เมื่อพวกเขามาถึงสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตงแล้วก็พบว่ามีเหล่าแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในเมืองเซี่ยงไฮ้จำนวนมากที่มาเข้าร่วมโครงการภารกิจช่วยเหลือของสภากาชาดสากล ต่างคนต่างกำลังกล่าวคำอำลากับครอบครัวของตัวเอง ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นมีทั้งความเศร้าโศก ความปลื้มปีติ บ้างก็ร้องไห้เสียใจ ทว่าหลินโรโร่วกลับมีแต่ความเงียบงัน
เครื่องบินไฟลต์นี้จะบินไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วจากนั้นจึงไปเปลี่ยนเครื่องเพื่อบินต่อไปยังแอฟริกาใต้
เนื่องจากซูเหม่ยอยู่ที่นี่ด้วย เย่เชียนจึงไม่ได้แสดงความอ่อนโยนและความใกล้ชิดกับหลินโรโร่วมากจนเกินไป “ระวังตัวด้วยนะ… ถ้าคุณไปถึงที่นั่นแล้ว อย่าลืมโทรหาผมด้วยล่ะ” เย่เชียนพูดเบา ๆ
หลินโรโร่วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเสียงประกาศของโอเปอเรเตอร์ก็ดังไปทั่วเทอร์มินอลของสนามบิน มันทำให้หลินโรโร่วไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เธอรีบเข้าไปกอดเย่เชียนและร้องไห้เบา ๆ ส่วนซูเหม่ยนั้นเหลือบมองเธอและแอบถอนหายใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เย่เชียนกอดเธอและยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า “ยัยโง่… คุณร้องไห้ทำไม ? คุณไปแค่ครึ่งปีเอง แป๊บเดียวมันก็จบแล้ว” เย่เชียนพูดไปอย่างนั้นแต่อันที่จริงเขาเองก็เศร้าเหมือนกัน แต่ด้วยคำว่าลูกผู้ชายมันค้ำคออยู่ เขาจึงไม่สามารถร้องไห้หรือแสดงออกถึงความเศร้ามากไปกว่านี้ได้ อีกทั้งเขาก็ไม่ต้องการเพิ่มความกดดันทางจิตใจให้กับหลินโรโร่ว
“โรโร่วดูแลตัวเองด้วยนะ” ซูเหม่ยพูดขึ้นในที่สุด นี่เป็นคำพูดที่ดีที่สุดแล้วจากคนเข้มแข็งและไม่ค่อยแสดงออกถึงความอ่อนโยนอย่างเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะดูแตกต่างจากหลินโรโร่วมาก แต่ความเป็นแม่ลูกกันมันไม่มีทางที่จะลบล้างไปได้ พวกเธอแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่า ทั้งสองคนมีความห่วงใยซึ่งกันและกันและรักกันเสมอแม้จะไม่ได้พูดมันออกมาก็ตามที
“แม่!” หลินโรโร่วโผตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเหม่ยพร้อมน้ำตาที่ไหลริน
ซูเหม่ยตัวสั่นเล็กน้อย เพราะสัญชาติญาณของความเป็นแม่นั้นถึงยังไงก็ยังคงเป็นห่วงลูกอยู่ดี หลินโรโร่วจะต้องไปอยู่คนเดียวในต่างแดน แล้วในฐานะคนเป็นแม่เธอจะไม่กังวลได้อย่างไร เมื่อแม่ลูกกอดกันอยู่สักพักหนึ่ง ซูเหม่ยก็พึมพำว่า “เอาหน่า ๆ บางทีการจากการเพียงชั่วคราวอาจจะทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็ได้”
หลินโรโร่วเงยหน้าขึ้นมองซูเหม่ยอย่างว่างเปล่า เธอไม่เข้าใจว่าซูเหม่ยหมายถึงอะไร แต่ทว่าเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าระยะเวลาครึ่งปีนี้ มันคือระยะเวลาที่ข้อตกลงกันระหว่างเขากับซูเหม่ยเริ่มต้นขึ้น มันเป็นโอกาสของเย่เชียนที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคู่ควรกับตำแหน่งเจ้าบ่าวของหลินโรโร่วหรือไม่ ครึ่งปีที่เขามีนี้เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะพิชิตใจแม่ยายคนนี้ให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เย่เชียนเงียบเพื่อให้เวลาอันแสนมีค่าระหว่างแม่และลูกสาว เขาคิดว่าทั้งแม่ลูกคู่นี้นั้นมีการสื่อสารระหว่างกันน้อยเกินไป ซึ่งนี่เป็นโอกาสหนึ่ง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ช่วยผลักดันความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไปมากกว่าหนึ่งก้าว เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยความยินดี เพราะถึงแม้ว่าความขัดแย้งระหว่างพวกเธอทั้งสองนั้นจะไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันแสนสั้นนี้ แต่อย่างน้อยพวกเธอทั้งสองก็เริ่มเข้าถึงหัวใจกันมากขึ้นแล้ว
เสียงประกาศของโอเปอเรเตอร์ดังขึ้นอีกครั้งเพื่อแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรีบขึ้นเครื่องบิน หลินโรโร่วจึงยอมปล่อยกอดจากแม่ของเธอทั้ง ๆ ที่น้ำตายังไหลอยู่ “แม่คะ… แม่ดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าทำงานหนักจนเกินไป อย่าลืมดูแลตัวเองบ้าง พักผ่อนเยอะ ๆ หนูรู้ว่าเย่เชียนเขาอาจจะยังดีไม่พอในสายตาของแม่ แต่หนูหวังว่าแม่จะเข้าใจลูกสาวของแม่คนนี้ ผู้ชายคนนี้เขาไม่ได้เลวร้ายเลยนะแม่”
ซูเหม่ยพยักหน้าและพูดว่า “รีบไปขึ้นเครื่องเถอะ… ลูกเองก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน ถึงนั่นแล้วอย่าลืมโทรหาแม่ด้วย แม่จะได้รู้ว่าลูกปลอดภัยดี”
หลินโรโร่วพยักหน้าและมองไปที่ซูเหม่ย จากนั้นก็หันมองไปที่เย่เชียนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหันหลังเดินเข้าประตูเครื่องบินไป
เย่เชียนและซูเหม่ยต่างก็ยืนกันอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งร่างของหลินโรโร่วหายไปจากระยะสายตาของพวกเขาทั้งสอง เมื่อหลินโรโร่วไปแล้ว เย่เชียนก็มองไปที่ซูเหม่ยอย่างว่างเปล่า เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจนี้ เขาจึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างโง่เขลา
“มาทานมื้อเย็นกับฉันด้วย!” ซูเหม่ยพูดโดยไม่มองไปที่เย่เชียนเลยแม้แต่น้อย พูดจบเธอก็เดินออกไปด้านนอกเทอร์มินอล
ด้วยน้ำเสียงที่ดูบังคับตามแบบฉบับของซูเหม่ย เย่เชียนจึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อพวกเขาทั้งสองมาถึงที่รถแล้ว เย่เชียนก็เปิดประตูรถด้านหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและเข้านั่งลงที่เบาะหน้าข้าง ๆ ซูเหม่ย ซูเหม่ยเพียงแค่หันหน้าไปมองเขาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่นานพวกเขาก็ออกมาจากสนามบินอย่างราบรื่น เย่เชียนผู้ซึ่งขณะนี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจึงหันหน้ามองออกไปด้านนอกรถเพื่อชมทิวทัศน์ข้างทางที่รถแล่นผ่าน
ปลายทางของพวกเขาทั้งสองคือศาลาเซียงเฟย เมื่อจอดรถแล้วพวกเขาทั้งสองก็เดินตรงเข้าไปด้านใน เย่เชียนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพราะเขาทำได้เพียงเดินตามหลังเธอเหมือนคนขับรถของเธอก็ไม่ปาน
“เธอกินอาหารรสเผ็ดได้มั้ย ?” ซูเหม่ยถามพร้อมดูเมนูอาหาร
เย่เชียนชะงักไปชั่วขณะและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ซูเหม่ยไม่ใช่คนเจียงซูหรอกหรือ ? นั่นเป็นเหตุผลว่าเราไม่ควรสั่งอาหารรสเผ็ดอย่างนั้นหรือ ?
“ความเผ็ดร้อนมันสามารถทำให้ฉันมีสติและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาน่ะ” ซูเหม่ยพูดเบา ๆ ไม่ว่าเย่เชียนจะได้ยินมันหรือไม่ก็ตาม เธอยังคงสั่งอาหารสองสามอย่างในคราวเดียว ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นอาหารเสฉวน
“เฉินเซิงมาหาเธอเหรอ ?” ซูเหม่ยถาม
เย่เชียงเพียงพยักหน้าตอบรับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เขารู้ว่าซูเหม่ยต้องมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดอย่างแน่นอน เขาจึงไม่อยากพูดอะไรขัดเธอตตอนนี้และรอให้เธอพูดสิ่งที่เธออยากจะพูดออกมาเอง
ดูเหมือนว่าซูเหม่ยจะพอใจกับคำตอบของเย่เชียน จากนั้นเธอจึงพูดว่า “เธอคิดว่าตัวเธอเองในตอนนี้สามารถไปเทียบอะไรกับเขาได้บ้าง ?”
