สองสามวันที่ผ่านมาทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดูสงบดีมาก แก๊งชิงไม่ได้ทำการแก้แค้นอะไร ส่วนตงเซียนกรุ๊ปเองก็ไม่มีข่าวความคืบหน้า ทางด้านของหงเหมินกรุ๊ปนั้นสงบนิ่งราวกับผิวน้ำที่ไม่มีอะไรไปรบกวนยังไงยังงั้น แต่เย่เชียนรู้ดีว่าภายใต้ผืนน้ำที่นิ่งเงียบนี้ มันมีคลื่นลูกใหญ่ซ่อนอยู่ ความเงียบเชียบนี้เป็นเพียงสัญญาณก่อนเกิดพายุใหญ่นั่นเอง
แจ็คทำหน้าที่ช่วยบริหารและดูแลกิจการของสำนักงานรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัด ส่วนหลี่เหว่ยยี่ก็กลับมาจากประเทศเมียนมาร์เพื่อช่วยแจ็คในการจัดการธุรกิจของบริษัทด้วยอีกแรงหนึ่ง ในขณะที่ชิงเฟิงทำหน้าที่ฝึกอบรมบุคลากรที่ได้รับคัดเลือก และคอยสังเกตว่าใครที่ดูเหมาะสมมากพอที่จะสามารถเข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าได้ ทว่าม่อหลงนั้นค่อนข้างลึกลับ เพราะไม่ค่อยมีใครได้เห็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเขาสักเท่าไหร่ แต่เย่เชียนก็ไม่ได้สอบถามว่าเขากำลังจะไปที่ไหนหรือทำอะไร แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าก็ตาม แต่พวกเขาสามารถมีอิสระได้อย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียก็รู้ดีว่าม่อหลงยังมีเรื่องสำคัญของตัวเองที่ต้องดูแลจัดการเกี่ยวกับสำนักม่อจื๊อของเขาอีก
ทางด้านของฟูจุนเฉิง หวันชุนหัว และจ้าวไถ่จู้นั้น ทุกคนต่างมาเข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าจ้าวไถ่จู้และหวันชุนหัวนั้นยังคงต้องรับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเสียก่อน ส่วนฟูจุนเฉิงผู้ซึ่งเคยเป็นทหารของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีนมาก่อนจึงไม่ต้องฝึกอะไรเพิ่มเติม เย่เชียนจึงให้เขาเป็นผู้ควบคุมการฝึกส่วนหนึ่งด้วย
มีเพียงเย่เชียนเท่านั้นที่ดูเกียจคร้าน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดทั้งวัน เพราะคนฉลาดนั้นทำงานใช้สมอง ส่วนคนโง่ก็ต้องใช้มือและกำลังของเขาในการทำงาน ซึ่งเย่เชียนมาถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว เขาเพียงต้องมีแผนการโดยรวม รวมถึงการวิเคราะห์เหตุและผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับอิทธิพลของเมืองเซี่ยงไฮ้และประเทศจีน
……
เมื่อเย่เชียนตระหนักได้ว่าวันที่หลินโรโร่วจะต้องเดินทางไกลนั้นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไปกินข้าวกับเธอในทุก ๆ วัน และบางครั้งเขาก็ยังไปนอนค้างที่บ้านของเธออีกด้วย
ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เย่เชียนก็มายุ่งอยู่กับหลินโรโร่วในครัว หลินโรโร่วเป็นผู้รับผิดชอบในการทำอาหาร ส่วนเย่เชียนเองก็คอยช่วยอยู่ไม่ห่าง พวกเขาทั้งสองนั้นทำตัวเหมือนคู่รักหนุ่มสาวอย่างแท้จริง
“คุณต้องไปเมื่อไหร่นะ ?” เย่เชียนถามขณะหั่นผัก
“พรุ่งนี้เช้า” หลินโรโร่วอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเมื่อเธอคิดว่าเธอกำลังจะจากเขาไป
