แอ๊ดดดดด!
จู่ ๆ ฉินเทียนก็เปิดประตูเข้ามาในบ้าน เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะในตอนนี้เย่เชียนนั้นดูเหมือนจักรพรรดิในอดีตที่กำลังนอนเอนกายลงบนโซฟา เขานอนตะแคงอย่างสบาย ๆ ดูเหล่านางสนมซึ่งกำลังทำการแสดงดนตรีให้เขาฟัง อีกทั้งบนโต๊ะกาแฟตรงหน้ายังมีจานผลไม้จานใหญ่ที่เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิดวางอยู่
ฉินเทียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาได้แต่แอบสงสัยอยู่คนเดียวในใจว่าเด็กน้อยคนนี้คือลูกสาวของเขาจริง ๆ อย่างงั้นหรือ ? เพราะในความทรงจำของเขานั้น ฉินหยูไม่เคยมีใบหน้าที่ดูมีความสุขและสบายใจต่อผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย แม้ตัวเขาเองที่เป็นพ่อของเธอยังแทบไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่สุขสบายใจบนใบหน้าของฉินหยูมากนัก แต่ทว่าในตอนนี้ฉินหยูลูกสาวของเขากำลังบรรเลงเพลงให้กับชายที่ชื่อเย่เชียนคนนี้อยู่อย่างมีความสุข ฉินเทียนถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความปลื้มปิติและคิดว่าเย่เชียนคนนี้แหละที่จะมาเป็นวีรบุรุษสำหรับเขาและลูกสาวของเขา
เมื่อเห็นฉินเทียนเข้ามา ฉินหยูและจ้าวหยาต่างก็หยุดบรรเลงเพลงและร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ
“พ่อ!”
“ลุง!”
เย่เชียนหันหน้าไปมองฉินเทียน จากนั้นเขาก็ยิ้มให้และพูดว่า “อ้าว… ลุงฉิน มาได้ยังไงครับ เชิญนั่งก่อน”
ฉินเทียนเดินไปนั่งลงตรงข้ามเย่เชียนด้วยความสับสนและถามด้วยความงุนงงว่า “เย่เชียน… นี่พวกหลานกำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือ ?”
“อ๋อ… ไม่มีอะไรหรอกครับ วันนี้พวกเธออารมณ์ดีก็เลยมาเล่นดนตรีให้ผมฟัง พวกเธอเนี่ยทั้งสวยทั้งเก่งเลยนะครับ ผมนี่มีความสุขสุด ๆ ไปเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อฉินเทียนหันไปมองฉินหยูและจ้าวหยาด้วยความสับสน เขาก็เห็นใบหน้าของสองสาวแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก่อนนั้นฉินเทียนนั้นเป็นคนที่โรแมนติกมาก เมื่อครั้งที่เขายังหนุ่มยังแน่นเขาเองก็เคยทำอะไรแปลก ๆ ให้กับหลางหมานแม่ของฉินหยูเช่นกัน ดังนั้นเมื่อฉินเทียนเดินเข้ามาเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยทำให้กับหลางหมานเมื่อสมัยก่อน เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่งี่เง่าอีกต่อไปแล้ว
“พ่อคุยกับเย่เชียนไปนะ… เดี๋ยวพวกหนูจะขึ้นไปข้างบนแล้ว” ฉินหยูพูดอย่างประหม่า
“ไม่ต้องหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกกับเย่เชียนว่าฉันซื้อตั๋วเครื่องบินให้แล้ว และอยากจะมาคอนเฟิร์มกับเขาอีกทีว่าเขายังอยากจะไปหนานจิงกับฉันอยู่มั้ย” ฉินเทียนพูด
“เร่งด่วนขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่! มีบางอย่างเร่งด่วนเกิดขึ้นที่นั่น” ฉินเทียนพูดอย่างเรียบง่ายและใบหน้าของเขาก็ไม่เคร่งขรึมมากนัก ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถเดาได้ว่าเรื่องนี้นั้นมันร้ายแรงมากแค่ไหน
“ครับลุง!” เย่เชียนตอบพร้อมกับยืนขึ้นและพูดว่า “งั้นเราไปกันเลย”
ฉินเทียนมองไปที่เย่เชียน จากนั้นก็มองไปที่ฉินหยูสลับกันไปมา แล้วจู่ ๆ เขาก็ยิ้มอย่างคลุมเครือและพูดว่า “พวกเธอสองคนจะไม่บอกลากันหน่อยหรือ ?”
เย่เชียนเกาหัวอย่างเชื่องช้าและโง่เขลาจากนั้นก็พูดว่า “ลุงฉิน… ที่ลุงพูดน่ะลุงไม่ได้หมายความว่าให้ผมจูบลาเธอต่อหน้าลุงหรอกใช่มั้ยครับ ?”
ฉินหยูจ้องมองไปที่เย่เชียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ฉินเทียนยิ้มและพูดว่า “หึ ๆ ๆ ฉันจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของคนหนุ่มสาวหรอก ฉันว่าพวกเธอเคลียร์กันเอาเองดีกว่า”
“พ่อ! ทำไมพ่อถึงต้องพูดเล่นต่อหน้าเย่เชียนด้วย” ฉินหยูมองฉินเทียนอย่างตำหนิ
ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
“พ่ออย่า…” ฉินหยูอ้าปากพูด แต่ฉินหยูถูกฉินเทียนขัดจังหวะก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร
“ที่เขาพูด ๆ กันว่าเมื่อหญิงสาวเห็นชายหนุ่มต้องจากไปไกล พวกเธอก็จะคอยกังวลเกี่ยวกับเขาเสมอ มันคงจะจริงอย่างที่เขาว่ากันสินะ เฮ้อ! เอาล่ะ… ลูกไม่ต้องกังวลไป พ่อจะดูแลเย่เชียนให้เอง พ่อจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายแฟนของลูกหรอก” ฉินเทียนถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “รถรออยู่ข้างนอกแล้ว… เราไปกันเถอะ”
……
หนานจิงเป็นเมืองหลวงเก่าแก่แห่งหกราชวงศ์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่าเมืองหนานจิงแห่งนี้มีมรดกและพรสวรรค์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังถือได้ว่าเป็นมังกรโบราณแห่งประเทศจีน ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นก็ไม่มีใครทราบได้ ถึงแม้ว่าหนานจิงจะไม่เหมือนกับเซี่ยงไฮ้ที่เป็นถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ และไม่เหมือนกับเมืองเกียวโตแห่งญี่ปุ่นซึ่งเป็นมรดกของโลกก็ตาม แต่หนานจิงก็เป็นถึงสมรภูมิของนักยุทธศาสตร์ทางการทหาร
หนานจิงมีวัฒนธรรมที่สง่างามและสถานที่ทางประวัติศาสตร์นับไม่ถ้วน อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งที่ติดกับแม่น้ำแยงซี ซึ่งในเมืองหนานจิงนั้นก็แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เฉินฟู่เฉิง เลย เขาเป็นดั่งฮีโร่ที่ลุกขึ้นมาจากเบื้องล่างและชีวิตของเขานั้นคือตำนานของสามัญชนคนธรรมดา
แต่เฉินฟู่เฉิงคือใครนั้น ? คนนอกอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้
ช่วงเวลานี้สังคมกำลังให้ความสำคัญไปกับสิ่งที่ให้ความรุ่งเรืองอย่างเงียบ ๆ ผู้คนที่นี่สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาจากไฟรวมไปถึงการหล่อทองคำ แต่ทว่าสายลมอันรุนแรงดั่งพายุได้พัดโหมกระหน่ำและทำลายมันจนหายไปเสียหมด เหลือไว้เพียงแค่หมอกควันอันว่างเปล่าและน้ำที่ไหลท่วมจนไปเชื่อมถึงแกนของทะเลอันกว้างใหญ่
เมื่อเทียบกับฉินเทียนแล้ว เฉินฟู่เฉิงนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรมากนัก
ในสังคมปัจจุบันนั้นหากใครมีทรัพยากรทางสังคมมากกว่า ผู้นั้นก็จะมีอำนาจมากกว่าเช่นกัน ทว่าธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ดินมันกำลังทำให้เกิดธุรกิจหลายแห่งค่อย ๆ กลายไปเป็นเบื้องหน้าของคนใหญ่คนโตที่ฟอกตัวเองขึ้นมาภายใต้แสงไฟริบหรี่ของสื่อมวลชน พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยและได้รับการยอมรับยกย่อง ทำให้สามารถเดินไปมาระหว่างรัฐบาลและห้างสรรพสินค้าได้อย่างสบายใจ พวกเขาหยิ่งผยองและโอหังยิ่งนัก ทว่าถ้าหากพวกเขาปราศจากเบื้องหลังที่คอยหนุนอยู่อย่างลับ ๆ แล้วล่ะก็ พวกเขาเหล่านั้นจะถูกพิพากษาและต้องความตายในความมืด อย่าไปพูดถึงความมีน้ำใจหรือความเมตตาเลย เพราะสมัยนี้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าจำเป็นที่จะต้องเหยียบเถ้าและกระดูกของฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากเพื่อปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุด พวกเขาต้องฉลาดปราดเปรื่องในทุก ๆ ด้าน และวิธีการที่จะปสู่จุดสูงสุดได้นั้นมันช่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมสิ้นดี…
อย่างไรก็ตามเฉินฟู่เฉิงนั้นไม่เหมือนกับยักษ์ใหญ่คนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนมีจิตใจเมตตามาแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันทำให้บางทีในสายตาของคนบางคน เฉินฟู่เฉิงนั้นอาจดูไม่เหมือนพวกลูกผู้ชายและขาดความโดดเด่นไปเสียหน่อย ทว่าฉินเทียนนั้นรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนประเภทนั้น มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งในปัจจุบันของเขาได้อย่างแน่นอน
เฉินฟู่เฉิงที่เป็นดั่งตำนาน ทว่าก็เป็นโศกนาฏกรรมเช่นกัน เพราะในยุคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนชั้นสูงที่ประจบสอพลอความใจกว้างของเฉินฟู่เฉิงนั้นทำให้เขามีชื่อเสียงและได้รับการเคารพ แต่เขาเองก็ต้องพบกับความสูญเสียมากมายเช่นกันจนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างฉินเทียนและเฉินฟู่เฉิงนั้นเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน นอกจากคนสนิทของทั้งสองคนแล้วแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นจำกัดเฉพาะความรักระหว่างเพื่อนและไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ที่มาเกี่ยวข้อง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉินเทียนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของเขา เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนที่อยู่ในสถานะอย่างพวกเขาจะมีเพื่อนที่จริงใจต่อกันได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงรักมิตรภาพนี้และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องมิตรภาพนี้เอาไว้ให้คงอยู่ตลอดกาล รวมไปถึงป้องกันไม่ให้มีส่วนร่วมในผลประโยชน์ใด ๆ ระหว่างกัน
ณ เวลานี้เฉินฟู่เฉิงนั้นกำลังป่วยหนัก ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายและเสี่ยงตายได้ทุกเมื่อ นี่คือเหตุผลที่ฉินเทียนไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เขาจึงรีบไปที่หนานจิง ฉินเทียนรู้ดีว่าเฉินฟู่เฉิงนั้นเหนื่อยมามาก อีกทั้งยังต้องสู้กับความเจ็บป่วยมาโดยตลอด การมีชีวิตอยู่ของเฉินฟู่เฉิงนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่น ๆ เพราะเฉินฟู่เฉิงวางแผนเพื่อคนอื่นมาตลอดชีวิตและไม่เคยมีความสุขกับโลกอันงดงามที่เขาสร้างเอาไว้เลย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เฉินฟู่เฉิงรู้สึกไม่สบายใจและตายตาไม่หลับก็คือ เขานั้นไม่มีผู้สืบทอด!