เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนจดจ่ออยู่กับการช่วยหลินโรโร่วเก็บเสื้อผ้าของเธอใส่กระเป๋า ซึ่งเขาทำตัวเหมือนเป็นแม่ที่เอาแต่พูดไม่หยุดและคอยถามเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างจู้จี้จุกจิก หลินโรโร่วได้แต่หัวเราะเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ เธอรู้สึกว่าท่าทางของเย่เชียนในตอนนี้นั้นน่ารักมาก
“ลองนึกดูซิว่ามีอะไรที่ต้องเตรียมอีกบ้าง ?” เย่เชียนพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของหลินโรโร่วใส่ลงในกระเป๋าเดินทางแล้วหันไปถาม
“ไม่มีแล้วนะ” หลินโรโร่วพูดพร้อมกับบุ้ยปากเล็กน้อยที่มุมปากของเธอ
“งั้นไปกันเถอะ!” เย่เชียนยกกระเป๋าเดินทางขึ้นและจูงมือเล็ก ๆ ของหลินโรโร่วเดินลงไปชั้นล่าง
ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าเมื่อพวกเขาเดินลงมาที่ชั้นล่าง จะมีรถเก๋งฮอนด้าจอดอยู่ที่หน้าบ้านรออยู่ก่อนแล้ว ในนั้นมีหญิงวัยกลางคนท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอกำลังลดกระจกหน้าต่างรถลงและมองมาที่พวกเขาทั้งสอง
“ขึ้นรถมาเลย” เธอคนนั้นพูดขึ้น
เย่เชียนรู้สึกงุนงงและตกตะลึงเล็กน้อยแต่พยายามปกปิดอาการนั้นเอาไว้ในใจ เขาจ้องไปที่หลินโรโร่วเพื่อรอการตัดสินใจของเธอ
หลินโรโร่วเองก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่สิ่งที่เธอประหลาดใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เป็นการที่หญิงวัยกลางคนคนนั้นมาเห็นเธอและเย่เชียนเดินจับมือลงมาจากชั้นสองด้วยกัน ใบหน้าของเธอที่จ้องมองมายังพวกเขาทั้งสองแดงก่ำในทันที หลังจากชะงักไปชั่วขณะ หลินโรโร่วก็เดินไปข้างหน้าและเปิดประตูรถออก
เย่เชียนจึงเดินไปที่ด้านหลังของรถอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อเปิดท้ายรถและใส่กระเป๋าเดินทางเข้าไป
“มานั่งข้างหน้าสิ!” หลินโรโร่วกำลังจะเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง แต่หญิงวัยกลางคนกลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแบบสั่งการและท่าทางดุดัน ซึ่งหลินโรโร่วนั้นคุ้นเคยกับท่าทีและพฤติกรรมของแม่ของเธอมานานแล้ว หลังจากงุนงงเล็กน้อยเธอก็ย้ายไปนั่งที่เบาะหน้าอย่างเชื่อฟัง
เย่เชียนเหลือบมองปากของเธอเล็กน้อยและเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง และเมื่อเขามองเข้าไปในกระจกมองหลัง เย่เชียนก็ได้พบกับดวงตาของซูเหม่ยที่กำลังจ้องมองกลับมา เธอยิ้มอย่างจริงใจแต่มีดวงตาที่คมกริบ เย่เชียนคิดว่าจะทักทายเธอและเรียกเธอว่า ‘คุณป้า’ แต่เขาก็ต้องกลืนมันลงไปทันที เพราะเขาไม่อาจรู้ได้ว่าแม่ยายในอนาคตของเขานั้นหมดประจำเดือนแล้วหรือยังเขาจึงไม่อยากทำอะไรที่มันหุนหันพลันแล่นจนเกินไป
