เย่เชียนรู้สึกโกรธเล็กน้อย เพราะเฉินฟู่เฉิงนั้นเพิ่งจะจากไปได้ไม่นานนี้เอง อีกทั้งตัวเขาก็เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งประธานต่อจากเฉินฟู่เฉิงในวันนี้เป็นวันแรก แต่ข้างล่างสโมสรก็ดันมีเรื่องให้ต้องจัดการเสียแล้ว ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นเรื่องของคู่ต่อสู้ทางธุรกิจที่จงใจเข้ามาปั่นป่วน
หลังจากมาถึงชั้นล่างพร้อมกับอู๋หวนเฟิง พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มสองคนในชุดสูทแต่ดูเหมือนสุนัขรับใช้ยืนอยู่ และตรงด้านหลังก็มีผู้ชายวัยรุ่นยืนอยู่อีกสองคน ทั้งคู่กำลังโต้เถียงอยู่กับหยูซิงอย่างโกรธเกรี้ยว ข้าง ๆ หยูซิงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เดาว่าเธอน่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟในสโมสรแห่งนี้ ส่วนที่พื้นนั้นมีเศษแก้วแตกกระจายอยู่ทั่วบริเวณ โต๊ะหินอ่อนล้มกระจัดกระจายและไวน์ก็หกเรี่ยราดเต็มพื้นไปหมด
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นแล้วถามเธอว่า “คุณเป็นอะไรรึเปล่า ? อยากไปหาหมอมั้ย ?”
หญิงสาวคนได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียน เมื่อเห็นหน้าเขาชัด ๆ เธอก็จำได้ว่าเธอเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเฉิงเหวินตอนที่เธอมาถึงที่ทำงานเมื่อเช้านี้ เฉิงเหวินเดินตามชายคนนี้อย่างสุภาพนอบน้อม เธอจึงเดาได้อย่างคร่าว ๆ ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน ทว่าเธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้านายของตัวเอง
หญิงสาวผู้นี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอมีนิสัยที่ค่อนข้างจะขี้อายและมักจะไม่ค่อยกล้าพูดสักเท่าไหร่ และด้วยความใสซื่อและไร้เดียงสาของเธอนั่นเองที่ทำให้เธอถูกผู้ชายกลุ่มนี้ทำตัวเยี่ยงสัตว์ร้ายและล่อลวงเธอ ซึ่งเหตุการณ์มีอยู่ว่าชายคนหนึ่งในกลุ่มต้องการให้เธอไปกับเขาเพื่อเป็นเพื่อนกินดื่ม แน่นอนว่าในความคิดของผู้ชายพวกนี้นั้นคงจะไม่ใช่แค่ไปกินดื่มอย่างที่พูด ผู้ชายเลวพวกนี้คงต้องการที่จะต่อแถวเรียงคิวกันเพื่อทำไม่ดีไม่ร้ายกับเธออย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะเพิ่งมาทำงานอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก แต่เธอก็เคยได้ยินคนเขาซุบซิบกันว่าคนประเภทนี้นั้นเป็นเช่นไร เธอจึงปฏิเสธคำชวนอย่างสุภาพอ่อนน้อม แต่ทว่ามันกลับทำให้ชายกลุ่มนี้รู้สึกต้องเสียหน้าอย่างมาก พวกเขาจึงก่อเรื่องและโยนความผิดต่าง ๆ นานาให้เธอ โดยผู้ชายคนหนึ่งนั้นสกัดขาเธอทำให้เธอสะดุดล้มจนทำเครื่องดื่มทั้งหมดหกใส่พวกเขา เท่านั้นยังไม่พอเขายังตบหน้าหญิงสาวคนนี้อย่างรุนแรงเพื่อความสะใจอีกด้วย
“ท่านประธาน!” เมื่อเห็นเย่เชียนกำลังเดินมา หยูซิงก็รีบทักทายเขาด้วยความเคารพ
เย่เชียนไม่พูด เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากที่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายได้ยินหยูซิงเรียกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอว่า ท่านประธาน เธอก็รู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างมากจนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงและส่ายหัวอย่างรู้สึกผิด ส่วนเย่เชียนนั้นไม่ได้ถามอะไรเธอต่ออีกแต่เดินเข้าไปที่กลุ่มผู้ชายเหล่านั้น
“สวัสดี! ผมเป็นประธานของที่นี่ ไม่ทราบว่าบริกรของเราไปทำอะไรให้พวกคุณ พวกคุณถึงได้โกรธเคืองเธอถึงขนาดนี้ นี่ถึงขึ้นต้องลงไม้ลงมือทำร้ายผู้หญิงกันเชียวหรือ ?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้มโดยไม่มีความโกรธแม้แต่น้อยที่ปรากฎให้เห็นบนใบหน้าของเขา
ชายกลุ่มนั้นได้แต่ยืนจ้องหน้าเย่เชียนอย่างงุนงง พวกเขารู้ว่าประธานของที่นี่คือเฉินฟู่เฉิง ผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อไม่นานมานี้ ฉะนั้นชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้คือผู้สืบทอดคนใหม่อย่างนั้นหรือ ? เขาไม่เด็กเกินไปหน่อยหรือที่จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานต่อจากเฉินฟู่เฉิง ? เอาเข้าจริงชายกลุ่มนี้นั้นเป็นคนนอก และการเข้ารับตำแหน่งประธานของเย่เชียนนั้นก็ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ พวกเขาจึงทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เชียน
พวกเขาเหล่านี้นั้นเป็นลูกหลานชาวหนานจิงมาตั้งแต่กำเนิด พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าเย่เชียนจากที่ไหนมาก่อน จึงเดาได้ไม่ยากว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนนอกพื้นที่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คิดว่าตัวเองนั้นเป็นถึงเจ้าถิ่น เพราะฉะนั้นคนนอกก็ต้องเกรงกลัวคนที่เป็นเจ้าถิ่นอย่างแน่นอน คนนอกอย่างเย่เชียนจึงสมควรต้องโดนสั่งสอนบทเรียนบางอย่างเสียบ้างเพื่อศักดิ์ศรีของลูกหลานชาวหนานจิง
“นายเป็นประธานของที่นี่เหรอ ?” ผู้ชายคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แล้วผมจำเป็นต้องโกหกด้วยหรือยังไง ? ผมเชื่อว่าในเมืองหนานจิงแห่งนี้เนี่ยคงไม่มีใครกล้าอ้างตัวเองว่าเป็นประธานของที่นี่หรอกใช่มั้ย ?”
