เย่เชียนทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาอันเร่าร้อนของจีเมิงฉิงที่มองมาทางเขา เขาเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ ให้เธอไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือไปจากนั้น
“ตอนนั้นน่ะฉันยังเด็กมาก ยังไม่รู้ประสีประสาอะไร ฉันได้แต่คิดโง่ ๆ นึกว่าเขาเป็นพวกผู้มีอิทธิพลแล้วจะสามารถปกป้องฉันได้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานและเหลวแหลกไปทั่ว ถ้าเขาไม่ไปมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น เขาก็จะดื่มแต่เหล้าทั้งวัน พอเขาเมาได้ที่เขาก็จะมาตบตีฉันทุกครั้ง ฉันได้แต่คิดว่าคนรักกันยังไงก็ควรที่จะให้อภัยซึ่งกันและกันสิ ฉันก็เลยให้อภัยเขาทุกครั้ง… ฉันได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ อยู่คนเดียวว่าหลังจากที่เรามีลูกด้วยกันแล้ว เขาคงจะคิดได้และทำตัวดีขึ้น แต่ก็ไม่เลย… ขนาดตอนที่ฉันกำลังท้องอยู่ เขาก็ยังออกไปมั่วสุมอยู่ข้างนอกและใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวัน ๆ … ตอนที่ฉันอุ้มท้องเบ็งเบ็งได้เจ็ดเดือน ฉันยังต้องออกไปหางานทำนอกบ้านเพื่อเอาเงินมาให้เขา ฉันมันโง่เองแหละที่ทำทุกอย่างขนาดนั้น แต่คุณรู้มั้ยว่าเขาตอบแทนฉันยังไง ? เขาตอบแทนฉันด้วยการพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในบ้านของเรายังไงล่ะ!”
ในตอนนี้จีเมิงฉิงเริ่มมีน้ำเสียงที่ชักจะฟังดูไม่ดีแล้ว แต่เธอก็ยังคงระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของเธอมานานให้เย่เชียนฟังต่อไป “ในที่สุดเจ้าหนูเบ็งเบ็งได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่พ่อของเธอกลับทำตัวแย่ลงขึ้นไปอีก มันทำให้ฉันสิ้นหวังและยอมแพ้กับผู้ชายคนนี้จริง ๆ ฉันเลยขอหย่ากับเขา ตอนนั้นฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันคงจบสิ้นแล้ว… แต่ในวันนั้นที่ฉันได้เจอกับคุณ คุณช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ แถมยังให้เงินฉันมาอีก ฉันถึงมีทุนมาเปิดร้านอาหารสไตล์ตะวันตกตามที่ฉันเคยฝันเอาไว้ได้ ฉันยอมทำงานอย่างหนักหน่วงทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อที่จะมีเงินมากพอทำให้ไม่มีใครพรากเบ็งเบ็งจากฉันไปได้… และฉันก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากเบ็งเบ็งไปจากฉันด้วย เพราะเธอคือชีวิตของฉัน… มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง ฉันได้แต่หวังว่าสักวันนึงฉันคงจะมีไหล่ของใครสักคนให้ฉันคนนี้ได้พึ่งพิง ฉันมันก็เป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนนึงที่แสร้งทำเป็นว่าตัวเองนั้นเข้มแข็ง… แต่ฉันเหนื่อยมาก… หัวใจของฉันมันเหนื่อยมากจริง ๆ ”
ในขณะที่จีเมิงฉิงพูด เธอก็โน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเย่เชียนและสะอึกสะอื้น เย่เชียนทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่เหม่อลอยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน เขาค่อย ๆ ลูบหลังจีเมิงฉิงเพื่อปลอบประโลมเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็พูดว่า “อดีตมันก็คืออดีต… ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งร้าย ๆ พวกนั้นมันจบลงแล้ว… คุณต้องเชื่อมั่นว่าในอนาคตมันจะต้องดีขึ้นนะ”
เป็นเรื่องน่าแปลกที่คำปลอบโยนของเขาเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของเขาได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่จริง ๆ แล้วเย่เชียนไม่รู้เลยว่าจะปลอบโยนผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ได้อย่างไร
จีเมิงฉิงจึงตอบด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “นับตั้งแต่ที่คุณช่วยชีวิตฉันจากพวกโจรนั่นมาได้ แถมยังให้เงินติดตัวฉันกลับบ้านอีก… ฉันก็รู้ตัวตั้งแต่วินาทีนั้นแล้วว่าคุณคือคนสำคัญนั้นที่อยู่ในใจของฉัน… ตอนแรกฉันคิดแค่ว่ามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกขอบคุณและการสำนึกบุญคุณธรรมดาทั่วไป แต่พอวันเวลาผ่านพ้นไป ฉันก็รู้สึกตัวได้ว่ามันเหมือนกับฝันร้ายเสียมากกว่า เพราะใบหน้าของคุณมักจะปรากฏขึ้นมาในใจของฉันอยู่เสมอ ๆ พอฉันรู้ตัวอีกที ฉันก็รู้สึกรักคุณเข้าแล้ว… เย่เชียนฉันรู้ว่าฉันมันไม่คู่ควรกับคุณหรอกและฉันก็ไม่ได้คาดหวังให้คุณมารักคนอย่างฉันด้วย แต่ได้โปรด… อนุญาตให้ฉันรักคุณข้างเดียวจะได้มั้ย ?”
พูดจบจีเมิงฉิงก็เงยหน้าขึ้นมามองเย่เชียน มันเป็นภาพที่สวยงามและหวานซึ้งแต่ช่างน่าสงสารอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเธอเช่นนี้ เย่เชียนก็ไม่สามารถใจร้ายปฏิเสธเธอได้ลงคอ ต้องยอมรับเลยว่ามีอยู่หลายครั้งที่เขารู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ บางครั้งการที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเธอ เขาก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย ยิ่งเวลาที่ได้ฟังคำพูดที่ว่าเขาเป็นดั่งผู้มีพระคุณของเธอแล้ว มันเหมือนกับว่าคำคำนั้นได้ไปจี้จุดอ่อนของเขาทำให้หัวใจหวั่นไหวไปกับเสน่ห์ของผู้หญิงที่งดงาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในฐานะผู้ชาย
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เย่เชียนก็ตอบเธอไปว่า “จีเมิงฉิง… คุณเป็นผู้หญิงที่ดี คุณควรจะมีความสุขในสิ่งที่คุณปรารถนา… ถ้ามันทำให้คุณมีความสุขล่ะก็…”
จีเมิงฉิงจ้องมองเย่เชียนอย่างจริงใจและคาดหวัง จากนั้นก็พูดเบา ๆ ว่า “เย่เชียนคะ… คืนนี้คุณอยู่กับฉันได้มั้ย ?”
เย่เชียนชะงักไปชั่วชณะและรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดอันกล้าหาญและตรงไปตรงมาของจีเมิงฉิง เขาจ้องมองเธอด้วยความงุนงง จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า “ถ้าผมเลือกได้ ผมก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของคุณเลยจริง ๆ ผมเห็นใจคุณนะจีเมิงฉิง… แต่ผมไม่อยากเป็นคนโกหกเหมือนกันว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลยน่ะ คือ… ผมมีแฟนแล้ว… แล้วผมก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของเธอเช่นกัน คุณเป็นผู้หญิงที่ดีนะ คุณเข้าใจผมใช่มั้ย ?”
“ขอบคุณนะเย่เชียน…ที่พูดความจริงกับฉัน แต่ฉันขอแค่รักคุณข้างเดียวอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจะได้มั้ย ฉันแค่อยากจะคอยสนับสนุนคุณจากข้างหลังอยู่ห่าง ๆ ด้วยความจริงใจอย่างนี้… คุณไม่จำเป็นต้องให้สถานะอะไรกับฉันเลยค่ะเย่เชียน เพราะฉันแค่อยากจะมอบความรักให้กับคุณก็เท่านั้น… ขอแค่เพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร…” จีเมิงฉิงพูดด้วยความจริงใจ
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิ… นี่มันไม่ยุติธรรมสำหรับหัวใจคุณเลยนะ” เย่เชียนพูดอย่างจริงจังและพูดต่อ “คุณให้เวลาผมหน่อย แล้วก็อย่าลืมให้เวลากับตัวคุณเองด้วย เพราะผมก็จะให้เวลาคุณเหมือนกัน ผมว่าคุณควรที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมให้มากกว่านี้ก่อนที่คุณจะตัดสินใจอะไร ส่วนคืนนี้… ผมมีธุระที่ต้องไปทำจริง ๆ เพื่อนของผมพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลังจากมีเรื่องทะเลาะวิวาท ผมจะไปสะสางมันให้จบ ๆ แล้วเราค่อยมาตัดสินใจเรื่องนี้กันอีกครั้งนะ”
“ถ้างั้นฉันขอกอดคุณสักพักก่อนไปจะได้มั้ยคะ ?” จีเมิงฉิงมองไปที่เย่เชียนและถามค่อย ๆ
เย่เชียนพยักหน้าแทนคำตอบ เขาเอื้อมแขนไปโอบจีเมิงฉิงไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน มันคือสิ่งที่หลี่เหว่ยยี่เคยพูดกับเย่เชียนเอาไว้ว่า ‘ความโรแมนติกนั้น มันไม่ใช่คนหลงทางหรือหลงผิดไปหลงใหลและรักใคร่ใครคนหนึ่ง… และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ความรักเสมอไป’ ดูเหมือนว่าคำพูดของหลี่เหว่ยยี่จะเป็นเหมือนกับการแสวงหาความรักที่ดำเนินไปด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งและมันจะสิ้นสุดลงในอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างกัน แต่บนเส้นทางของเย่เชียนนั้น มันเป็นการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุดเสียมากกว่า และมันก็เป็นสิ่งที่คนสองคนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
