เมื่อมองไปที่หยูซิงแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรในตัวของชายคนนี้เป็นพิเศษ เขารู้ว่าตอนนี้หยูซิงคิดแต่เพียงต้องการพิสูจน์คุณค่าของเขาให้คนได้เห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไปความภักดีอันบริสุทธิ์ของเขาจะยังคงมีอยู่หรือไม่นั้นยากที่จะตัดสินได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เล่ยไท่ผู้ซึ่งเข้ามาร่วมตั้งแต่แรกก็เพราะความรู้สึกขอบคุณและภักดีกับเฉินฟู่เฉิงเช่นกัน
จิตใจของผู้คนนั้นยากแท้หยั่งถึง…
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ?” เย่เชียนหันไปถามหยูซิง
“คือ… ท่านประธานครับ ถึงตอนนี้ผมจะตื่นเต้นมากไปสักหน่อย แต่ท่านประธานไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมสัญญาว่าจะจงรักภักดีและทำทุกอย่างอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ” หยูซิงพูดด้วยความตื่นเต้น
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ เพราะเขานั้นจะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ เพียงเพราะคำพูดของคนคนนั้นแค่ไม่กี่คำ ทุกวันนี้ความจงรักภักดีนั้นหาได้ยากยิ่ง ทว่าความสัมพันธ์ของเขากับพวกพี่น้องในกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นมันต่างกัน พวกเขาจริงใจและจงรักภักดีต่อเย่เชียนอย่างแท้จริง มันเป็นความรักแบบหนึ่งซึ่งไม่สามารถทำลายล้างหรืออธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นดั่งพี่น้องที่ผ่านชีวิตและความตายกันมาอย่างยาวนาน หากใครไม่มีความเชื่อ ความหวังและความศรัทธาอยู่ในใจ มันก็เป็นเพียงแค่ศพเดินได้เท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอู๋หวนเฟิงถึงยอมเสียแขนไปข้างหนึ่งเพื่อชิงเอามีดหมาป่าสีเลือดมาให้เย่เชียนได้โดยไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังคอยติดตามช่วยเหลือเย่เชียนอยู่ไม่ห่างอีก
“อย่าเพิ่งไปคิดอะไรให้มันปวดหัวเลย… เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรับช่วงต่ออย่างมั่นคง! เล่ยไท่เพิ่งจะจากไป แน่นอนว่าลูกน้องของเขาคงจะต้องการให้คุณใช้ความพยายามเล็กน้อยในการพิสูจน์ตัวเอง ผมต้องขอฝากงานนี้ไว้กับคุณด้วย มันอาจจะหนักหน่อยที่ต้องคอยรับผิดชอบทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาและความอดทน ถ้าลูกน้องของเล่ยไท่คนไหนไม่เชื่อฟังคุณ คุณก็ค่อย ๆ แก้ปัญหาไปทีละคน ๆ เพราะถึงยังไงคนรุ่นเก่าก็ต้องวางมือให้คนรุ่นใหม่บ้างสักวันหนึ่ง ตราบใดที่คุณสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้ มันก็จะดีกับตัวคุณเอง คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย ?” เย่เชียนพูด
รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยูซิง หลังจากห้าปีของการยืนหยัด ในที่สุดเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงานเสียที ยิ่งไปกว่านั้นหยูซิงเองก็รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นเชื่อใจและไว้วางใจในตัวเขาอยู่พอสมควร มันทำให้เขาอดวาดฝันไม่ได้ว่าอนาคตของตัวเองที่สดใสและงดงามนั้นอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ
เมื่อเห็นเย่เชียนเห็นหยูซิงดูดีใจและมีความสุขเสียจนออกนอกหน้าเช่นนี้ เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและแอบถอนหายใจอย่างลับ ๆ เพราะก่อนที่คนเราจะได้รับชัยชนะอันรุ่งโรจน์นั้น ผู้คนมักจะสูญเสียความเป็นตัวเอง สูญเสียเป้าหมายและความมุ่งมั่นไป เห็นได้ชัดว่าหยูซิงนั้นยังคงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เย่เชียนมั่นใจได้นั้นก็คือ บุคคลที่ไม่มีความทะเยอทะยานอย่างหยูซิงนั้นจะเป็นคนที่มั่นคงในหน้าที่การงาน และเขาก็จะให้ผลประโยชน์มากพอโดยไม่ต้องไขว่คว้าสิ่งอื่นใด
“ได้ครับ! ผมจะพยายามอย่างสุดความสาสามารถ” หยูซิงพยักหน้าอย่างเคารพ
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรมาก เพราะถ้าหากเขาจะต้องสอนวิธีการทุกอย่างล่ะก็ หยูซิงก็ไม่สมควรที่จะดูแลอุตสาหกรรมบันเทิงทั้งหมดภายใต้การควบคุมของเขา “ดี… งั้นคุณไปทำงานต่อเถอะ ผมต้องการพักผ่อนที่นี่สักพัก” เย่เชียนพูด
หยูซิงโค้งคำนับเย่เชียนแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความนอบน้อม
“หวนเฟิง… นายคิดยังไงกับคนคนนี้ ?” เมื่อเห็นหยูซิงออกไปแล้ว เย่เชียนก็หันไปถามอู๋หวนเฟิง “นายนั่งบ้างสิ… อย่ายืนนาน ๆ มันไม่ดี”
อู๋หวนเฟิงจึงเดินไปที่เก้าอี้ตรงข้ามเย่เชียนแล้วนั่งลง จากนั้นก็ตอบเขาว่า “ผมว่าเขาน่ะเป็นคนมีความสามารถในการบริหารจัดการนะ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้ามากพอ”
เย่เชียนยิ้ม เพราะการประเมินของอู๋หวนเฟิงนั้นถูกต้องแม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เขาเองก็คิดเช่นกันว่าหยูซิงนั้นไม่มีความกล้าหาญและความเด็ดขาดมากพอในการทำสิ่งต่าง ๆ “ฉันรู้… แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก ไว้เราค่อยหาคนที่จะช่วยเหลือเขาได้ในอนาคตก็พอ” เย่เชียนพูด
“บอส! คือผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี” อู๋หวนเฟิงพูดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่มีอะไรที่เราจะพูดกันไม่ได้ระหว่างพี่น้องของเรา เพราะงั้นนายพูดมาเถอะ” เย่เชียนพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเทียนถึงต้องมาแนะนำให้บอสรู้จักกับเฉินฟู่เฉิงล่ะ ? เพราะถ้าเป็นผมล่ะก็ ผมจะมองหาใครสักคนในหงเหมินกรุ๊ปมาทำหน้าที่นี้แทน เพราะถ้าทำเช่นนั้นการสร้างอำนาจในเมืองหนานจิงมันก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไรเลย” อู๋หวนเฟิงพูด
“ใช่… ฉันเองก็เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน พูดตามตรงนะ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ หรือว่าฉินเทียนอาจจะต้องการพัฒนาพลังของหงเหมินกรุ๊ปให้ได้มากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยขยายไปยังเมืองหนานจิง ? ฉันเชื่อว่ามันไม่น่าจะยากตามการคาดเดาของฉันน่ะ หรือบางทีฉินเทียนอาจจะต้องการทดสอบฉันผ่านเรื่องนี้และเฝ้าดูว่าฉันนั้นทำได้แค่ไหน แล้วถ้าฉันสามารถครองเมืองหนานจิงได้ล่ะก็ เขาก็เลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับฉัน แต่ถ้าไม่เขาอาจจะเป็นคนแรกที่โจมตีฉันแล้วพัฒนากองกำลังและอำนาจของหงเหมินกรุ๊ป” เย่เชียนถอนหายใจ
“แต่ถึงยังไงไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นไปทางไหนก็ตาม เรื่องนี้มันก็เป็นประโยชน์และไม่เป็นอันตรายสำหรับฉันหรอก เพราะถ้าเมืองหนานจิงไม่สามารถมั่นคงได้ล่ะก็ ฉันก็แค่ต้องหนีออกไปโดยเร็วที่สุดและเป็นทหารรับจ้างเหมือนเดิมต่อไปเอาเถอะ… ต่อให้เรื่องราวมันจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ในเมื่อเฉินฟู่เฉิงเลือกที่จะให้ความไว้วางใจของเขากับฉัน ฉันก็แค่ต้องทำให้อุตสาหกรรมของเขามั่นคงก็แค่นั้น”
อู๋หวนเฟิงเหลือบมองไปที่เย่เชียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขารู้ดีว่าเย่เชียนนั้นไม่ค่อยศรัทธาใครง่าย ๆ แม้แต่เทียนเฟิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเอง เย่เชียนยังแค่รู้สึกขอบคุณและเคารพเขาเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความศรัทธาเลยสักนิด หากใครก็ตามที่สามารถทำให้เย่เชียนรู้สึกศรัทธาได้ล่ะก็ แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องมีเอกลักษณ์ของเขาและมีความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “เอ่อใช่! ฉันว่ามันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉินเทียนเลือกที่จะทำแบบนี้ มันอาจจะเป็นเพราะเขาต้องการที่จะลบฉันออกไปจากเมืองเซี่ยงไฮ้ อืม… แต่คิด ๆ ดูแล้วมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก เพราะเอาเข้าจริงเขายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันเลย อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้อุปสรรคใด ๆ ต่อการพัฒนาของหงเหมินกรุ๊ปอีกด้วย” เย่เชียนตบหัวตัวเองเบา ๆ เพราะเขาปวดหัวมาก สิ่งที่ฉินเทียนทำนั้นทำให้เขาสับสนและงงงวยอย่างไม่รู้จบ
“บอสอย่าเพิ่งไปคิดมากเลยครับ เพราะทางเราจะยังไม่เคลื่อนไหวหรือทำการใหญ่ ๆ อะไรในเมืองเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้เราแค่นั่งอยู่บนภูเขาและดูเสือต่อสู้กันเองไปก่อน แค่แจ็คคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้” อู๋หวนเฟิงพูดอย่างยินดี
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ก็นะ… หนานจิงอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้เท่าไหร่ ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นเราค่อยกลับไปที่นั่นกันก็ได้ เอ้อ… อู๋หวนเฟิง! นายจำรูปถ่ายบนโต๊ะของเฉินฟู่เฉิงได้มั้ย ?”
“ฉันสัญญากับเขาว่าจะช่วยเขาตามหาผู้หญิงคนนี้ เดี๋ยวนายไปสแกนรูปถ่ายแล้วส่งมันไปให้แจ็ค บอกให้เขาส่งคนไปตรวจสอบที ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจ้าวหยามากเลย”
“รับทราบครับบอส” อู๋หวนเฟิงตอบ
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากชั้นล่าง มันเป็นเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของผู้ชายและคำขอโทษของหยูซิง เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่อู๋หวนเฟิง ซึ่งอู๋หวนเผิงก็เข้าใจได้ทันที ทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่างพร้อม ๆ กัน…