หัวหน้าพยาบาลคนนี้ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเหรินเหมินมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเธอจึงเข้าใจบุคลิกและนิสัยของเซินหยวนเป็นอย่างดี เธอไม่ได้ชอบเซินหยวนเลย แต่ก็รู้ดีว่าเซินหยวนนั้นคิดยังไงกับหลินโรโร่ว เธอคิดว่าคนอย่างเซินหยวนนั้นช่างไม่คู่ควรกับหลินโรโร่วเลยแม้แต่นิด โชคดีที่หลินโรโร่วเองก็ไม่เคยให้ความสนใจเซินหยวนเลยเช่นกัน เมื่อเธอได้ยินเย่เชียนแนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนของหลินโรโร่ว เธอก็รู้ได้ทันทีว่าสงครามครั้งใหญ่กำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
ซึ่งเธอนั้นเดาถูกเผง เพราะมันกำลังจะเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ แต่มันจะเป็นเพียงการต่อสู้ของเย่เชียนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะเซินหยวนเป็นถึงผู้อำนวยการของโรงพยาบาล และเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากในโรงพยาบาลแห่งนี้ ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยต่างก็ต้องการความโปรดปรานและต้องการทำให้เขาพึงพอใจ ดังนั้นต่อหน้าของเซินหยวนแล้ว เย่เชียนก็เป็นเหมือนกับตั๊กแตนตัวน้อยที่ทำได้แค่กระโดดไปมาเพียงเท่านั้น
หลังจากที่หัวหน้าพยาบาลบอกเย่เชียนว่าออฟฟิศของเซินหยวนอยู่ที่ไหนแล้ว เธอก็รีบออกไปจากตรงนั้นทันที แน่นอนว่าถ้าเลือกได้เธอคงไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์นี้ด้วย
เย่เชียนลูบหัวหลินโรโร่วเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็บอกให้เธอรอเขาที่ทางเข้าโรงพยาบาลและไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะเขาจะทำทุกอย่างให้พอดีและเหมาะสม หลินโรโร่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเดินไปรอเขาที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ขัดข้อง
เดิมทีแล้วเย่เชียนไม่ต้องการที่จะเสวนากับเซินหยวนเลย มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เขาอยากจะวิ่งไล่ตามจีบหลินโรโร่ว แต่เขาก็ไม่ควรที่จะใช้วิธีสกปรก ๆ เช่นนี้ นอกจากนี้หลินโรโร่วเองก็ยังใฝ่ฝันที่จะเข้าโครงการของสภากาชาดอีกด้วย ซึ่งเย่เชียนจะไม่มีวันยอมให้เซินหยวนมาทำลายความฝันนี้ของเธอ
หลังจากเคาะประตูแล้วเย่เชียนก็ผลักประตูให้เปิดออกและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเซินหยวน เซินหยวนนั้นอายุประมาณสามสิบต้น ๆ ถือได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์และอัจฉริยะ เพราะเขาประสบความสำเร็จในช่วงอายุที่ยังน้อยเพียงเท่านี้
“ใครบอกให้คุณเข้ามา ?” เซินหยวนเงยหน้าขึ้นและถามด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเย่เชียน
ริมฝีปากของเย่เชียนฉีกออกเป็นรอยยิ้ม เขาเดินไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเซินหยวน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังดึงบุหรี่ออกมาจุดไฟแล้วสูบมันอย่างสบายใจ
“ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน วันนี้คุณอยากให้หลินโรโร่วอยู่ทำงานล่วงเวลาเหรอ ?” เย่เชียนถาม
“แล้วไง ?” เซินหยวนพูด “นี่คือระบบการทำงานของเราในโรงพยาบาล ถ้าเธอไม่ยอมปฏิบัติตามกฎ มันอาจจะทำให้เธอตกงานก็ได้นะ ถึงนายจะเป็นแฟนของเธอ แต่ฉันไม่คิดว่านายจะมีส่วนร่วมอะไรในการบริหารโรงพยาบาลของเราใช่มั้ยล่ะ ?”
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ใช่… ผมไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปบอกว่าระบบการทำงานในโรงพยาบาลของคุณนั้นมันยุติธรรมหรือไม่ แต่ผมว่าสิ่งที่คนเราทุกคนต้องมีคือเหตุผล ซึ่งสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้มันกำลังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันยุ่งยากขึ้น อ้อใช่! ผมได้ยินมาว่าคุณวางแผนที่จะยกเลิกสิทธิ์ของหลินโรโร่วในการเข้าร่วมโครงการของสภากาชาดอย่างงั้นใช่มั้ย ?”
“ทำไมผมต้องคุยเรื่องนี้กับคุณด้วย ? โรงพยาบาลของเรามีวิธีการจัดการของเราเอง มันเป็นเรื่องของภายใน” เซินหยวนพูด
เย่เชียนหัวเราะออมาอย่างน่ากลัว เขาลุกขึ้นยืนและจ้องเขม็งไปที่เซินหยวนพร้อมกับพูดอย่างเดือดดาลว่า “ไอ้เวรเอ้ย! หยุดทำตัวเสแสร้งสักทีเถอะ! ถ้าหลินโรโร่วถูกยกเลิกสิทธิ์จากสภากาชาดเพราะเธอขาดความสามารถล่ะก็ฉันจะไม่มายุ่งกับแกเลย แต่นี่มันบ้าชัด ๆ แกมันใช้วิธีโสโครก!”
“นี่แก! แกกล้าด่าฉันงั้นเหรอ ?” เซินหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อยเมื่อเห็นพฤติกรรมของเย่เชียนที่ดูฉุนเฉียวขนาดนั้น เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ เพราะเซินหยวนเป็นคนประเภทที่ได้แต่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
ทุกครั้งที่ผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาเข้ามาขอสิ่งต่าง ๆ จากเซินหยวน เขามักจะชอบทำตัววางท่าเหมือนปีศาจอยู่เสมอ และครั้งนี้เขาเองก็ตัดสินเย่เชียนจากการแต่งตัว เขาคิดไปเองว่าเย่เชียนนั้นคงจะง่ายต่อการกลั่นแกล้งและข่มเหงรังแก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เชียนที่มีกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่อย่างนี้ เขาก็รู้สึกอ่อนแอและหมดหนทาง
“แกนี่ช่างไม่มีคุณสมบัติผู้ดีเอาเสียเลย” เซินหยวนพึมพำ
“เหอะ… คนอย่างแกนี่เรียกว่าผู้ดีงั้นเหรอ ?” เย่เชียนพูดเสียงเย็น จากนั้นก็ดึงมีดหมาป่าสีเลือดออกมาพร้อมกับปักมันลงบนโต๊ะ “มันจะดีกว่านะ ถ้าแกหัดเจียมตัวเอาไว้ซะบ้าง อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกกำลังวางแผนสกปรก ๆ อะไรอีก ไม่อย่างงั้นมีดที่งดงามและล้ำค่าเล่มนี้ มันจะกลืนกินแกเข้าไปและเหลือเอาไว้เพียงแค่เลือด!”
รอบ ๆ มีดโลหิตหมาป่านั้นมีจิตสังหารอันนองเลือดวนเวียนอยู่เต็มไปหมด มันเป็นมีดโบราณที่เคยสังเวยเลือดของผู้คนมานับไม่ถ้วนแล้ว ทำให้หมาป่าสีเลือดเล่มนี้เสมือนว่ามีจิตวิญญาณของตัวมันเอง ซึ่งในตอนนี้มันก็กำลังเปล่งแสงแห่งความตายอันน่าสยดสยองออกมาให้เห็น เฉกเช่นเดียวกันกับเคียวแห่งความตายของเจ้าแห่งยมทูตกริมรีปเปอร์ที่สามารถพรากวิญญาณได้เพียงแค่คนผู้นั้นได้เห็นมัน!
เซินหยวนไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ชีวิตอันแสนสุขของเขานั้น วัน ๆ หนึ่งเขาสามารถเดินไปรอบ ๆ ได้อย่างโออ่าและหยิ่งผยอง แต่ตอนนี้เขากำลังหวาดกลัวอย่างมากจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้ทำอะไรมากเลยเพราะท้ายที่สุดแล้วหลินโรโร่วก็ยังคงต้องทำงานอยู่ที่นี่ และแม้ว่าเซินหยวนจะเป็นคนโง่เขลาและเหลี่ยมจัด แต่เขาก็ยังไม่สมควรตาย เย่เชียนจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “จำคำฉันเอาไว้ก็แล้วกัน!” ขณะที่เขาพูดนั้นเขาก็ดึงมีดหมาป่าสีเลือดออกมาสะกิดที่หน้าของเซินหยวนเบา ๆ สองครั้ง จากนั้นก็หันกลับและเดินออกจากห้องไป
เมื่อเซินหยวนเห็นเย่เชียนจากไปในที่สุด หัวใจของเขาก็กลับมาเป็นอย่างเป็นจังหวะอีกครั้ง
……
เย่เชียนพาหลินโรโร่วไปที่บ้านของเขาด้วยรถปอร์เช่ที่เขายืมมาจากชิงเฟิง บ้านหลังเดิมของเขาที่อยู่ในสลัมนั้นถูกปล่อยไว้ให้ว่างอยู่ชั่วคราว เพราะตอนนี้พ่อของเขากับฮันเซ่ลได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านใหม่ที่เขาซื้อให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในตอนแรกพ่อของเขานั้นยืนกรานที่จะปฏิเสธ เขาบอกว่าเย่เชียนควรเก็บเงินเอาไว้ใช้ตอนที่เขาแต่งงาน แต่เย่เชียนก็บอกกับพ่อไปว่าพี่ใหญ่และน้องสามช่วยกันซื้อมันด้วย และอาชีพการงานในปัจจุบันของเขาก็มั่นคงแล้ว มันจึงทำให้พ่ออุ่นใจขึ้นมาก หลังจากอ้อนวอนให้ย้ายมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพ่อก็ตกลงที่จะย้ายเข้ามาที่บ้านหลังใหม่นี้
ฮันเซ่ลย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่ด้วยความยินดี ตอนนี้ฮันเซ่ลนั้นใกล้จะจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เธอสอบเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และอีกครึ่งปีต่อจากนี้เธอก็จะได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายตามที่ได้วางแผนเอาไว้
ระหว่างทางหลินโรโร่วนั้นตั้งใจที่จะซื้อของขวัญบางอย่าง ซึ่งเย่เชียนก็ตามใจเธอโดยไม่ขัด เขาพาเธอไปที่ห้างสรรพสินค้า และหลินโรโร่วก็เลือกสิ่งของทุกอย่างอย่างรอบคอบและตั้งใจ
เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน ฮันเซ่ลก็เป็นคนเปิดประตูออกมาต้อนรับ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเย่เชียนยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับหลินโรโร่ว เธอยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “พี่สอง!”
ทว่ารอยยิ้มของฮันเซ่ลนั้นดูคลุมเครือและแปลกประหลาดมาก มันทำให้เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “คุณจำเธอได้มั้ย… ฮันเซ่ลไง น้องสาวผมเอง”
หลินโรโร่วยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดีจ้ะ!”
ฮันเซ่ลตอบแค่ “ค่ะ” เบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “พี่สองเข้ามาสิ พ่อกำลังทำอาหารเย็นอยู่ หนูจะได้เข้าไปช่วยเขาต่อ”
“เสี่ยวเซ่ลเอ้ย…! นั่นใช่เสี่ยวเย่มั้ย ?” หยางเจียนกัวตะโกนออกมาจากในครัว
“ใช่ค่ะ!” ฮันเซ่ลตอบและเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกับก้มหน้าลงและทำตัวแปลก ๆ
“โอ้… เสี่ยวเย่ไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนเถอะ อาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้ว” พ่อพูด
เย่เชียนจูงมือหลินโรโร่วเข้าไปในห้องนั่งเล่น หลินโรโร่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เธอถามว่า “เสี่ยวเซ่ลเธอเป็นอะไรรึเปล่า ? ทำไมดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยร่าเริงเลย”
เย่เชียนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เขาเพียงยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ไม่รู้สิ… เธอกำลังโตเป็นสาว มันยากนะที่จะเข้าใจพวกสาว ๆ วัยรุ่นน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ”