จ้าวหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียน…
อันธพาลกับสุภาพบุรุษนั้นมีความแตกต่างอยู่มากโข เพราะสุภาพบุรุษมักจะแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและให้เกียรติแก่สตรีอยู่เสมอ ทว่าขณะเดียวกันสุภาพบุรุษนั้นก็มีความหยิ่งผยองและโอหังที่ไม่อาจจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ ส่วนอันธพาลนั้นก็เหมือนกันกับเย่เชียน ที่เป็นคนประเภทค่อนข้างจะก้าวร้าวและเป็นตัวของตัวเอง แต่บางครั้งเขาก็มีด้านที่อ่อนโยนและกระทำการบางอย่างออกมาจากใจจริง
ทุกคนในสปาแห่งนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด เว้นเสียแต่เย่เชียนเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ชาย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จ้าวหยาจะมาแก้ผ้าต่อหน้าเย่เชียน จ้าวหยาได้เพียงแต่จ้องมองเย่เชียนอย่างดุร้าย เพราะเธอนั้นพูดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้
ทว่าเย่เชียนนั้นกลับกัน เขากำลังมีความสุขและรู้สึกสนุกสนานไปกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนที่เพิ่งจะดุด่าและว่าเขาเมื่อตะกี๊นี้นั้นหายไปไหนเสียแล้ว ? เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขพลางโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูของฉินหยูว่า “เรามาต่อเรื่องเมื่อคืนกันเถอะ”
ฉินหยูหน้าแดงก่ำทันทีเมื่อเธอนึกเรื่องเมื่อคืน เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ทว่ามีความคาดหวังเล็กน้อยปนอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะชอบทำตัวเหมือนคนขี้โกงและมักจะฉวยโอกาสทุกครั้งก็ตาม แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นเขาช่างดูไร้เดียงสาและแน่นิ่งเหมือนกับท่อนไม้ ฉินหยูนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนและอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าเขาจะทำแบบนั้นอีกใช่มั้ย ?
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ดูคลุมเครือของเย่เชียนและฉินหยูแล้ว จ้าวหยาก็รีบตะโกนออกมาว่า “เดี๋ยวก่อนสิ… จะไปไหนกันน่ะ ฉันอยากไปด้วย!”
“เธอจะไปทำอะไรยัยบ๊อง ?” เย่เชียนพูดพลางเหลือบมองจ้าวหยา
“ถามได้! ฉันก็กลัวว่านายจะไปทำมิดีมิร้ายกับเจ๊หยูน่ะสิ” จ้าวหยาพูดอย่างหมดหนทาง
ความจริงแล้วจ้าวหยารู้สึกอิจฉาในใจเสียมากกว่า เธอได้แต่แอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ อยู่คนเดียวว่าคนที่เย่เชียนกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้คือตัวของเธอเอง เรื่องเมื่อคืนก็เช่นกันที่เธอบังเอิญเดินไปเห็นเย่เชียนและฉินหยูกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ เธอรู้สึกผิดหวังในใจและเสียใจเรื่อยมา แต่เธอก็ยังคงต้องฝืนและเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและอารมณ์ดี ถึงแม้ว่าเธอจะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินหยูจะสามารถเดินไปข้างหน้าในอนาคตกับเย่เชียนได้ก็ตามที
ตอนนี้ความรู้สึกในใจของจ้าวหยานั้นมันขัดแย้งและปั่นป่วนกันอย่างมาก เธอไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกแบบไหนถึงจะถูก!
“เธอมาด้วยก็ได้นะ แต่เธอต้องไถ่โทษและถูกลงโทษเหมือนฉินหยูด้วย” เย่เชียนพูด
“ไม่มีทาง!” จ้าวหยารู้ดีว่าการลงโทษของเย่เชียนนั้นคงไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่างมากเขาอาจจะให้เธอนวดให้เขาหรืออะไรทำนองนั้น ถ้าเย่เชียนต้องการที่จะลงโทษฉินหยู แล้วฉินหยูยอมรับกับบทลงโทษนั้นได้ แล้วทำไมเธอจะยอมรับมันไม่ได้กันล่ะ ?
