“หุบปาก!”
ในที่สุดเหว่ยเฉินหลงก็ไม่สามารถอดทนกับความน่ารำคาญอาของเขาได้อีกต่อไป เขาจึงตะคอกกลับไปด้วยความเกรี้ยวกราด เพราะตอนนี้เขานั้นกำลังมีความหวาดกลัวบางอย่างอยู่ภายในใจ และเหว่ยตงฉิงก็ยังไม่วายมาพูดพล่ามจนน่ารำคาญไม่หยุดหย่อน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้เหว่ยเฉินหลงไม่รู้สึกโกรธได้อย่างไร
แต่ทันทีที่เขาพูดคำนั้นออกไป เหว่ยเฉินหลงก็รู้สึกได้ว่าเขานั้นพูดแรงเกินไป เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วเธอคนนี้ก็เป็นอาแท้ ๆ ของเขาเอง เขาจึงมองไปที่เหว่ยตงฉิงด้วยสีหน้าขอโทษและรู้สึกผิด จากนั้นเหว่ยเฉินหลงก็พูดว่า “ผมขอโทษครับคุณอา เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง คุณอาแค่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ นี่ก็พอแล้ว”
เมื่อเหว่ยตงฉิงได้ยินเหว่ยเฉินหลงตะคอกใส่ตัวเอง เธอก็ผงะไปชั่วขณะ ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะรู้ตัวว่าเธอทำตัวไม่ดีและฉุนเฉียวไปหน่อย แต่ถึงยังไงเธอก็ยังคงมีศักดิ์เป็นอาแท้ ๆ ของเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นหลานตัวเล็ก ๆ คนนี้จะมาตะคอกตัวเองแบบนี้ไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ยินคำขอโทษของเหว่ยเฉินหลงแล้ว มันก็ทำให้เหว่ยตงฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย เธอจึงก้าวถอยหลังไปอย่างเชื่อฟัง
“เย่เชียน! อาของฉันไปทำอะไรให้นายขุ่นเคืองงั้นเรอะ ?” เหว่ยเฉินหลงถาม
เย่เชียนยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “มีไม่เคยมีใครบอกนายหรือไงว่าปากของเธอน่ะพล่ามแต่เรื่องสกปรก ๆ ออกมาแทบจะตลอดเวลาเลยน่ะ ผมตบเธอแค่นี้ก็ถือว่าเบาแล้วด้วยซ้ำ”
ปากสุนัขร้าย ๆ ของเหว่ยตงฉิงนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ และเหว่ยเฉินหลงเองก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน เขาเองก็คิดเหมือนกันว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดมานั้นไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอะไร แต่ถึงแม้ว่าเหว่ยตงฉิงจะเลวร้ายยังไง แต่ความจริงที่ว่าเธอนั้นเป็นอาของเขาก็ยังคงไม่สามารถลบล้างได้
“เย่เชียน! เรื่องวันนี้น่ะ ใครจะเริ่มก่อนหรือใครจะถูกหรือผิดมัน ตอนนี้มันก็ไม่สำคัญแล้ว… เพราะการที่นายมาทำร้ายอาของฉันนั้นนายผิดเต็ม ๆ แล้วนายจะทำยังไงหา ?” เหว่ยเฉินหลงพูด
“แล้วคุณต้องการให้ผมทำอะไรล่ะ ?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“มันง่ายมาก! นายก็แค่คุกเข่าลงและกราบเท้าคุณอาของฉันเพื่อยอมรับความผิดและขอขมาเธอ แล้วฉันจะถือว่าวันนี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” เหว่ยเฉินหลงพูดอย่างโอ่อ่าและหยิ่งผยอง
“คุณจะใช้พลังอำนาจของตงเซียนกรุ๊ปของคุณเพื่อกดดันและจัดการผมอย่างนั้นใช่มั้ย ?” ปากของเย่เชียนฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายพร้อมกับคำพูดอันแสนเย็นยะเยือก
“ใช่! ฉันจะใช้พลังอำนาจของเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปเพื่อกดดันและจัดการกับนาย ถ้านายไม่ยอมคุกเข่าขอโทษล่ะก็ วันนี้นายอย่าได้หวังที่จะได้ออกไปจากโรงพยาบาลนี้เลย” เหว่ยเฉินหลงพูดและมีใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“เฮ้อ! ผมเพิ่งจะกินข้าวมาอิ่ม ๆ แถมอารมณ์ก็กำลังดี ๆ อยู่แท้ ๆ … แต่พวกคุณกลับมาใช้วิธีที่อหังการและผยองเดชแบบนี้มากดดันคนอื่น ผมคงจะไม่ยอมให้ง่าย ๆ หรอกนะ” เย่เชียนพูดช้า ๆ
“ฮึ่ม! ถ้าอย่างงั้นนายก็อย่ามาโทษฉันละกัน ฉันถือว่าฉันให้โอกาสนายแล้วนะ!” หลังจากเหว่ยเฉินหลงพูดจบ เขาก็ก้าวถอยหลังไป จากนั้นก็เหลือบมองไปที่ทหารรับจ้างสี่คนจากกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬที่เขาพามาด้วยและพูดว่า “ไปหักแขนหักขาของเขาให้หมด แต่อย่าเพิ่มทำให้ถึงตายล่ะ!”
ขณะนั้นชายทั้งสี่คนยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิด แต่พวกเขากลับหันไปมองเหว่ยเฉินหลงและพูดว่า “แบบนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ!”
“เออหน่า… เดี๋ยวฉันจัดการให้ เรื่องเงินน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เหว่ยเฉินหลงพูด
เมื่อทั้งสี่คนได้ฟังดังนั้นก็หันหน้ากลับมาที่เย่เชียนด้วยความพึงพอใจและจ้องมองเย่เชียนอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ หนึ่งในสี่คนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “รู้สึกว่าเราจะเคยพบกันที่ไหนมาก่อนนะ”
เหว่ยเฉินหลงตกตะลึงเล็กน้อย เพราะสี่คนนี้มาจากองค์กรทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬและพวกเขาจะรู้จักเย่เชียนได้อย่างไร ? เหตุผลที่เหว่ยเฉินหลงไม่ได้บอกพวกเขาว่า ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือเป้าหมายหลักของการว่าจ้างให้พวกเขามาที่เมืองเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ ก็เพราะว่าพวกเขานั้นกำลังอยู่ในโรงพยาบาลและมันก็เป็นที่สาธารณะ ถ้าพวกเขารู้ละก็ เย่เชียนคงจะถูกฆ่าลงตรงนี้อย่างโจ่งแจ้งเป็นแน่ ซึ่งมันอาจจะทำให้เรื่องต่าง ๆ ยากลำบากมากขึ้นก็ได้ อย่างไรก็ตามเขาต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เย่เชียนรู้ซึ้งสักหน่อย แล้วจากนั้นค่อยฆ่าเขาข้างนอกทีหลัง
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน แต่ผมรู้ว่าทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬนั้นมีชื่อเสียงมากในโลกของทหารรับจ้าง ผมคิดว่าพวกคุณคงเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬใช่มั้ยล่ะ ?”
พวกเขาทั้งสี่คนตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าเย่เชียนจะสามารถรู้ถึงตัวตนของพวกเขาได้ในการเจอกันเพียงแค่คราวเดียว และเมื่อมองไปที่เย่เชียนอีกครั้งและครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาก็ได้แต่คิดว่าผู้ชายคนนี้นั้นดูคุ้น ๆ อย่างมากแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ไหน
“คุณรู้จักเราเหรอ ?” ชายคนนั้นขมวดคิ้วและพูด
เย่เชียนยักไหล่เบา ๆ แล้วฉีกยิ้มอย่างคลุมเครือ ทว่าไม่ได้พูดอะไรตอบ
“ถ้าคุณรู้จักพวกเราล่ะก็ ผมขอแนะนำให้คุณเลือกทางที่ดีกว่าแล้วเราจะไม่เข้าไปแทรกแซงคุณ” ชายคนนั้นพูดต่อ
เย่เชียนยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า “ความมั่นคงและการยืนหยัดไม่ยอมจำนนนั่นคือเอกลักษณ์ของชนชาติจีนของเรา นอกจากนี้ผมเองเคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเหยี่ยวดำทมิฬมานานแล้ว ผมคงจะไม่ยอมพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้หรอก”
“ถ้างั้น… เราก็จะเคารพในการตัดสินใจของคุณ ไม่ต้องกังวลไป คุณสามารถเลือกหนึ่งในสี่ของพวกเราได้ เพราะเราจะไม่เอาเปรียบจำนวนคนที่น้อยกว่าด้วยวิธีสกปรก ๆ แบบนี้อย่างแน่นอน” ชายคนนั้นดูเหมือนจะพูดด้วยความชอบธรรมอย่างมาก
“ไม่เป็นไร… เชิญพวกคุณทั้งสี่คนเข้ามาพร้อมกันได้เลย ผมชอบความท้าทายอยู่แล้ว” เย่เชียนพูดแล้วฉีกยิ้มเล็กน้อย
ทันใดนั้นใบหน้าของพวกเขาทั้งสี่ก็มืดมนลง เพราะพวกเขานั้นสังกัดอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬ แต่ทว่าเย่เชียนกลับยังกล้าพูดแบบนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังดูถูกเหยี่ยวดำทมิฬอยู่ พวกเขานั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าเย่เชียนนั้นมีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน แต่มันก็จะไม่มีทางรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ลองเผชิญหน้ากันดูจริง ๆ
คนที่พูดออกมาก่อนหน้านี้หันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา คนคนนั้นจึงก้าวมาข้างหน้าโดยธรรมชาติและเหลือบมองไปที่เย่เชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเขาเห็นรูปร่างที่ผอมบางของเย่เชียน ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นร่องรอยของการดูถูกและเหยียดหยามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วินาทีต่อมาเขาก็พุ่งเข้าหาเย่เชียนพร้อมกับทักษะการต่อสู้ของชาวตะวันตกที่แตกต่างจากชาวตะวันออกอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเน้นและให้ความสำคัญกับการโจมตีด้วยมือและจะไม่ใช้ประโยชน์จากเท้าเลย ซึ่งมันก็มักจะไม่เสถียรและครอบคลุมเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรตอนนี้มันก็ยังยากที่จะตัดสินว่าแบบไหนดีกว่าหรือแย่กว่ากันระหว่างศิลปะการต่อสู้แถบตะวันตกกับศิลปะการต่อสู้ของจีน เพราะท้ายที่สุดแล้วก็มีปรมาจารย์ชาวจีนตั้งหลายคนที่พ่ายแพ้ให้กับผู้เชี่ยวชาญจากแถบตะวันตก
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เชียนแล้วเห็นได้ชัดว่าศิลปะการต่อสู้แบบตะวันตกเหล่านี้มันใช้ไม่ได้ผลกับเขา เนื่องจากเย่เชียนนั้นเคยไปอยู่ต่างประเทศมาเป็นเวลาหลายปี และเขาก็ได้เอาชนะผู้เชี่ยวชาญจากการแข่งขันระดับประเทศในหลาย ๆ ประเทศมามากมาย เขาจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ ของแถบตะวันตกเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นดูท่าว่าอีกฝ่ายจะมีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของจีน เพราะในการต่อสู้นั้น ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ มันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนในฐานะที่เป็นถึงผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าและราชาแห่งโลกทหารรับจ้าง เขาจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน ? เพราะการที่กลุ่มเขี้ยวหมาป่าสามารถประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ก็เป็นเพราะเย่เชียนส่วนหนึ่ง
ทักษะมวยแบบตะวันตกนั้นเรียบง่ายและทรงพลัง แต่เย่เชียนก็ไม่โง่พอที่จะปะทะกับเขาตรง ๆ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่แพ้ก็ตาม แต่มันก็จะทำให้กลุ่มเขี้ยวหมาป่าเสื่อมเสียเกียรติอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเมื่อทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬโจมตีด้วยหมัดมา เย่เชียนก็สามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดายและเลือกที่จะเคลื่อนไหวตัดผ่านลำตัวของเขา
มีคำพูดในเคล็ดตำราวิชาคำสอนของคาราเต้ว่า แทนที่จะโจมตีสามครั้ง สู้เลือกที่จะทำลายแกนกลางของศัตรูแค่ทีเดียวยังดีเสียกว่า ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ร่ำเรียนวิชาคาราเต้มา แต่ว่าคาราเต้ก็ถูกสืบทอดมาจากประเทศจีน ด้วยเหตุนี้เองเย่เชียนจึงได้รับการถ่ายทอดมาจากเลือดมังกรของชาวจีนมาโดยธรรมชาติ แม้เย่เชียนนั้นไม่ได้รู้จักศิลปะการต่อสู้แบบจีนโบราณที่แท้จริง แต่เขาก็ศึกษามันอยู่เช่นกัน ถึงจะไม่ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง แต่ด้วยความอัจฉริยะและประสบการณ์ของเขา มันก็เพียงพอที่จะสามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เย่เชียนหลบหลีกการโจมตีของทหารรับจ้างคนนั้นและก้าวไปข้างหน้า เขาพุ่งตัวเข้าหาทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬคนนั้นแล้วตอกไปที่ข้อพับและข้อต่อกระดูกแขนของเขาด้วยศอกข้างหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวและตอกเข้าไปที่เบ้าหูของทหารรับจ้างคนนั้นด้วยศอกอีกข้างหนึ่ง
ชายคนนั้นรับรู้ได้เพียงแค่เสียงที่วิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหูของเขา และหัวของเขาก็มึนและวูบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติกลับมาเพื่อตอบโต้ได้นั้น เย่เชียนก็ได้เตะเสยเขาอย่างรุนแรงจนลอยสูงขึ้นไปในอากาศ