิดหวังและเสียใจ
หลินโรโร่วไม่ได้ต้องการให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เธอรักเย่เชียนที่เป็นเย่เชียน รักทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเขาจากใจจริง แต่ขณะเดียวกันเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคนอย่างเย่เชียน
เมื่อเย่เชียนเดินไปไกลจนลับสายตาแล้ว หลินโรโร่วก็เดินกลับไปที่ห้องรับรองของพยาบาล เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกไปยังหมายเลขของฉินหยูที่เธอแอบคัดลอกมาจากโทรศัพท์ของเย่เชียนก่อนหน้านี้
ทันใดนั้นเสียงของฉินหยูก็ดังมาตามสายโทรศัพท์ว่า “สวัสดีค่ะ… ดิฉันขอทราบได้มั้ยคะว่านี่ใครโทรเข้ามา ?”
“สวัสดีค่ะ…” หลินโรโร่วหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์แล้วพูดว่า “ฉันหลินโรโร่วเอง เราเพิ่งจะพบกันที่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้”
ฉินหยูถึงกับผงะ แล้วเธอก็ตอบว่า “อ๋อค่ะ… มีอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“คุณฉินคะ คุณพอจะมีเวลาว่างไหม ? คุณออกมาดื่มกาแฟกับฉันหน่อยได้ไหมคะ ?” หลินโรโร่วถามอย่างประหม่า
ฉินหยูเป็นคนที่มีจิตสัมผัสเฉียบคม เธอรู้ว่าหลินโรโร่วอาจจะเห็นอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ในโรงพยาบาล และอาจจะกำลังคิดอะไรไปเอง แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเจอกับเธอของหลินโรโร่วนั้นคืออะไร เธอไม่คิดว่าหลินโรโร่วจะต้องการมาพบกับเธอเพียงเพื่อจะตำหนิติเตียน เพราะตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลหลินโรโร่วดูเป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนโยนและจิตใจดีมาก ดังนั้นฉินหยูจึงรู้ว่าหลินโรโร่วไม่ใช่คนที่จะหุนหันพลันแล่นและฉุนเฉียวแบบนั้น
ฉินหยู “ฉันมีสอนตอนบ่ายน่ะ… งั้นเรามาเจอกันตอนหกโมงเย็นที่สตาร์บัคส์ได้มั้ยคะ ?”
หลินโรโร่ว “ได้ค่ะ… เจอกันหกโมงเย็นนะคะ”
ฉินหยู “แล้วเจอกันค่ะ…”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว หลินโรโร่วก็จ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว
……
เย่เชียนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เพราะหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลไป เขาก็โทรเรียกฟูจุนเฉิงและม่อหลงให้ไปพบกันที่สโมสรเจิดจรัส พร้อมกับบอกให้ฟูจุนเฉิงพาจ้าวไถ่จู้และหวันชุนหัวมาด้วย
เย่เชียนขึ้นแท็กซี่ตรงไปที่สโมสรเจิดจรัส เขายังคงสงสัยเกี่ยวกับสโมสรเจิดจรัสอยู่มาก ซึ่งเขาได้ขอให้แจ็คช่วยตรวจสอบเรื่องของประธานของสโมสรเจิดจรัสแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรคืบหน้าเลย
แจ็คยังคงเตรียมการสำหรับสำนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ จากคำแนะนำของเย่เชียน เขาจึงไม่เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไร สำนักงานรักษาความปลอดภัยก็เป็นเพียงแค่เบื้องหน้าของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าในเซี่ยงไฮ้เพียงเท่านั้น ถ้าหากคนที่พวกเขาว่าจ้างมามีความสามารถระดับเดียวกันกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าล่ะก็ มันจะทำให้สะดุดตาจนเกินไป แต่ถ้าหากพวกเขาจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดา ๆ เข้ามาก่อนแล้วค่อยคัดเลือกคนที่มีฝีมือโดดเด่นออกมาในภายหลังจากผ่านการฝึกอบรม ส่วนคนที่เหลือก็ให้เป็นบอดี้การ์ด มันไม่เพียงแต่จะให้ผลกำไรแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักประกันที่ดีอีกด้วย
เรื่องทั้งหมดของสำนักงานนั้นถูกบริหารโดยแจ็ค ส่วนเย่เชียนทำหน้าที่เป็นซีอีโอที่คอยกำหนดและมอบหมายสิ่งต่าง ๆ ที่เย่เชียนให้ความสนใจ ซึ่งในตอนนี้ก็คือโครงการแผนพัฒนาเมืองเซี่ยงไฮ้นั่นเอง
ส่วนเทียนหยากรุ๊ป ชิงกรุ๊ป และเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ทั้งสามในเซี่ยงไฮ้ก็ยังคงเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ซึ่งบางอย่างพวกเขานั้นกำลังต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ในขณะที่บางอย่างก็ต่อสู้กันอยู่อย่างลับ ๆ แต่ใครก็ตามที่ชนะสงครามการประมูลโครงการแผนฟื้นฟูและปฏิรูปเมืองในครั้งนี้ก็จะได้รับผลประโยชน์อันมหาศาล ซึ่งเย่เชียนก็เตรียมพร้อมกับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