“เจ๊หยู… บทลงโทษคืออะไรเหรอ ?” จ้าวหยาอดไม่ได้ที่จะถามหลังจากขึ้นรถ
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้แวบขึ้นมาในหัวของฉินหยูอีกครั้ง เธอว้าวุ่นใจแต่ก็คิดอะไรไม่ออก “ก็… เอ่อ…” ฉินหยูอึกอัก จากนั้นเธอก็รีบพูดอย่างร้อนรนว่า “นี่… จะให้ฉันพูดยังไงล่ะ”
จ้าวหยายิ่งสับสนมากกว่าเดิมและคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ได้อยากที่จะนอนกับเธอและฉินหยูพร้อม ๆ กันหรอกใช่มั้ย ? เขาจะไม่ฆ่านกสองตัวด้วยหินเพียงก้อนเดียวหรอกใช่มั้ย ? เมื่อคิดเช่นนั้นจ้าวหยาก็แอบมองไปที่เย่เชียนอย่างเร่าร้อนและคิดกับตัวเองว่า ‘ผู้ชายอย่างนายจะสามารถสู้กับผู้หญิงถึงสองคนได้เหมือนหมาป่าอย่างงั้นเหรอ ?’
“อะไรกัน ? นี่เธอกำลังดูถูกฉันงั้นเหรอ ? อย่าตัดสินกันจากรูปลักษณ์ภายนอกสิ รู้มั้ยว่ากล้ามเนื้อของฉันมันสามารถจัดการเธอให้เละเป็นเศษเค้กได้เลยนะจะบอกให้” ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะสามารถรับรู้ความคิดของจ้าวหยาได้ เมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น จ้าวหยาถึงกับผงะไปชั่วขณะและบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า ‘ฉันจะคอยดู!’ แน่นอนว่าเสียงของจ้าวหยานั้นเบามากเสียจนไม่มีใครได้ยินมันนอกจากตัวเธอเอง
เมื่อเย่เชียนพูดแบบนี้จ้าวหยาก็รู้สึกได้ว่าเธอนั้นมาถูกทางแล้ว แม้ว่าใจนึงเธอจะคาดหวังให้เย่เชียนมองเห็นคุณค่าในตัวเธอมากกว่านี้ก็ตาม แต่อีกใจนึงจ้าวหยาก็ยังคงแอบหวังว่าจะได้อยู่ในบรรยากาศอันสุดแสนโรแมนติกกับเขา และทั้งคู่ก็รักกันในที่สุด ในเมื่อจ้าวหยาไม่สามารถตัดใจจากเขาได้ เธอจึงต้องผลักดันและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้สิ่งที่เธอใฝ่ฝันนั้นสำเร็จในสักวันหนึ่ง แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นเย่เชียนกำลังมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับฉินหยูซึ่งเป็นพี่สาวที่เธอเคารพรัก เพราะเหตุนั้นจ้าวหยาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังและเสียใจอยู่ตลอดเวลา
“มันจะอะไรกันนักกันหนา ? บอกมาเลยดีกว่า ฉันอยากรู้!” จ้าวหยาบ่น
“เฮ้อ! เป่า… เป่า…” ฉินหยูถอนหายใจและเงียบอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
“เป่าอะไร ? บอกฉันมาสิ ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว” จ้าวหยาเริ่มกระวนกระวายและงงงวยมากพลางคิดในใจว่า ‘หรือว่านี่คือบทลงโทษ ?’
“เป่าไอนั่นของเขา!” ในที่สุดฉินหยูก็พูดออกมา หลังจากนั้นเธอก็รีบหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ส่วนเย่เชียนก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“อะไรนะ !?” จ้าวหยาถึงกับผงะและตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ทันใดนั้นจ้าวหยาก็จินตนาการภาพอยู่ในหัวว่าฉินหยูกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าเย่เชียนและกำลังทำอย่างว่าให้เขาอยู่ ในขณะที่เย่เชียนยืนยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เมื่อจ้าวหยาคิดแบบนั้นเ ธอก็รู้สึกเขินอายและคิดว่าผู้ชายคนนี้ไร้ยางอายเกินไป เขาคิดแต่เรื่องน่าเกลียด ๆ แบบนี้ได้อย่างไร
“ชู่! เธออย่าเสียงดังสิ มันน่าตื่นเต้นดีออก หึ ๆ ๆ ” เย่เชียนพูดและหัวเราะ
“นี่นาย ! นายมัน…” จ้าวหยาโกรธเกรี้ยวแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “โอ๊ย! นายคิดว่าฉันกลัวเหรอ ?”
“โอ้… แม่สาวน้อย ดูท่าเธอจะมีประสบการณ์เยอะเลยล่ะสินะ เธอคงไม่ได้แอบฝึกอย่างลับ ๆ ตอนกลางคืนบ่อย ๆ ใช่มั้ย ?” เย่เชียนพูด
“ไอ้บ้านี่! เอาซี้… ถ้านายกล้าเอามันออกมา ฉันจะกัดมันให้ขาดเลยคอยดู!” จ้าวหยาพูดอย่างเกรี้ยวกราด แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอนั้นเป็นแค่ผู้หญิงปากแข็ง เพราะเธอนั้นไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาก่อน และตอนนี้หัวใจของเธอก็กำลังปั่นป่วนอย่างมาก
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านของฉินหยู…
สิ่งที่ทำให้ฉินหยูและจ้าวหยาตกตะลึงก็คือ พวกเธอไม่รู้ว่าเย่เชียนไปเอาขลุ่ยไม้ไผ่สองอันมาจากไหน เขาส่งมันให้กับพวกเธอและปล่อยให้พวกเธองุนงงจนทำอะไรไม่ถูก นี่… นี่เหรอที่เขาพูด ? ฉินหยูและจ้าวหยาถึงกับแน่นิ่งไป เมื่อพวกเธอรู้ว่าพวกเธอนั้นถูกเย่เชียนกลั่นแกล้งอีกแล้ว อันที่จริงเย่เชียนรู้มานานแล้วว่าฉินหยูและจ้าวหยาเคยเข้าร่วมประกวดและแข่งขันมากมายเกี่ยวกับการเป่าขลุ่ย และพวกเธอก็เคยได้รับรางวัลใหญ่ในการแข่งขันระดับชาติมากมายด้วย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้หญิงทั้งสองคนแล้ว เย่เชียนก็แอบหัวเราะอยู่ในลำคอเบา ๆ และความรู้สึกไม่ดีต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในใจของเขาก็ถูกขจัดออกไปในที่สุด “พวกเธอมัวยืนทำอะไรกันอยู่น่ะ เอ้า! แค่นี้ยังเล่นกันไม่ได้เลยแล้วในอนาคตจะหาคู่แต่งงานกันได้มั้ยเนี่ย ?”
เมื่อฉินหยูและจ้าวหยารู้ตัวว่าพวกเธอถูกแกล้งเข้าแล้ว ในที่สุดพวกเธอก็โล่งใจขึ้น
ตอนนี้เย่เชียนดูเหมือนคุณตาแก่ ๆ ที่เอนกายลงบนโซฟาดูและเฝ้าดูหลานสาวอย่างมีความสุข เขานอนดูพวกเธออย่างสนุกสนาน จากนั้นก็พูดว่า “มัวยืนทำอะไรกันอยู่เล่า! เป่ามันสิ!”
“ทำไมฉันถึงต้องเป่ามันด้วยล่ะ นายยังไม่ได้บอกเราเลยว่าทำไมวันนี้นายถึงได้โกรธโดยไม่มีเหตุผลขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” จ้าวหยาพูด
เย่เชียนส่ายหัวน้อย ๆ จากนั้นก็จำใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียด เมื่อฟังเย่เชียนเล่าจนจบ ฉินหยูและจ้าวหยาก็แทบจะไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์นั้นมันน่าตื่นเต้นและน่าหวาดเสียวแค่ไหน พวกเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้พวกเธอเกือบจะตายจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นทั้งฉินหยูและจ้าวหยาต่างก็เหงื่อแตกท่วมตัว
ทั้งสองคนไม่ได้กลัวความตายแต่อย่างใด พวกเธอแค่รู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้รู้ว่าตัวเองเกือบจะสิ้นลมหายใจไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ในตอนนี้ทั้งสองคนไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปแล้วที่เย่เชียนจะมีอารมณ์ร้ายและโกรธพวกเธอขนาดนั้น และพวกเธอก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเขาเลย ในทางกลับกันหัวใจของพวกเธอนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างไม่รู้จบ เพราะสิ่งที่เย่เชียนแสดงออกมานั้นมันหมายถึงเขากำลังห่วงใยพวกเธอและต้องการที่จะปกป้องพวกเธอให้พ้นจากพยันอันตราย
จากนั้นฉินหยูและจ้าวหยาก็มองหน้ากันและทำนองเพลง ‘ยอดนักรบ’ ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง