หลินโรโร่วจ้องมองเย่เชียนอย่างเป็นกังวลและถามว่า “แม่ของฉันทำให้คุณลำบากใจหรือเปล่า ?”
เย่เชียนยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า “เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมกับคุณแม่ยายในอนาคต เราจะเข้ากันได้ง่ายดายขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเขาจะชอบลูกเขยคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแหละ ฮ่า ๆ ๆ เอาไว้ผมมีเวลา ผมจะไปเยี่ยมพวกเขาอย่างเป็นทางการนะ”
หลินโรโร่วรู้จักตัวตนของแม่ของเธอเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าการพบกันครั้งแรกของพวกเขาอาจจะราบรื่นดี แต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อว่าอะไร ๆ มันจะง่ายอย่างที่เย่เชียนพูดขนาดนั้น แต่เนื่องจากเย่เชียนไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้ หลินโรโร่วจึงไม่ได้ถามต่อ เธอรู้ว่าเย่เชียนคงไม่ต้องการให้เกิดความผิดใจกันระหว่างแม่ลูก
มื้อกลางวันของทั้งสี่คนจบลงไปด้วยบรรยากาศที่ดีและทุกคนก็อิ่มหนำสำราญกันอย่างมาก เย่เชียนยิ่งรู้สึกได้มากขึ้นไปอีกว่าเฉินเซิงคนนี้เป็นคนที่ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนและผูกมิตรด้วยจริง ๆ ทั้งบุคลิกทั้งอุปนิสัยของเขานั้นยอดเยี่ยมและเป็นมิตรมาก เขาไม่ได้มีคุณสมบัติแย่ ๆ อย่างที่ทายาทของพวกเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงคนอื่นมีเลย เฉินเซิงเป็นคนละเอียดอ่อนและสุภาพมาก ที่สำคัญเขายังมีไหวพริบและอารมณ์ขันอย่างสุนทรีย์อีกด้วย ถ้าหากในอนาคตกลุ่มเขี้ยวหมาป่าต้องการที่จะขยายกำลังไปยังเมืองอื่น ๆ ของประเทศจีน เฉินเซิงก็น่าจะช่วยได้อย่างมากเลยทีเดียว แม้ว่าเฉินเซิงนั้นจะมีประโยชน์กับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าในอนาคตหรือไม่มี แต่เย่เชียนก็ยังอยากที่จะเป็นเพื่อนกับเขาจากใจจริง
ขณะที่ยี่จุนหลูยืนมองเย่เชียนและหลินโรโร่วเดินออกจากร้านอาหารไป มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่าเธอเคยเห็นเย่เชียนมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
เมื่อเฉินเซิงเห็นแฟนสาวของเขากำลังทำหน้าตาสงสัย เขาจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ ? ทำไมคุณถึงขมวดคิ้วอย่างนั้นล่ะ”
ยี่จุนหลูเอียงหัวไปมาและพูดว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันเคยเห็นเขามาก่อนจริง ๆ นะ แต่ฉันคิดไม่ออกว่าที่ไหน ? มันคือที่ไหน มันคือที่ไหนกันแน่นะ ?”
เฉินเซิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวจะปวดหัวซะเปล่า ๆ ฉันเป็นห่วง”
ยี่จุนหลูมองเฉินเซิงอย่างมีความสุข ในทันใดนั้นเองก็มีภาพแวบเข้ามาในสมองของเธอ ทำให้เธอร้องลั่นออกมาเสียงดัง “ใช่แล้ว! ฉันจำได้ ฉันจำได้แล้ว!”
“คุณจำได้แล้วเหรอ ?” เฉินเซิงรู้สึกหดหู่น้อยกับการแสดงออกที่ร้อนรนใจของเธอ
“ฉันจำได้แล้วว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน! ตอนอยู่ในงานเลี้ยงของสำนักงานใหญ่ของบริษัทฉันนั่นไง! เราเคยทักทายกันที่นั่น!” ยี่จุนหลูพูดด้วยความตื่นเต้น
“สำนักงานใหญ่ของบริษัทคุณไม่ได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาหรอกเหรอ ? อ๋อ… ใช่แล้ว ฉันว่าฉันเคยได้ยินหลินโรโร่วบอกว่าเย่เชียนเขาเพิ่งจะกลับมาที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง” เฉินเซิงพูด “แล้วงานเลี้ยงบริษัทของคุณได้เชิญบุคคลภายนอกมาเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า ?”