ซูเหม่ยเหลือบมองไปที่หลินโรโร่วและพูดอย่างตำหนิว่า “ทำไมลูกถึงไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัวของเราล่ะ ?” เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตำหนิหลินโรโร่วที่ตัดสินใจครั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อไปเข้าร่วมโครงการของสภากาชาด
ความสัมพันธ์ของหลินโรโร่วและแม่ของเธอนั้นละเอียดอ่อนมาก ทั้งสองคนไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเป็นเพื่อนสาวอย่างกับครอบครัวทั่วไปเลย แต่ทว่าก็ไม่มีการต่อต้านกดดันหรือว่าข่มเหงเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะบุคลิกที่แตกต่างกันของหลินโรโร่วและซูเหม่ย ทั้งสองคนจึงไม่ได้พูดคุยหรือติดต่ออะไรกันมากนัก แต่ลึก ๆ แล้วทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งคู่นั้นรักกันมาก แค่บุคลิกของซูเหม่ยนั้นเป็นหญิงแกร่งเกินไป เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของหลินโรโร่วและความอ่อนโยนของเธอ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองแม่ลูกมักจะแลกเปลี่ยนคำทักทายที่แสนจะธรรมดา ๆ เท่านั้นแต่ไม่ได้มีความอคติใด ๆ แฝงอยู่ทั้งสิ้น
“พ่อไม่มาเหรอคะ ?”หลินโรโร่วถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“เขาไม่ว่างเลยมาไม่ได้” ซูเหม่ยพูด
“ค่ะ” หลินโรโร่วตอบเรียบ ๆ เธอเหมือนจะต้องการพูดขอบคุณหรืออะไรบางอย่าง แต่เธอกลับกลืนลงไปเมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปากของเธอ เธอเพียงมองถนนข้างหน้าและเงียบไป
บรรยากาศในรถดูอึดอัดและตึงเครียดเล็กน้อย เย่เชียนจึงรวบรวมความกล้าและพูดขึ้นว่า “คุณป้ามาที่เซี่ยงไฮ้เรื่องธุรกิจหรือครับ ?”
“เธอหมายความว่าไง ?” ซูเหม่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่พอใจ เพราะเห็นลูกสาวของเธอออกมาจากบ้านพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งในตอนเช้า ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้ออกจากที่นี่เลยเมื่อคืนนี้ มันจึงทำให้ซูเหม่ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“เอ่อคือ…” เย่เชียนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เขาก็ถูกซูเหม่ยปิดกั้นเอาไว้ เขาจึงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ แต่ถึงยังไงเย่เชียนก็โชคดีระดับนึงที่ตัวเขานั้นมีความกล้าหน้าด้านมากพอที่จะยื้อบทสนทนาต่อไป เพราะครั้งที่แล้วเย่เชียนได้มีโอกาสปะทะวาจากับคุณแม่ยายในอนาคตไปแล้ว เขาจึงได้รู้จักกับเธอมาเล็กน้อย เย่เชียนจึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดต่อไปว่า “ผมเดาว่าป้ามาที่นี่เพื่อมาหาโรโร่วและมาส่งเธอใช่มั้ยครับ ?”
ซูเหม่ยตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะและดูไม่เป็นธรรมชาตินิดหน่อย เพราะเธอมองไปที่เย่เชียนจากกระจกมองหลังและเห็นว่าเด็กคนนี้กำลังมองมาที่เธอเช่นกัน เธอจึงรีบหันกลับไปมองถนนอย่างรวดเร็ว จากมุมมองส่วนตัวซูเหม่ยนั้น เธอไม่ได้เกลียดเย่เชียนเลย และเธอก็เห็นว่าเย่เชียนนั้นไม่มีเหมือนคนหนุ่มสาวที่ใจร้อนและอหังการเหมือนกับคนอื่น ๆ จะว่าไปแล้วตอนนี้เย่เชียนดูมีความเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงขึ้นเล็กน้อย
เย่เชียนรู้ดีว่าซูเหม่ยนั้นไม่ได้มีอคติหรือมีข้อข้องใจกับหลินโรโร่ว ในทางกลับกันเธอนั้นรักลูกสาวคนนี้อย่างจริงแท้เพียงแต่วิธีการแสดงออกของเธอนั้นผิดและไม่สามารถยอมรับได้เล็กน้อย ซูเหม่ยไม่ชอบที่จะแสดงความรักความห่วงใยของเธอออกมาให้ใครเห็น ดังนั้นสิ่งที่เย่เชียนเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อครู่นี้ก็เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกสาวให้เห็นเป็นรูปธรรม
หลินโรโร่วอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่แม่ของเธอด้วยความคาดหวัง เธอหวังว่าจะได้ยินแม่ของเธอพูดว่า ‘ใช่’ จากปากของแม่ของเธอเอง แต่ทว่าซูเหม่ยกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงจ้องมองถนนข้างหน้าราวกับว่าเธอไม่ได้ยินคำพูดของเย่เชียน
หลินโรโร่วจ้องมองเธออย่างผิดหวังเล็กน้อย…
“เมื่อคืนนี้โรโร่วบอกว่าเธอจะต้องไปอยู่ที่นั่นตั้งครึ่งปี และถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะเจอหน้าลุงกับป้าก่อนไป แต่มันก็อาจจะทำให้ลุงกับป้าต้องลำบากใจน่ะครับ” เย่เชียนพูด
“จริงเหรอ ?” การแสดงออกของซูเหม่ยนั้นดูเรียบง่าย แต่ทว่าเธอรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
ซูเหม่ยไม่ชอบแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดภายในใจของเธอมากนัก เธอเป็นคนที่ชอบเก็บความคิดต่าง ๆ เอาไว้ภายในใจของเธอเพียงคนเดียว ด้วยเพราะเหตุนี้เธอจึงไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอของเธอออกมาต่อหน้าของหลินโรโร่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งมันทำให้กลายมาเป็นช่องว่างระหว่างแม่และลูก
หลินโรโร่วต้องการเพียงแค่จะพูดคำว่า ‘หนูรักแม่’ และคำพูดที่อ่อนโยนประโยคอื่น ๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการแสดงออกของซูเหม่ยแล้ว เธอก็มักจะทำได้แค่พูดมันออกมาในใจ
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะแม่และลูกสาวคู่นี้นั้นน่าสนใจจริง ๆ มันเหมือนกับการเคาะระฆังให้ดัง ซึ่งผู้เคาะต้องพยายามเคาะอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้เสียงมันดังกังวาน
“เย่เชียน! อย่าลืมสิ่งที่เธอพูดกับฉันเอาไว้ล่ะ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” ซูเหม่ยพูดอย่างเคร่งขรึมและดุดัน
เย่เชียนยิ้มอย่างขมขื่น เขาเข้าใจความหมายนั้นของซูเหม่ยได้เป็นอย่างดี เพราะเขาพูดและยืนกรานต่อหน้าของซูเหม่ยว่าเขาจะไม่พรากความบริสุทธิ์จากเรือนร่างของหลินโรโร่วไปง่าย ๆ ที่ซูเหม่ยพูดออกมาเช่นนี้ เพราะเธอเพิ่งจะเห็นเขาและหลินโรโร่วเดินลงมาที่ชั้นล่างด้วยกัน มันเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคงอยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ทั้งคืน แน่นอนว่าหัวอกคนเป็นแม่จึงไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับลูกสาวของเธอ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมทำได้อย่างที่บอกแน่นอน” เย่เชียนพูด
ซูเหม่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เธอเชื่อในสิ่งที่เย่เชียนพูด เพราะเรื่องแบบนี้ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันก็คงจะเกิดขึ้นไปนานแล้ว และตอนนี้มันก็สายเกินไปที่จะหยุดมัน
หลินโรโร่วจ้องมองไปที่พวกเขาสองคนด้วยความประหลาดใจและไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ ฟังดูราวกับว่าระหว่างซูเหม่ยและเย่เชียนมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่หลินโรโร่วรู้ดีว่าหากจะมีความลับอะไรล่ะก็ มันจะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเธอเองอย่างแน่นอน