เมื่อเห็นสายตาของเย่เชียนที่จ้องมองมาที่ตัวเอง เล่ยไท่ก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในถ้ำน้ำแข็งแทนที่จะเป็นห้องประชุมของสโมสร และความกลัวก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจเขา คนอย่างเล่ยไท่นั้นคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตสุขสบาย มีลูกน้องมากมายคอยปกป้องอารักขาอยู่ไม่ห่าง ยิ่งพอลูกน้องทั้งห้าคนของเขาตายไป เขาก็รู้สึกกลัวตายขึ้นมาจับใจ
เมื่อเห็นเย่เชียนเดินมาหาเขาทีละก้าว ๆ เล่ยไท่ก็พูดว่า “แกคิดจะทำอะไรของแกน่ะ ? ถ้าแกกล้ามาทำอะไรฉันล่ะก็ แกอย่าได้หวังเลยว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่น่ะ!”
ทว่ามีเพียงรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียน…
“ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะทำได้อย่างที่พูดมั้ย!” ทันทีที่พูดจบเย่เชียนโผเข้าไปต่อยเล่ยไท่
การที่เล่ยไท่ถูกเฉินฟู่เฉิงเลือกให้เป็นผู้ดูแลธุรกิจสถานบันเทิงนั้น นั่นก็หมายความว่าฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ใช่ย่อยเช่นกัน เมื่อเล่ยไท่เห็นหมัดของเย่เชียนพุ่งมาทางเขา เขาก็กำหมัดแน่นพร้อมกับตะโกนว่า “มาสิวะไอ้อ่อนเอ้ย!”
เย่เชียนจงใจประสานหมัดของตัวเองเข้ากับหมัดของเล่ยไท่ แม้ว่าหากเทียบขนาดของร่างกายระหว่างเย่เชียนกับเล่ยไท่แล้ว ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะเป็นรองเล่ยไท่อยู่มาก แต่ทว่าจากการฝึกฝนวิชาการต่อสู้แบบผสมผสานอย่างหนักของเย่เชียน มันก็ทำให้เขารู้เทคนิคการต่อสู้กับคนที่มีร่างกายกำยำกว่า
กรึ่ก!
เสียงกระดูกแตก! ร่างกำยำของเล่ยไท่ถึงกับเซถอยหลังออกไปจากแรงหมัดของเย่เชียน ทั้งกระดูกนิ้วและกระดูกมือต่างก็หักลงทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เย่เชียนไม่รอช้ากระโดดพุ่งตัวตามร่างของเล่ยไท่ไปอย่างรวดเร็ว หมัดอันทรงพลังของเย่เชียนถูกปล่อยมาอีกครั้งและเข้าปะทะเข้ากับร่างของเล่ยไท่ ส่งผลให้ร่างของเขาลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงและล้มลงกับพื้น
เหล่าบรรดาผู้บริหารที่อยู่ในห้องต่างก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนจะเก่งกล้ามากจนสามารถเอาชนะเล่ยไท่ได้ ซึ่งเล่ยไท่นั้นเคยเป็นที่รู้จักในฐานะอันธพาลและนักสู้อันดับหนึ่งของเฉินฟู่เฉิง ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้กลิ่นอายแห่งจิตสังหารและเจตนาฆ่าที่หลั่งไหลออกมาจากเย่เชียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดา ๆ จะมีได้เลย เพราะการที่จะมีเจตนาฆ่าที่รุนแรงเช่นนี้ได้นั้น คนคนนั้นจะต้องเผชิญกับชีวิตและความตายมาอย่างนับไม่ถ้วนถึงจะสามารถสั่งสมกลิ่นอายแห่งจิตสังหารได้อย่างรุนแรงขนาดนี้
ในตอนนี้เองที่กู๋หมิงเซียงรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นโชคดีมากขนาดไหนที่เย่เชียนไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา มิฉะนั้นป่านนี้เขาคงจะกลายเป็นศพไปเสียแล้ว
เย่เชียนย่างเท้าเข้าไปหาเล่ยไท่ด้วยความดุดันแล้วนั่งลงบนตัวเขา ทันใดนั้นเองหมัดอันทรงพลังก็ถูกปล่อยออกไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มันเข้าไปปะทะที่หัวของเล่ยไท่อย่างจัง ไม่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่เย่เชียนรัวหมัดเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้งทำให้เหล่าผู้บริหารที่เหลืออยู่อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนตัวสั่น
วินาทีนี้เองที่ประตูห้องประชุมถูกกระแทกเปิดออกแล้วกลุ่มคนราว ๆ ยี่สิบคนก็พากันวิ่งเข้ามาอย่างชุลมุน เล่ยไท่คงวางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าเขาและคนที่เข้ามาก่อนหน้านี้เสียท่าให้กับประธานคนใหม่ กลุ่มคนที่เหลือที่รออยู่ด้านนอกจะเข้ามาเป็นกำลังเสริม ทว่า… มันอาจจะไม่ทันเสียแล้ว
เจตนาฆ่าที่รุนแรงปรากฏขึ้นในดวงตาของอู๋หวนเฟิง เขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าคนทั้งยี่สิบคนนั้น ในขณะเดียวกันอันธพาลทั้งยี่สิบคนต่างก็จ้องมองไปยังเล่ยไท่ที่กำลังถูกเย่เชียนต่อยเสียจนหน้าเละตุ้มเป๊ะ ตาของพวกเขาเบิกกว้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนทั้งหมดกำลังเสียอาการมากขนาดไหน
มันจบแล้ว… สภาพของเล่ยไท่ในตอนนี้ไม่เหลือคราบของความหยิ่งยะโสที่เขามีเมื่อก่อนหน้านี้อีกต่อไป ไม่มีแม้แต่เสียร้องของความเจ็บปวด หากไม่รู้มาก่อนว่าร่างแน่นิ่งที่กองอยู่บนพื้นนั่นคือเล่ยไท่ อันธพาลผู้มีชื่อเสียงในย่านหยางกวนคงจะไม่มีใครเดาถูกเลยว่าเป็นเขา
เย่เชียนเช็ดคราบเลือดออกจากมือของตัวเองบนเสื้อของเล่ยไท่แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็มองไปยังคนยี่สิบคนที่กำลังประหลาดใจกันอยู่ จากนั้นเย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “เล่ยไท่ก่อกบฏ! เขากล้าทรยศและฝ่าฝืนกฎที่ท่านประธานเฉินตั้งเอาไว้ แต่ตอนนี้มันได้รับการแก้ไขแล้ว… ผมจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งถ้าในอนาคตพวกคุณทุกคนจะตั้งใจทำงานและอุทิศตนให้กับบริษัท”
ในเมื่อเล่ยไท่นั้นจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ อันธพาลที่เหลือก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะสู้ต่อไปอีก พวกเขาทั้งยี่สิบคนต่างก็คุกเข่าลงและตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ขอบคุณครับเจ้านาย… สำหรับความเมตตากรุณา!”
เย่เชียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ… พวกคุณช่วยเอาร่างของเล่ยไท่ออกไปที ถึงแม้ว่าเขาจะก่อกบฏและเป็นคนทรยศก็ตาม แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำขนาดนั้น ในเมื่อเขาเองก็เป็นหนึ่งกลุ่มผู้ก่อตั้งและติดตามท่านประธานมาอย่างยาวนาน เพราะงั้นจัดงานศพของเขาให้สมเกียรติด้วย”
คนเหล่านั้นตอบรับและเดินแบกร่างของเล่ยไท่ออกไป
เย่เชียนกลับไปยังที่นั่งของเขาแล้วหยิบบุหรี่ออกมา ผู้บริหารคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นก็รีบยื่นไฟแช็กให้เย่เชียนเพื่อจุดบุหรี่ เย่เชียนยิ้มรับด้วยความพึงพอใจและเอนหลังพิงเก้าอี้ จากนั้นก็พูดว่า “เอาล่ะ… เรามาคุยธุระกันต่อดีกว่า”
นาทีนี้ไม่มีผู้บริหารคนไหนกล้าที่จะหยิ่งผยองกับเย่เชียนอีกแล้ว พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่ที่นั่นเหมือนกับหลานชายของเย่เชียนเลยทีเดียวเชียว ทว่าเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าพวกเขาแค่กำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น พวกเขาจึงยังไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองหรือสร้างความแบ่งแยกใด ๆ ในตอนนี้ แต่จิ้งจอกยังไงก็ยังคงเป็นจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ บางทีพวกเขาอาจคิดหาวิธีที่จะกำจัดเย่เชียนในภายหลังก็เป็นได้
“ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานถึงให้ผมเข้ามาเป็นผู้ควบคุมดูแลงานนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้เก่งเหมือนท่านผู้บริหารทุกท่านในห้อง ทั้งด้านคุณสมบัติ วัยวุฒิและประสบการณ์ แต่ในเมื่อผมได้ให้สัญญากับท่านประธานเอาไว้แล้วว่าจะรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้มา ผมก็ต้องปกป้องและดูแลมันให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นผมก็คงจะต้องเสียใจและรู้สึกผิดกับวิญญาณบนสวรรค์ของท่านประธาน ตอนนี้มันเป็นปัญหาทั้งภายในและภายนอก คนที่โลภในธุรกิจของท่านประธานต่างก็คอยจับตามองพวกเราในหลาย ๆ ฝ่าย ผมเข้าใจดีว่าพวกคุณทุกคนมีความสามารถในการบริหารมากกว่าผม… เพราะฉะนั้นผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อความเสถียรภาพและความมั่นคงทุก ๆ อย่างของบริษัทเรา ซึ่งนั่นรวมไปถึงการที่ผมนั้นยินดีที่จะถอนตัวและสละตำแหน่งนี้ให้คนที่เหมาะสมที่สุดมายืนในตำแหน่งนี้แทนผมด้วย” เย่เชียนพูดช้า ๆ เขาคิดว่าการเสียสละเพื่อความก้าวหน้าส่วนรวมนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อได้ยินเย่เชียนพูดเช่นนี้แล้ว นอกเหนือจากหม่าชานเหอและเฉิงเหวินที่ยังคงสงบเสงี่ยมอยู่ ผู้บริหารคนอื่น ๆ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้น และเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นในใจอย่างชัดเจน ผู้บริหารเหล่านั้นต่างก็รู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแล้ว พวกเขาจะสามารถดึงหม่าชานเหอให้มาเข้าร่วมในการกำจัดเย่เชียนได้ไม่ยาก
เอาจริง ๆ พวกผู้บริหารนั้นไม่สนใจหรอกว่าเย่เชียนจะให้โอกาสพวกเขาหรือไม่ เพราะถึงยังไงเย่เชียนก็ต้องถูกพวกเขากำจัดให้สิ้นซากไปอยู่ดี ไม่งั้นเหตุใดที่จักรพรรดิองค์ใหม่ในทุก ๆ ราชวงศ์ในทุกยุคทุกสมัยถึงต้องกวาดล้างผู้สูงอายุรุ่นบุกเบิกของรุ่นก่อนกันล่ะ ? ก็เพราะว่าคนเหล่านั้นมักจะหลอกล่อและอาศัยอำนาจของคนรุ่นใหม่เพื่อความมั่งคั่งและผลประโยชน์ที่เหนือกว่าใครของพวกเขาเอง ทว่าเย่เชียนนั้นไม่สนเรื่องการบริหารแบบฉบับจักรพรรดิ เพราะตราบใดที่คนเหล่านี้เผยธาตุแท้ออกมา เย่เชียนก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาทีละคน ๆ ได้ไม่ยาก และบังคับให้พวกเขาต้องมอบสิทธิ์ทั้งหมดไว้ในมือของเย่เชียนเองทั้งหมด