ในด้านของการบริหารบริษัทนั้นเย่เชียนอาจเป็นคนที่ไม่เหมาะสมมากนัก เพราะเย่เชียนมีความสามารถในการเข้าหาผู้คนและใช้ประโยชน์จากพวกเขาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียมากกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นเจ้าคนนายคนคือต้องทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของลูกน้องให้ได้ และเป็นเสาหลักในการวางแผนงานวางคนให้ถูกกับงาน โดยที่ตัวเองนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งไปเสียทุกอย่าง
เย่เชียนกวาดสายตาเพื่อไล่ดูข้อมูลและงบการเงินที่เฉิงเหวินนำมาให้เขา จากนั้นเย่เชียนก็ส่งมันให้กับซ่งหลันและขอให้เธอช่วยดูมันให้เขาอีกที ซึ่งซ่งหลันเองก็ไม่ได้บ่นอะไรเลยสักคำ เพราะหลังจากที่เธอได้ยินเย่เชียนเรียกเธอว่านางฟ้าแล้ว เธอก็รีบมาที่เมืองหนานจิงด้วยความเต็มใจทันที
“พี่หลันหลันเป็นไงบ้าง ?” เย่เชียนถามอย่างจริงจัง
“นายนี่นะ… ขนาดบริษัทของตัวเองนายยังไม่คิดที่จะทำอะไรเลย แต่ดันรับปากจะไปช่วยคนอื่น” ซ่งหลันกระซิบและพูดว่า “สงสัยคืนนี้ฉันคงจะทำให้นายเหนื่อยสักหน่อยซะแล้ว”
คำพูดของซ่งหลันทำให้เย่เชียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองได้ก้าวเข้ามาเป็นซีอีโอของบริษัทของเฉินฟู่เฉิง ซึ่งนี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการเลย มิฉะนั้นป่านนี้เขาก็คงจะเป็นซีอีโอของบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปของตัวเองไปแล้ว เขาคิดเพียงแค่ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเฉินฟู่เฉิงก่อนตายเท่านั้น แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นมาถึงขั้นนี้ เย่เชียนคิดว่าเขาคงช่วยทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ มีเสถียรภาพก่อน แล้วจึงค่อยปล่อยให้คนที่เขาไว้ใจได้เข้ามาจัดการแทนเช่นเดียวกันกับบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปที่เขาได้ให้ซ่งหลันดูแลนั่นเอง
บริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปมีเบื้องหน้าเป็นบริษัทการเงินชั้นนำของโลก ในบริษัทมีทั้งนักบัญชีและนักตรวจสอบบัญชี รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณต่าง ๆ ซึ่งทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของโลกทั้งนั้น แม้ว่าอุตสาหกรรมของเฉินฟู่เฉิงจะมีขนาดใหญ่โตและซับซ้อนก็ตาม แต่มันก็ไม่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา
หลังจากที่เย่เชียนได้รับข้อมูลคืนมาจากซ่งหลัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น เพราะถึงแม้ว่าเฉินฟู่เฉิงจะเป็นวีรบุรุษผู้ก่อตั้งรุ่นแรก ๆ แต่ความใจดีของเขาที่ไว้ใจให้คนอื่นดูแลบริษัทนั้นมันทำให้การเข้ามารับช่วงต่อของเย่เชียนมีความยากขึ้นไปอีก ดูแล้วเฉินฟู่เฉิงน่าจะเพียงแค่ขอรายงานรายเดือนเกี่ยวกับการเงินและเงื่อนไขการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนั้น ทำให้หลายปีที่ผ่านมาเหล่าผู้บริหารและผู้จัดการเป็นเสมือนดั่งจักรพรรดิในพรมแดนที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
แม้ว่าแนวทางของเย่เชียนจะคล้ายกับเฉินฟู่เฉิงมาก แต่เย่เชียนนั้นมีความรอบคอบมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเขี้ยวหมาป่าหรือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ป เขาเองเป็นผู้แนะนำทิศทางการพัฒนาหลักทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นพวกพี่น้องในกลุ่มเขี้ยวหมาป่าและซ่งหลันยังถือได้ว่าเป็นมิตรแท้และพี่น้องที่เย่เชียนแลกมาด้วยชีวิต ซึ่งมิตรภาพแบบนั้นมันแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและผู้จัดการของเฉินฟู่เฉิงมากเลยทีเดียว
เย่เชียนครุ่นคิดขณะที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “หวนเฟิง… นายว่าเราควรทำไงต่อไปดี ?” เย่เชียนถาม
“ฆ่า!” การแสดงออกของอู๋หวนเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง
คิ้วที่ขมวดอยู่ของเย่เชียนค่อย ๆ คลายออกและรอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา การใช้วิธีตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อมเพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาคับขันนั้นเป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดทุกยุคทุกสมัย เย่เชียนไม่สนใจว่าคนอื่นจะเรียกเขาว่าอันธพาลหรืออสูรร้ายผู้หิวโหย เพราะประวัติศาสตร์มักจะถูกเขียนโดยคนที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่ชนะเสมอ หากจะพูดว่าเฉินฟู่เฉิงให้ความสำคัญกับวิถีกษัตริย์ในการปกครองล่ะก็ เย่เชียนก็คงจะให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ครอบครองโลกและทุกสรรพสิ่ง
“โทรหาพวกผู้จัดการทั้งหมดและนัดประชุมตอนแปดโมงเช้าของวันพรุ่งนี้” เย่เชียนกดโทรหาเฉิงเหวินและออกคำสั่ง
ขณะนั้นเป็นเวลาตีสี่ซึ่งเฉิงเหวินนั้นกำลังหลับอยู่ แต่เมื่อเขาตื่นมากดรับสายของเย่เชียน เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจากนั้นคลื่นแห่งความสุขก็ผุดขึ้นในใจของเขา เพราะเขารู้ได้ว่าเย่เชียนกำลังเรื่มที่จะกระทำการอะไรบางอย่าง หลังจากที่วางสายแล้วเฉิงเหวินก็รีบติดต่อไปยังพวกผู้จัดการเพื่อให้มาประชุมกันที่บริษัทในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเหล่าบรรดาผู้บริหารและผู้จัดการได้รับโทรศัพท์จากเฉิงเหวิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะทุกคนรู้ดีว่าทันทีที่เฉินฟู่เฉิงล่วงลับไป บริษัทก็จะต้องเลือกผู้สืบทอดคนใหม่และใคร ๆ ก็แอบเฝ้าฝันถึงบัลลังก์นี้กันทั้งนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้ยินเฉิงเหวินพูดว่าบริษัทมีซีอีโอคนใหม่แล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสียและขุ่นเคืองใจกันเป็นอย่างมาก คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ทางธุรกิจ ซึ่งเฉินฟู่เฉิงนั้นไม่เคยรั้งพวกเขาไว้ได้เลยในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แล้วนับประสาอะไรกับผู้สืบทอดคนใหม่ ? หลังจากนั้นพวกเขาก็หายง่วงในทันทีและเริ่มโทรศัพท์เพื่อหารือเกี่ยวกับการประชุมในวันพรุ่งนี้
“หวนเฟิง… นายเองก็เตรียมตัวไปประชุมด้วยนะ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญของเรา” เย่เชียนพูดขณะที่เหลือบมองไปยังอู๋หวนเฟิง
เย่เชียนรู้ดีว่าหากตัวเองต้องการที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัทของเฉินฟู่เฉิง เขาจะยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากพวกผู้บริหารและผู้จัดการเหล่านั้นอยู่ และเย่เชียนไม่สามารถกวาดล้างคนเก่า ๆ ทั้งหมดได้ในทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธาน ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ เขาต้องรอจนกว่าจะได้พบกับคนเหล่านี้อย่างเป็นทางการและคอยสังเกตพฤติกรรมของพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่เย่เชียนเข้าใจพวกเขาแล้ว เขาถึงจะสามารถดำเนินการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เย่เชียนก็เปลี่ยนชุดและไปที่ห้องประชุมของสโมสรในอุตสาหกรรมการผลิตของเฉินฟู่เฉิง แม้ว่าเขาจะนัดการประชุมตอนแปดโมงเช้า แต่กว่าที่เย่เชียนจะมาถึงนั้นก็เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว ทว่านั่นเป็นเพราะเขาจงใจสร้างความรู้สึกบีบคั้นและกดดันให้กับผู้เข้าร่วมประชุม
เฉิงเหวินกำลังยืนรอเย่เชียนอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นรถที่เคยเป็นรถประจำตำแหน่งของเฉินฟู่เฉิงขับเข้ามา เขาก็รีบทักทายเย่เชียนในทันที “ท่านประธาน!”
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรียกผมว่าเย่เชียนเถอะครับ… ทุกคนมากันแล้วใช่มั้ย ?”
“มากันเกือบครบแล้วครับ เหลือแค่อีกคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง” เฉิงเหวินตอบ
เฉิงเหวินรู้ดีว่าสาเหตุที่เย่เชียนถ่อมตัวลงก็เพื่อที่จะเอาชนะใจเขา ทว่าสำหรับเฉิงเหวินแล้ว ตราบใดที่เย่เชียนสามารถทำให้ผู้จัดการตกตะลึงกันได้ เขาก็จะยอมรับตัวตนของเย่เชียนและเต็มใจที่จะทำงานให้กับเขาอย่างสุดความสามารถ
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “คุณไม่ได้แจ้งเขาเหรอ ?”
“แจ้งไปแล้วครับเมื่อคืนนี้… แต่อาจมีบางอย่างที่ทำให้เขามาช้า” เฉิงเหวินพูด
เย่เชียนยิ้มมุมปากและจับไหล่ของเฉิงเหวินเบา ๆ “เขาอยากที่จะหักหน้าผมใช่มั้ย… งั้นดีเลย!”
คำพูดของเย่เชียนนั้นครุมเครือมาก เฉิงเหวินจึงได้แต่เหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ไปกันเถอะ ทุกคนน่าจะรอกันอย่างใจจดใจจ่อแล้ว”
พูดจบเย่เชียนก็เดินเข้าไปข้างใน ส่วนอู๋หวนเฟิงก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าใด ๆ เลย เฉิงเหวินจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำทางเย่เชียน