“คุณรู้มั้ยว่าที่แอฟริกาใต้น่ะมันวุ่นวายมาก เพราะงั้นคุณอย่าออกไปข้างนอกล่ะถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เอาไว้ผมมีเวลา ผมจะรีบไปหาคุณนะ” เย่เชียนยังคงมีร่องรอยของความไม่เต็มใจอยู่ในใจของเขา แต่เขาก็รู้ดีว่านี่มันเป็นความฝันของคนที่เขารัก ซึ่งกว่าที่เธอจะได้ทำมันนั้น เธอต้องใช้ทั้งความทุ่มเทและพยายามอย่างมาก และในฐานะของคนรักของเธอแล้ว เย่เชียนคิดว่าเขาควรที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจเธอไปทำตามความฝัน
“คุณจะคิดถึงฉันมั้ย ?” หลินโรโร่วถาม
“ยัยโง่… ถามอะไรบ้า ๆ ผมต้องคิดถึงคุณอยู่แล้วสิ” เย่เชียนวางผักที่หั่นอยู่ลงบนจานแล้วลูบหัวของหลินโรโร่วเบา ๆ
“ฉันคงจะคิดถึงคุณมากเลยที่รัก” หลินโรโร่วพูด
“อย่าให้ผมรู้นะว่าคุณลืมคิดถึงผมไปแม้แต่วันเดียวน่ะ ผมจะไปตีก้นคุณถึงที่เลย!” เย่เชียนจงใจพูดหยอกล้อเพราะไม่ต้องการให้บรรยากาศมันดูหดหู่มากเกินไป
“ฉันไม่มีทางลืมหรอกหน่า!” หลินโรโร่วบุ้ยปากของเธอและพูดอย่างซุกซน
“แล้วผมจะคอยดู!” เย่เชียนพูดขณะที่เขาตบบั้นท้ายของหลินโรโร่ว
“อ๊ายยยยยยยย!!!” หลินโรโร่วร้องลั่นออกมา ทั้งสองเริ่มสนุกสนานกันในห้องครัว มันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข
“เอาล่ะ… เรียบร้อยแล้ว!” หลินโรโร่วอ้าปากค้าง ท่าทางของเธอนั้นน่ารักมากจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดเธอเบา ๆ และพูดต่อไปว่า “แต่มันยังขาดอยู่อย่างนึง”
“ขาดอะไรล่ะ ?” หลินโรโร่วเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขและชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของเธอ จากนั้นหลินโรโร่วก็มองไปที่เขาอย่างอ่อนหวานแล้วโน้มตัวเข้าไปจูบเขา “ขาดนี่เหรอ ?” หลินโรโร่วพูด
เย่เชียนไม่ตอบ เขาได้แต่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ หลินโรโร่วก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “เย่เชียน! คุณคิดว่าฉันไร้ประโยชน์มากและไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลยใช่มั้ย ? เฮ้อ! ถ้าฉันเก่งและเพียบพร้อมแบบพี่ฉินหยูก็คงจะดีเนาะ”
เย่เชียนตกตะลึงและผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองเธอด้วยความประหลาดใจและคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้พูดถึงฉินหยูขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่เมื่อลองตระหนักดูแล้วมันก็คงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้หญิงทุกคนที่จะรู้สึกหึงหวงคนที่เธอรัก เย่เชียนจึงรีบพูดอย่างติดตลกว่า “พี่ฉินหยูเหรอ ? คุณเรียกเธออย่างสนิทสนมแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี่แอบไปเป็นน้องสาวของเธอตอนไหนเนี่ย ฮ่า ๆ ๆ ”
“ฉันจริงจังนะ… คุณอย่าหัวเราะสิ” หลินโรโร่วพูด
“ก็ได้ ๆ ผมไม่หัวเราะแล้วก็ได้” เย่เชียนพูดต่อ “โรโร่ว… คุณรู้มั้ยว่าผมชอบความอ่อนโยนและความใจดีของคุณ ผมไม่ได้หวังให้คุณมาช่วยอะไรผมเลย ตราบใดที่คุณอยู่เคียงข้างผม ผมก็รู้สึกว่าผมเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว มันทำให้ผมมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉินหยูน่ะเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมากก็จริง แต่ในใจของผมไม่มีใครสามารถแทนที่คุณได้!”
หลินโรโร่วรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาและเธอก็พูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณจริงใจกับฉัน แต่ฉันมักจะรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าฉันนั้นไม่คู่ควรกับคุณ งั้นคุณช่วยสัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้มั้ย ?”
“อะไรเหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“คุณสัญญากับฉันก่อนสิ” หลินโรโร่วยืนกรานพูด
“ก็ได้… ผมสัญญากับคุณ ว่ามาเลยจะให้ผมสัญญาอะไร” เย่เชียนพูด
“รอฉันอีกครึ่งปีนะ… ครึ่งปีนี้ฉันจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่คู่ควรกับคุณ” หลินโรโร่วพูดอย่างหนักแน่น
เย่เชียนถอนหายใจอย่างลับ ๆ ในใจและคิดว่าในฐานะแฟนหนุ่มนั้นเขาล้มเหลวจริง ๆ เพราะเขาทำให้หลินโรโร่วรู้สึกไม่มั่นคง อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้ดีว่าหลินโรโร่วสามารถทำตามที่เธอพูดได้ แม้ว่าเย่เชียนจะไม่เข้าใจระดับของคำว่าคู่ควรของเธอก็ตาม
“โธ่! ยัยโง่ นับประสาอะไรกับแค่ครึ่งปี… ต่อให้เป็นปี ๆ หรือกี่สิบปี ผมก็จะรอคุณ” เย่เชียนพูด
“ขอบคุณนะ” หลินโรโร่วพูดและซบหัวของเธอไว้ในอ้อมแขนของเย่เชียน เธอรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจและซึมซับความอบอุ่นจากอกของเย่เชียนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะต้องจากเขาไปทำตามความฝัน ระยะเวลาครึ่งปีมันอาจจะไม่ยาวนานนัก แต่มันก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่สั้น ๆ เช่นกัน การพรากจากเป็นเรื่องเจ็บปวดและพวกเขาต้องอดทนเพื่อพิสูจน์ความรักครั้งนี้
หลังจากที่ทานอาหารค่ำกันเสร็จ เย่เชียนก็นอนเอนกายอย่างสบาย ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ส่วนหลินโรโร่วก็ทำตัวเหมือนภรรยาที่คอยเอาใจสามี เธอนอนหนุนหัวลงบนตักของเย่เชียนพร้อมกับใช้นิ้วเรียวบางวาดเป็นวงกลมวนไปวนมาบนหน้าอกของเขาเล่นเบา ๆ
บรรยากาศในห้องนั้นเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใด ๆ ของทั้งสองคน ทว่าความอบอุ่นในห้องนั้นกลับมีอยู่อย่างเหลือล้น…
จากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศ เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้ลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ
“ทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์ล่ะ ?” หลินโรโร่วถาม
“ผมไม่อยากไปไหน… ผมอยากอยู่กับคุณคืนนี้” เย่เชียนพูด
แต่หลินโรโร่วลุกขึ้นและรีบไปหยิบโทรศัพท์มาจากบนโต๊ะ จากนั้นก็ส่งให้เย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ ถ้าเกิดมันมีเรื่องด่วนอะไรขึ้นมาล่ะ ?”
เย่เชียนมองไปที่หลินโรโร่วอย่างหมดหนทางและยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
“ว่าไง… ไอ้บ้านี่!” น้ำเสียงของเย่เชียนดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก
เมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดของเย่เชียนดังมาจากปลายสาย แจ็คก็ถึงกับผงะไปชั่วครู่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงฉุนเฉียวขนาดนี้ มันจะเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่แล้วตัวเองดันโทรไปขัดจังหวะแห่งความสุข ? เมื่อนึกถึงสิ่งนั้นขึ้นมาแจ็คก็เหงื่อตกและรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้