เมื่อเห็นท่าทางอันแสนน่ารักทว่าเกรี้ยวกราดไปในคราวเดียวกันของหลินโรโร่วแล้ว เย่เชียนก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นี่มันที่สาธารณะนะ คุณไม่อายหรือไง ?”
“คุณจะให้ฉันขี่หลังมั้ย!” หลินโรโร่วทำหน้ามุ่ย
“ได้คร้าบ… คุณผู้หญิงผมจะแบกคุณขึ้นหลังก็ได้” เย่เชียนพูดไปขำไปขณะที่ลงตัวลงไปนั่งยอง ๆ “เชิญขึ้นหลังผมมาเลยครับ คุณผู้หญิง”
เย่เชียนเคยได้ยินคำพูดที่ว่าผู้หญิงนั้นมีสิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง คือบางครั้งพวกเธอสามารถแกล้งทำนิสัยเสียและขี้อ้อนได้ ส่วนผู้ชายก็ต้องทำใจให้ชอบกับสิ่งนั้นให้ได้ด้วยเพื่อเป็นการแสดงความรักกลับไป
ซึ่งน่าแปลกที่เย่เชียนนั้นกลับชื่นชอบเวลาที่หลินโรโร่วแกล้งเอาแต่ใจแบบนี้อย่างมาก
“ไปที่นั่นกันเถอะ!” หลินโรโร่วชวน
“ไม่เอาหน่า… มันไกลนะ คุณเดินกลับมาไม่ไหวหรอก!” เย่เชียนพูด
“ถ้าฉันเดินไม่ไหว คุณก็แบกฉันอีกไง ไม่เห็นยากเลย” หลินโรโร่วยอกย้อน
เย่เชียนคิดว่าถ้าพวกผู้หญิงสูญเสียความน่ารักและความเอาแต่ใจเช่นนี้ไป พวกเธอก็จะสูญเสียเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงของพวกเธอไปด้วย มันจึงทำให้เขาชอบอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยของหลินโรโร่วอย่างมาก สำหรับเขาแล้วมันเป็นการแสดงออกถึงความรัก
หลินโรโร่วกระโดดขึ้นไปบนหลังของเย่เชียน เธอเอนใบหน้าของเธอซบลงบนหลังของเขา สีหน้าของเธอดูมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แผ่นหลังของเย่เชียนไม่ได้กว้างอะไรมากมาย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสงบสุขอย่างมาก มากเสียจนเธอรู้สึกว่าอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล
“โรโร่ว!” เย่เชียนร้องเรียกชื่อเธอ
“คะ ?” หลินโรโร่วตอบ
“คืนนี้ไปบ้านผมกัน!” เย่เชียนพูด
“นี่คุณจะพาฉันไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่อย่างงั้นสิน้า ?” หลินโรโร่วถามอย่างซุกซน
“ใช่… พ่อจะต้องดีใจที่ได้เจอคุณอีกอย่างแน่นอน” เย่เชียนพูด
“แต่ฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงไม่รู้” หลินโรโร่วพูด
“ยัยโง่… คุณจะมาเกร็งอะไรเล่า ? คุณก็รู้ว่าพ่อผมน่ะใจดีจะตายไป แถมเขายังดูท่าจะชอบคุณมากด้วย” เย่เชียนพูด
“ก็ได้ งั้นมารับฉันหลังเลิกงานนะ” หลินโรโร่วพูด
เย่เชียนยิ้มน้อย ๆ และตอบตกลง เขาแบกหลินโรโร่วเดินไปตามทางเรื่อย ๆ โดยไม่บ่นสักคำ แต่ท้ายที่สุดหลินโรโร่วก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา เธอจึงเรียกแท็กซี่กลับไปที่โรงพยาบาล
เนื่องจากโรงพยาบาลนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากจุดที่ทั้งสองเดินอยู่ และหลินโรโร่วเองก็ไม่ต้องการให้เย่เชียนแบกเธอขึ้นหลังไปจนถึงที่หมาย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นก็ตามที ส่วนเย่เชียนเองก็สามารถแบกเธอกลับโรงพยาบาลได้อย่างสบาย ๆ เพราะเขาได้รับการฝึกมาจากกลุ่มเขี้ยวหมาป่ามาเป็นเวลานาน มีหลายครั้งที่เขาต้องแบกน้ำหนักหลายกิโลกรัมและเคลื่อนพลข้ามประเทศ แต่เย่เชียนรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงไม่คัดค้านความหวังดีของเธอ
หลังจากพาหลินโรโร่วกลับไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว เย่เชียนก็เดินไปคุยกับหวังหู่อีกเล็กน้อยแล้วจึงออกจากโรงพยาบาลไปเขารู้สึกว่าบ่ายนี้ช่างเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงขึ้นรถแท๊กซี่ไปยังสำนักงานรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัด
ระหว่างทางจ้าวเทียนห่าวก็โทรมาหาเย่เชียน หลังจากแลกเปลี่ยนคำทักทายกันแล้ว จ้าวเทียนห่าวก็พูดหยอกล้อเขาว่า “เสี่ยวเย่! นายนี่มันใจร้ายมากนะที่มาขโมยเด็ก ๆ ของฉันไปหมด แถมยังไม่คิดที่จะโทรมาหาฉันบ้างเลย!”
เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาคิดว่าสิ่งที่จ้าวเทียนห่าวพูดถึงอาจจะเป็นเรื่องที่หวันชุนหัวและจ้าวไถ่จู้ลาออกจากเทียนหยากรุ๊ป ทำให้จ้าวเทียนห่าวโทรมาถามเขาอีกครั้งให้แน่ใจ เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ท่านประธานอย่าหยอกผมเล่นสิ พี่ไถ่จู้และคนอื่น ๆ เป็นเพื่อนของผม พวกเราก็เลยอยากอยู่ทำงานร่วมกันน่ะ”
จ้าวเทียนห่าวหยุดล้อเล่น น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันได้ยินมาว่านายกำลังจัดตั้งสำนักงานรักษาความปลอดภัยงั้นหรือ ? มันยอดเยี่ยมมาก! ต่อไปในอนาคตเทียนหยากรุ๊ปสามารถจ้างสำนักงานรักษาความปลอดภัยของนายได้ใช่มั้ย ?”
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนครับท่านประธาน ขอแค่คุณพูดมาเท่านั้น” เย่เชียนหัวเราะและพูดต่อ “จริงสิ บริษัทของผมเพิ่งจะเปิดเองเพราะฉะนั้นผมอาจจะต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากท่านประธานอีกมากมายเลยในอนาคตน่ะ”
“ได้เสมอ! ไม่มีปัญหา” จ้าวเทียนห่าวตอบด้วยความยินดี “แต่ก่อนอื่นเลยเสี่ยวเย่! นายต้องมาให้ฉันเลี้ยงข้าวสักมื้อก่อน!”
“อ้อ… ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความยินดีเลยครับ” เย่เชียนพูดพร้อมกับหัวเราะ
“โอ้! ฉันยังไม่ได้ขอบใจนายเลยที่นายช่วยชีวิตหยาเอ๋อร์เมื่อไม่นานมานี้น่ะ! ถ้านายมีเวลาแวะมากินข้าวกับฉันหน่อยนะ คืนนี้เลยเป็นไง ? ฉันมีเรื่องที่อยากจะปรึกษานายอยู่เหมือนกัน” จ้าวเทียนห่าวพูดอย่างคาดหวัง
เย่เชียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “แหม ท่านประธาน ท่านไม่จำเป็นต้องมาพูดขอบคุณอะไรผมหรอก เราสองนัดกินข้าวกันได้เมื่อไหร่ก็ได้ครับ แต่ช่วงนี้ผมยังไม่ว่างเลย ผมคงต้องรบกวนให้ท่านประธานโทรมาหาผมอีกทีคราวหน้า”
“ได้เลยเสี่ยวเย่!” จ้าวเทียนห่าวพูดพลางหัวเราะ “เอ้อใช่! นายอย่าเรียกฉันว่าท่านประธานสิ เพราะฉันไม่ใช่หัวหน้าของนายแล้ว ฉันเคยบอกให้นายเรียกฉันว่าลุงจ้าวแล้วหนิ เอ้อ… หรือจะเรียกฉันว่าพ่อตาเลยก็ได้นะ! ฮ่า ๆ ๆ แล้วนายเป็นไงบ้าง ? หยาเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้นายลำบากใช่มั้ย ? ..ที่จริงแล้วเธอเป็นคนน่ารักมากเลยนะ ถึงเธอจะนิสัยเสียนิดหน่อยก็เถอะ มันเป็นเพราะฉันเองแหละ ฉันตามใจเธอมากเกินไปหน่อย ฉันต้องขอโทษด้วยนะเรื่องนี้! ว่าแต่… ฉันได้ยินมาว่านายกับเธออยู่ด้วยกันเหรอตอนนี้ ?”
เย่เชียนรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหงื่อแตกท่วมหน้าผาก เขาไม่เข้าใจว่าจ้าวเทียนห่าวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ อย่าบอกนะว่านี่คือปรากฏการณ์การทำให้ความเชื่อกลายเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ? จ้าวเทียนห่าวอยากให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับเขาจริง ๆ งั้นหรือไง ? แต่น้ำเสียงของจ้าวเทียนห่าวก็ฟังดูคลุมเครือเช่นกัน เย่เชียนจึงหัวเราะอย่างโง่เขลาเป็นการกลบเกลื่อน “ฮะ ๆ ๆ นี่คุณแค่หยอกผมเล่นใช่มั้ย ?”
จ้าวเทียนห่าวหัวเราะและพูดว่า “เอาหน่า นายสบายใจได้ เพราะฉันจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องระหว่างหนุ่มสาวหรอก ฮ่า ๆ ๆ เอาล่ะ ในเมื่อวันนี้นายไม่ว่าง งั้นฉันจะโทรหานายวันอื่นก็แล้วกัน”
“ได้ครับ… ไว้เจอกัน!” หัวของเย่เชียนรู้สึกมึนงงอย่างมาก ถ้าหากพวกเขาทั้งสองยังคงพูดคุยกันต่อ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจ้าวเทียนห่าวจะพูดอะไรที่น่าตกตะลึงและน่าทึ่งแบบไหนต่อไปอีก
เย่เชียนแน่นิ่งไปชั่วขณะหลังจากที่วางโทรศัพท์ลงแล้ว แต่จากนั้นเขาก็กดโทรศัพท์หาหวังปิง
ทางด้านของหวังปิงนั้น เขากำลังร้อนรนจนไม่ได้มองดูสายที่โทรเข้ามา เสียงของเขาฟังดูฉุนเฉียวมากเลยทีเดียว แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของเย่เชียนดังลอดมาตามสาย มันกลับทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของหวังปิงในทันที และน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น
ตามที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ หวังปิงนั้นได้รับตำแหน่งผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ตามคาด แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังประมาทไม่ได้ เขายังต้องวางแผนทุกอย่างให้รอบคอบเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากความสำเร็จทางการเมืองของเขา
หลังจากที่เย่เชียนและจ้าวเทียนห่าวพูดคุยกันต่อด้วยเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ เย่เชียนก็ขอให้หวังปิงมาพบกับเขาเพื่อพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ แต่เขาไม่รู้เลยว่าหวังปิงนั้นจะมีเวลาให้เขาหรือไม่
หวังปิงผู้ซึ่งเพิ่งจะได้รับตำแหน่งใหม่นั้นกำลังยุ่งมากถึงมากที่สุด เขาต้องจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ในที่ทำงานอย่างมากมายเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็บอกให้เย่เชียนไปหาเข้าที่บ้านในคืนนั้นเลย
เย่เชียนตอบตกลง แต่เขาขอยืดเวลาไปเป็นช่วงดึกหน่อย เพราะเขายังต้องพาหลินโรโร่วกลับไปที่บ้านของเขาคืนนี้ เพื่อไปเยี่ยมพ่อของเขาและทานอาหารด้วยกัน เย่เชียนไม่อยากทำให้เธอผิดหวัง เพราะถึงแม้ว่าหลินโรโร่วจะบอกว่าเธอรู้สึกเกร็งที่จะไปพบกับพ่อ แต่เธอก็ดูตื่นเต้นและมีความสุขมากที่จะได้ไปบ้านของเขา
หวังปิงตอบตกลงโดยไม่ลังเล เพราะเขาเองก็ค่อนข้างยุ่งกับงานมากเช่นกัน กว่าเขาจะทำงานเสร็จมันอาจจะดึกมากแล้วก็ได้ หวังปิงเข้าใจว่าตัวเขาและเย่เชียนคงยังไม่ได้ยืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน แต่ถึงยังไงพวกเขาก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน อีกทั้งเขาเองก็ยังเคยได้รับของขวัญที่มีค่ามหาศาลมากจากเย่เชียน ทว่าเขาเองยังไม่เคยได้ตอบแทนอะไรเย่เชียนเลย เขาจึงคิดว่าคราวนี้เขาจะต้องตอบแทนอะไรสักอย่างให้แก่เย่เชียนบ้าง
เมื่อคุยกันเสร็จ รถก็มาจอดที่หน้าสำนักงานรักษาความปลอดภัยของไอร่อนบลัดแล้ว ซึ่งบริษัทนั้นกำลังเช่าและปรับปรุงปฏิรูปโรงงานร้างในเขตชานเมืองอยู่ มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากพอที่จะฝึกอบรมและฝึกซ้อมทางทหารได้เลยทีเดียว
เย่เชียนลงจากรถ จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดลายพรางทหารยืนอยู่หน้าสำนักงาน เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ข้างหน้าตึก ท่าทางของเขาดูจริงจังมาก
เย่เชียนเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาด้วยความสงสัย