จีเมิงฉิงซบหน้าของเธอลงที่หน้าอกของเย่เชียน เธอรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนเฉไฉหรือกลับกลอก ถ้าเย่เชียนบอกว่าคืนนี้เขามีธุระต้องทำ มันก็แสดงว่าคืนนี้เขาต้องมีธุระจริง ๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอ้อมกอดนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไปก็ตาม แต่จีเมิงฉิงก็ยังรู้สึกมีความสุขและสบายใจอย่างมาก เพราะอย่างน้อย ๆ ในช่วงเวลานี้เธอก็มีใครสักคนที่เธอสามารถึ่งพาได้ คนที่เธอเฝ้าฝันและปรารถนามานาน คนที่ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เมื่อใกล้ถึงเวลานัด เย่เชียนก็ออกจากบ้านของจีเมิงฉิงไป ถึงแม้ว่าจีเมิงฉิงจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เธอก็เดินมาส่งเย่เชียนด้วยความรักอย่างแท้จริง ก่อนที่เขาจะออกไป จีเมิงฉิงบอกกับเย่เชียนว่า “ถ้าคุณว่าง คุณมาหาฉันบ่อย ๆ นะคะ… ฉันจะได้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้คุณทานไง”
เย่เชียนพยักหน้าตอบเบา ๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อโบกเรียกแท็กซี่ หลังกจากขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว เขาก็ลดกระจกหน้าต่างลงและพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณกลับเข้าบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย… เบ็งเบ็งอยู่ข้างในคนเดียวนะ”
เมื่อเย่เชียนไปถึงบาร์มนต์เสน่ห์ก็เป็นเวลาสามทุ่มพอดี เขาเดาว่าม่อหลง จ้าวไถ่จู้ และหวันชุนหัวก็อาจจะมาถึงกันแล้วเช่นกัน เย่เชียนสงบสติอารมณ์แล้วเดินเข้าไปข้างใน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สุดหล่อ!” เซียวหลงนูตะโกนทักเมื่อเห็นเย่เชียนเดินเข้ามาในบาร์
เย่เชียนหันไปดูทางต้นเสียงและยิ้มจาง ๆ จากนั้นก็พูดว่า “ใช่… ผมยุ่งมากน่ะก็เลยไม่ได้มา”
บาร์เทนเดอร์สาวมองเย่เชียนด้วยท่าทางน่ารักและพูดว่า “นายไม่ได้โทรมาหาฉันเลยด้วยซ้ำ! ฉันเป็นห่วงนายนะ… นายมันใจร้ายจริง ๆ เลย!”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และคิดในใจว่าผู้หญิงอย่างเธอจะมามีความรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายได้อย่างไร ? “ผมได้ยินมาว่าตอนนี้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ถูกคุมโดยแก๊งชิงแล้วใช่มั้ย ?” เย่เชียนเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่แล้วล่ะ! เมื่อคืนก่อนพวกของ ซือตู้ลิเหริน จากแก๊งชิงมาก่อปัญหาที่นี่และพวกเขาก็ซ้อมพี่ใหญ่หวังซะยับเลย… อย่างว่าล่ะนะอิทธิพลของแก๊งชิงในเซี่ยงไฮ้นี่มันยอดเยี่ยมมาก แล้วพี่ใหญ่หวังจะไปสู้พวกมันได้ยังไงกันล่ะ พอเรื่องมันเป็นไปอย่างงั้น ซือตู้ลิเหรินก็เลยประกาศว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของแก๊งชิงเรียบร้อยแล้วน่ะสิ” เซียวหลงนูตอบ
มุมปากของเย่เชียนฉีกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย จากนั้นเขาก็พูดว่า “ที่แห่งนี้มันยังคงเป็นถ้ำเสืออยู่วันยังค่ำ… จะไม่มีใครหน้าไหนเอามันไปได้หรอก! ว่าแต่วันนี้ซือตู้ลิเหรินเข้ามาบ้างหรือยัง ?”
“เขาอยู่ที่นี่มาสักพักนึงแล้ว… ตอนนี้น่าจะอยู่ด้านหลังนะ” เซียวหลงนูมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและตอบกลับ เธอเคยเห็นเย่เชียนต่อสู้กับคนอื่นอย่างดุเดือดมาก่อนแล้ว และเธอก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนกับหวังหู่เป็นอย่างดี เธอเข้าใจดีว่าวันนี้เย่เชียนจะต้องมาเพื่อทวงคืนดินแดนแห่งนี้ให้กับหวังหู่อย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่อยากที่จะปักใจเชื่อเช่นนั้นมากนัก เพราะแก๊งชิงเป็นแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งของเครือชิงกรุ๊ปในเซี่ยงไฮ้ แล้วคนอย่างเย่เชียนจะสามารถมาทวงคืนดินแดนแห่งนี้ได้หรือ ?