ถึงแม้ว่าคำพูดเหล่านี้มันจะฟังดูหยิ่งผยองอยู่ไม่น้อย แต่มันก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้ที่มีความสามารถในการสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของเฉินฟู่เฉิงนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับการอ้างตัวว่าเป็นประธานของที่นี่เลย ในทางกลับกันผู้ที่ไร้ความสามารถต่างก็ไม่กล้าที่จะอ้างตัวว่าเป็นประธานของที่แห่งนี้ นอกเสียจากว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเบื่อหน่ายกับชีวิตและพร้อมที่จะตายจริง ๆ เท่านั้น
สโมสรแห่งนี้นั้นหรูหราและยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในเมืองหนานจิงแห่งนี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังมากด้วย ดังนั้นการที่พวกเขาได้ยินว่าเย่เชียนเป็นผู้สืบทอดของเฉินฟู่เฉิง มันก็ทำให้ชายหนุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงกลางค่อนข้างแสดงออกถึงความหวาดกลัว แต่เขาก็ยังคงพูดห้วน ๆ ว่า “ถ้านายเป็นประธานจริงอย่างที่พูด งั้นนายก็ต้องให้ความยุติธรรมกับพวกเราสิ พวกเรามาที่นี่ในฐานะลูกค้านะ แต่บริกรของนายกลับมาทำให้ฉันต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ ?”
เย่เชียนยิ้มและพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “แน่นอน… ผมจะให้ความยุติธรรมกับพวกคุณ สำหรับเครื่องดื่มพวกนี้ทั้งหมด ผมจะจัดการให้ แต่กับผู้หญิงคนนี้ล่ะ พวกคุณคิดว่าจะแค่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอไปซะ แล้วก็จบอย่างงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทีที่เย้ยหยันของเย่เชียนแล้ว กลุ่มชายเจ้าถิ่นเหล่านี้ก็ขมวดคิ้ว พวกเขาได้แต่คิดว่าทันทีที่เฉินฟู่เฉิงจากไป ก็ดันมีคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาแทนที่ แถมไอ้บ้านี่ยังมาเหยียบหัวพวกเขาอยู่อย่างนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
“ในเมื่อท่านประธานคนใหม่พูดมาแบบนี้ งั้นก็ลืม ๆ มันไปแบบนั้นแหละ ให้มันจบลงตรงนี้ก็แล้วกัน ฉันชื่อเฝิงซื่อเหลียง” ชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงพูดอย่างเย้ยหยัน
หลังจากพูดจบ เฝิงซื่อเหลียงก็โบกมือของเขาและเดินนำพวกของเขาออกไป
ชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้ หากโชคดีได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะสักหน่อย มันมักจะทำให้พวกเขาเติบโตมาเป็นคนหยิ่งยโสโอหัง พวกเขาคิดว่าหากตัวเองต้องเจอกับปัญหาอะไร พวกเขาก็แค่ให้พ่อแม่มาจัดการเคลียร์ให้ก็จบ เพราะอำนาจและอิทธิพลที่พ่อแม่ของพวกเขามีนั้นมักจะใช้ได้ผลอยู่เสมอ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เย่เชียนรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก!
“หยุด! ผมบอกให้พวกคุณออกไปได้อย่างงั้นเหรอ ?” เย่เชียนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสโมสรที่รออยู่ด้านข้างก็รีบเข้ามาขวางทางกลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
การแสดงออกที่เกรี้ยวกราดอย่างกะทันหันของเย่เชียน ทำให้กลุ่มชายเจ้าถิ่นเหล่านั้นตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พวกเขาได้แต่คิดโง่ ๆ กันว่าเรื่องทั้งหมดมันคงจะจบแต่ทว่าเย่เชียนกลับยังไม่ยอมจบ ? เมื่อเฝิงซื่อเหลียงมองไปที่เย่เชียนแล้ว เขาก็รู้สึกว่าเย่เชียนคงไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่นอน เขาจึงพูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “นายต้องการอะไรอีก ? กะอีเรื่องแค่นี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยนี่”
เมื่อกลุ่มชายเจ้าถิ่นเห็นเย่เชียนที่มีท่าทางโกรธเกรี้ยว พวกเขาก็ชักจะไม่สบอารมณ์เช่นกัน เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคำพูดคำจาของเย่เชียนอยู่แล้ว แล้วยิ่งเย่เชียนมาตะโกนใส่พวกเขาแบบนี้ มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอับอายขายหน้ามากขึ้นไปอีก
แต่ทว่าเย่เชียนกลับไม่แสแยอะไร เขาเริ่มเดินผ่านฝูงชนไปอย่างช้า ๆ และไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเฝิงซื่อเหลียง จากนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “เรื่องที่คนของผมไปทำให้คุณขุ่นเคืองนั่น ผมก็ได้ขอโทษและจ่ายค่าชดเชยให้หมดแล้ว แต่สำหรับเรื่องที่คุณทำร้ายคนของผม คุณเองก็ต้องชดใช้เหมือนกัน!”