เหว่ยตงเซียนกรุ๊ปอาศัยอยู่ภายใต้อำนาจของอู่หยางเฉิง แต่ทว่าเขาเพิ่งจะพ้นโทษจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยมาได้ไม่นานนี้เอง มันจึงทำให้เขายังไม่มีการเคลื่อนไหวหรือดำเนินการใหญ่ใด ๆ ดังนั้นโอกาสที่เหว่ยตงเซียนกรุ๊ปจะชนะการประมูลในครั้งนี้จึงมีโอกาสน้อยมาก แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปจะแอบมีไม้เด็ดอะไรซ่อนอยู่อีกหรือไม่
สำหรับชิงกรุ๊ปนั้นเป็นบริษัทที่กำเนิดและเติบโตขึ้นในเซี่ยงไฮ้ พวกเขาเป็นกลุ่มมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลของท้องถิ่นซึ่งอยู่เหนือกฎหมาย และความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชนะนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมาก
ส่วนเบื้องหลังของเทียนหยากรุ๊ปคือหงเหมินกรุ๊ป และขอบเขตอิทธิพลของหงเหมินกรุ๊ปในประเทศจีนก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถอธิบายได้โดยง่ายเลย
อาจพูดได้ว่าทั้งสามยักษ์ใหญ่มีความเท่าเทียมกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งการที่จะคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ในตอนนี้นั้นก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แต่สำหรับใครก็ตามที่ชนะการประมูล พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะในการดำเนินโครงการนี้ นอกจากเงินทุนสำหรับการพัฒนาเมืองจำนวนมากมายมหาศาลแล้ว พวกเขายังต้องวางแผนให้ถี่ถ้วนอีกด้วย ถึงแม้ว่าผลกำไรที่ได้จะมากมหาศาลขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าความเสี่ยงที่มาพร้อมกับมันก็มากมายมหาศาลไม่แพ้กัน ทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันคือกฎแห่งธุรกิจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เย่เชียนไม่ได้ใจร้อนรีบเข้าไปแทรกแซงกับสงครามเย็นครั้งนี้ อย่างที่เขาว่า สำหรับเขา การนั่งอยู่บนภูเขาแล้วมองดูเสือต่อสู้กันมันเป็นวิธีการที่ดีที่สุด สุดท้ายแล้วการพึ่งพาอิทธิพลของน่านฟ้ากรุ๊ปรวมไปถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเย่เชียนกับหวังปิง มันอาจทำให้น่านฟ้ากรุ๊ปสามารถชนะการประมูลโครงการแผนการพัฒนาและปฏิรูปเมืองใหม่ได้ไม่ยาก
แม้ตอนนี้เทียนหยากรุ๊ปเพิ่งจะก่อตั้งและยิ่งใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน แต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นบริษัทระดับประเทศอยู่ดี แน่นอนว่าเรื่องของการบริหารและเงินทุนสำหรับพวกเขานั้นต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่เย่เชียนก็ไม่ได้ต้องการที่จะทำเช่นนี้ เพราะหากน่านฟ้ากรุ๊ปชนะสงครามการประมูลในครั้งนี้จริง ๆ มันก็เหมือนกับการโยนทุกอย่างลงไปท่ามกลางพายุลูกใหญ่ และเขาก็จะไม่ได้กำไรอะไรจากสิ่งนั้นเลย
แม้ว่าเย่เชียนจะรีบเร่งสร้างกองกำลังเขี้ยวหมาป่าในเซี่ยงไฮ้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องระวังเกี่ยวกับวิธีการของพวกเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นการมานั่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องสงครามเย็นนี้มากเกินไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาอยู่ดี
หลังจากนั้นไม่นาน รถแท็กซี่ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าสโมสรเจิดจรัส
เมื่อเย่เชียนเดินมาถึงหน้าประตูก็มีบอดี้การ์ดที่ทางเข้าปิดกั้นทางเดินของเขาเอาไว้
“โทษที… ที่นี่เป็นสโมสรส่วนตัว ไม่รับคนนอก” บอดี้การ์ดพูดอย่างเย้ยหยัน
แขกของสโมสรเจิดจรัสนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตมีฐานะและมีอำนาจมาก แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นมักจะมาเยือนที่นี่ด้วยรถลีมูซีนหรือไม่ก็รถหรู ๆ นี่เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเขาที่ได้เห็นใครบางคนมาเยือนสโมสรด้วยรถแท็กซี่