“งานเลี้ยงนั่นเป็นการประชุมประจำปีบริษัทของเรา มันจึงเป็นงานสำหรับบุคลากรในองค์กรเท่านั้น นั่นสิ… ตอนนั้นฉันได้ยินบางคนพูดว่าเย่เชียนเขาเป็นซีอีโอตัวจริงของบริษัทน่ะ” ยี่จุนหลูตอบ
“นี่คุณกำลังจะบอกผมว่า เย่เชียนเป็นซีอีโอใหญ่ของบริษัทในเครือน่านฟ้ากรุ๊ป ?” เฉินเซิงถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ใช่แล้วล่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจเลย เพราะคนในบริษัทลือกันว่า เย่เชียนน่ะเขาไม่ค่อยยอมเปิดเผยตัวตนบ่อยนัก มีเพียงไม่กี่คนในตำแหน่งสูง ๆ เท่านั้นที่เคยได้เห็นเขา ขนาดเลขาของท่านประธานยังเคยเห็นเขาแค่สองสามครั้งเอง” ยี่จุนหลูพูดอย่างกระตือรือร้น
เฉินเซิงพึมพำกับตัวเองอยู่สักพักหนึ่งและคิดว่าเย่เชียนคงไม่ใช่คนธรรมดา ๆ อย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ต้องการไปก้าวก่ายหรือสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับอาชีพการงานของเย่เชียนมากนัก เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เพิ่งจะรู้จักกันและยังไม่ได้สนิทสนมกันมากพอที่จะถาม
……
หลังจากออกจากร้านอาหารแล้ว เย่เชียนและหลินโรโร่วก็ไม่ได้ขึ้นรถกลับ ทั้งคู่เลือกที่จะเดินเท้ากลับไปที่โรงพยาบาลแทน พวกเขาทั้งสองคนเดินด้วยกันอย่างช้า ๆ ในขณะที่จับมือกันไปด้วย มันช่างมีเสน่ห์และโรแมนติกเหลือเกิน
“ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ? คุณยังกังวลเรื่องที่จางเจี้ยนพูดอยู่เหรอ ?” เย่เชียนถามเมื่อเขาเห็นหลินโรโร่วเงียบไป
หลินโรโร่วส่ายหัวและพูดว่า “ไม่แน่นอน เพราะคุณไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น”
เย่เชียนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ผมรู้จักกับอดีตภรรยาของเขาน่ะ ครั้งหนึ่งตอนที่ผมไปทำภารกิจ ผมได้ช่วยชีวิตเธอโดยบังเอิญ ตอนนั้นผมสงสารเธอมาก ผมเลยซื้อตั๋วเครื่องบินให้เธอกลับบ้าน เอ๊ะ! คุณเคยเจอเธอแล้วหนิ เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารตะวันตกที่เราไปเดทกันวันนั้นไง ตอนนี้ลูกสาวเธอโตจนเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วนะ”
“อ้อ!” หลินโรโร่วตอบอย่างเฉยเมยราวกับว่ามีบางอย่างอยู่ในใจของเธอ
เย่เชียนชะงักไปชั่วครู่และรีบพูดว่า “โรโร่ว… คุณมีอะไรในใจหรือเปล่า ? ถ้ามีอะไรก็พูดกับผมตรง ๆ อย่าเก็บมันเอาไว้สิ”
หลังจากที่เงียบไปสักพัก หลินโรโร่วก็พูดขึ้นว่า “เย่เชียน! สภากาชาดกำลังจะจัดโครงการศูนย์บรรเทาทุกข์ผู้ป่วยระหว่างประเทศและโรงพยาบาลของเราก็ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมด้วย คือ… ฉันอยากจะสมัครเข้าร่วมน่ะ”
“ต้องไปนานแค่ไหนเหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยความงุนงง
“ประมาณครึ่งปีในแอฟริกาใต้” หลินโรโร่วตอบ “เย่เชียน… ตอนนี้ฉันรักงานของฉันมาก และฉันก็อยากช่วยผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือให้สุดกำลังของฉัน ในเมื่อตอนนี้มันมีโอกาสเข้ามา ฉันก็ไม่อยากที่จะพลาดโอกาสนี้ไป แต่พอนึกว่าฉันจะไม่ได้เจอคุณนานขนาดนั้น ฉันเริ่มรู้สึกไม่ค่อยอยากทำซะแล้วสิ”
เย่เชียนยิ้มพร้อมกับดึงหลินโรโร่วเข้ามาในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็พูดว่า “เวลามันค่อนข้างนานก็จริง… แต่นี่มันเป็นความฝันของคุณ และในฐานะแฟนของคุณแล้ว ผมจะสนับสนุนคุณเต็มที่ ถึงแม้ว่าแอฟริกาใต้มันจะอยู่ไกลก็ตาม แต่ผมไปเยี่ยมคุณได้ตลอดนะเมื่อผมมีเวลา อีกอย่างเทคโนโลยีสมัยนี้มันก็ทันสมัยจะตายไป เราวีดีโอคอลคุยกันทุกคืนเลยก็ยังได้”
“คุณเห็นด้วยเหรอ ?” หลินโรโร่วถามอย่างมีความสุข
“แล้วทำไมผมต้องไม่เห็นด้วยล่ะ” เย่เชียนตอบและยิ้ม
“เย่เชียน! คุณดีกับฉันมากเลย” หลินโรโร่วพูดอย่างมีความสุขและมอบจูบอันอ่อนโยนให้เย่เชียน
เย่เชียนยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า “โรโร่ว! คุณสัญญากับผมได้มั้ย ว่าไม่ว่าคุณจะมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ คุณจะบอกผม อย่าเก็บมันเอาไว้คนเดียวเลยนะ”
“ได้ค่ะ!” หลินโรโร่วพยักหน้าอย่างแน่วแน่และพูดว่า “ฉันสัญญา คุณเองก็ต้องสัญญากับฉันด้วยนะว่าหลังจากที่ฉันไปแล้ว คุณจะคิดถึงฉันทุกคืนก่อนนอน’
“แน่นอนสิ” เย่เชียนฉีกยิ้ม “แต่ก่อนที่คุณจะไป… คุณอยาก…”
“อยากอะไร ?” หลินโรโร่วถามด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น
เย่เชียนยิ้มกว้างพร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูของเธอเบา ๆ ว่า “ผมคิดว่าก่อนที่คุณจะไป ผมควรจะกินคุณให้หมดทั้งตัวนะ!”
หลินโรโร่วเขินอาย เธอจ้องมองเย่เชียนอย่างเร่าร้อนและทำหน้ามุ่ยอย่างขี้เล่น จากนั้นก็พูดว่า “คนทะลึ่ง!”
เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขและไม่ได้พูดอะไรอีก มันคงจะเป็นเรื่องโกหกสำหรับเย่เชียนที่จะบอกว่าเขานั้นไม่เป็นอะไรหากหลินโรโร่วต้องจากเขาไปไกล แต่เย่เชียนรู้ดีว่า ถึงหลินโรโร่วจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอก็ตาม แต่หัวใจของเธอนั้นแข็งแกร่งและเข้มแข็งมาก มันยากที่จะเปลี่ยนใจในสิ่งที่เธอตั้งใจเอาไว้ นอกจากนี้เย่เชียนคิดว่าการงานอาชีพของเธอนั้นควรค่าแก่การได้รับการสนับสนุน ดังนั้นเขาจึงไม่คัดค้านอะไร เพราะหากเขายืนกรานที่จะไม่ให้เธอไป เขาเชื่อว่าหลินโรโร่วก็จะไม่ไป แต่เธอคงจะรู้สึกเสียใจอย่างมาก
“เย่เชียน… ฉันเหนื่อยกับการเดินแล้วล่ะ” หลินโรโร่วทำหน้ามุ่ยและบุ้ยปาก
“งั้นไปเรียกรถกันเถอะ” เย่เชียนพูดและเริ่มทำท่าโบกเรียกแท็กซี่
“ไม่! ฉันอยากให้คุณแบกฉันขึ้นหลังมากกว่า” หลินโรโร่วพูดหยอกล้อด้วยท่าทางขี้เล่น