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ทุกคนมีต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน ทั้งสถานะ ทั้งสภาพแวดล้อม ผมคิดว่าการเผชิญหน้ากับบุคลิกภาพและความคิดที่แตกต่างกันของคนสองคนนั้น มันไม่มีอะไรที่สามารถเทียบกันได้อย่างเป็นรูปธรรม… ผมคิดว่าเขาเป็นคนดีมาก อ่อนโยนและยังเป็นมิตรอีกด้วย”
“แล้วเธอยังคิดเกี่ยวกับความฝันที่น่าเบื่อของเธออยู่มั้ย ?” ซูเหม่ยพูด ถึงแม้ว่าเธอจะชื่นชมเย่เชียนเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกว่าเขาจะเทียบเท่ากับเฉินเซิงคนนั้นได้เลย
ซูเหม่ยจำได้ว่าเย่เชียนเคยพูดเอาไว้ว่าความฝันของเขาคือไม่ต้องการให้หลินโรโร่วต้องเป็นกังวลกับเรื่องใด ๆ แต่ทว่าซูเหม่ยนั้นเชื่อมาเสมอว่าความฝันเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่จินตนาการและความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของคนหนุ่มสาว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เปราะบางมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ไปได้ มันจำเป็นต้องมีความเป็นไปได้ระดับหนึ่งและต้องมีความมั่นคงอีกด้วย อย่างน้อยเย่เชียนก็ต้องฝ่าด่านทำให้ซูเหม่ยต้องยอมรับในตัวเขาให้ได้ แล้วจากนั้นเขาก็ต้องทำให้ตระกูลหลินยอมรับได้เช่นกัน
เย่เชียนยิ้มอย่างเย้ยหยันแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่ผู้หญิงที่ทรงอำนาจและเอาแต่ใจด้วยสายตาและท่าทางที่ยั่วยุเธอ
ซูเหม่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับสายตาแบบนั้นของเย่เชียน จู่ ๆ เธอก็รู้สึกได้ว่าเมื่อเธออยู่ต่อหน้าเย่เชียนแล้วเธอนั้นดูเหมือนจะสูญเสียความเป็นของตัวเองไปเสียอย่างนั้น เพราะไม่ว่าเธอจะสร้างความกดดันอย่างตั้งใจผ่านการสนทนานี้และสิ่งแวดล้อมโดยรอบมากขนาดไหน ทว่ามันกลับทำอะไรเย่เชียนไม่ได้เลย
เมื่อเงียบกันไปสักพักหนึ่ งเย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “อีกไม่กี่วันผมจะไปที่เมืองหนานจิง… เมืองหลวงเก่าของหกราชวงศ์ต้องสั่นสะท้านไปด้วยความสนุกอย่างแน่นอน”
ซูเหม่ยถึงกับผงะและตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินเย่เชียนบอกเธอว่าเขากำลังจะไปทำให้เกิดพายุที่รุนแรงที่เมืองหนานจิง เมื่อเธอเผลอสบตากับเย่เชียนเข้าโดยบังเอิญ เธอก็พบว่าดวงตาของเขานั้นมันลึกราวกับท้องฟ้าอันกวางใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ทันใดนั้นเองซูเหม่ยก็รู้สึกว่าสิ่งที่หลินโรโร่วพูดเอาไว้ก่อนไปนั้นอาจจะถูกที่ว่าผู้ชายคนนี้ที่เธอรัก เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย
มื้อค่ำก็ได้จบลง…
ท้ายที่สุดแล้วซูเหม่ยก็ยังไม่สามารถขจัดความคงอยู่ของเย่เชียนได้และต้องพ่ายแพ้ให้แก่เย่เชียนอีกครั้ง เมื่อเธอเห็นเย่เชียนเดินออกจากศาลาเซียงเฟยไปแล้ว ซูเหม่ยก็กดเบอร์โทรศัพท์ของหลินไห่สามีของเธอทันที
“หลินไห่… ดูเหมือนว่าคุณจะได้พบหนุ่มน้อยคนนี้แล้วนะ เร็ว ๆ นี้แหละ” ซูเหม่ยพูด
หลินไห่อดไม่ได้ที่จะตะลึง เพราะถ้าขนาดภรรยาของเขายังไม่สามารถที่จะหยุดหนุ่มน้อยเย่เชียนคนนี้ได้ นั่นแสดงว่าหนุ่มน้อยคนนี้นั้นไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว “ทำไมเหรอ ?” หลินไห่ถาม
“เขาบอกว่าเขาจะไปที่เมืองหนานจิง… และเขายังบอกอีกว่าเมืองโบราณแห่งหกราชวงศ์กำลังสั่นสะท้านเพราะการมาเยือนของเขา!” ซูเหม่ยพูด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลินไห่ จากนั้นเขาก็พูดว่า “หนุ่มน้อยผู้ทรงอำนาจเหนือใคร ๆ …”