เย่เชียนกดเบอร์โทรศัพท์ตามที่หยูซิงบอกเขาจากโน้ตที่มีบุคคลลึกลับส่งมาหาเย่เชียน เมื่อมีคนรับโทรศัพท์ เย่เชียนก็ได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนดังลอดมาตามสาย
“สวัสดี นี่ผมเองเย่เชียน!” เย่เชียนพูดอย่างตรงไปตรงมา
มีเพียงเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกดังขึ้นเมื่อเย่เชียนพูดจบ จากนั้นเย่เชียนก็ได้ยินชายที่อยู่ปลายสายพูดว่า “หึ ๆ ๆ ท่านประธานเย่! ฉันได้ยินชื่อเสียงที่เขาร่ำลือกันของคุณมานานแล้ว”
“คุณเป็นใคร ?” เย่เชียนถาม
“ฟังจากน้ำเสียงแล้วตอนนี้คุณคงอารมณ์เสียกับเรื่องบางอย่างอยู่สินะ” ชายวัยกลางคนพูด “ฉันชื่อ ซูเจี้ยนจุน ฉันได้ยินมาว่าท่านประธานเย่คือผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านประธานเฉิน วันนี้ฉันก็เลยอยากถือโอกาสมาทำความรู้จักคนดังคนใหม่เสียหน่อย พรุ่งนี้คุณว่างรึเปล่า ถ้าคุณว่าง เรามาเจอกันหน่อยดีไหม ?”
เย่เชียนเคยเห็นชื่อของซูเจี้ยนจุนปรากฏอยู่ในเอกสารที่เฉิงเหวินนำมาให้เขาอ่าน เขาคนนี้นั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญอันดับต้น ๆ ในเมืองหนานจิงแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เดิมทีเขาก็เป็นคนธรรมดา ๆ นี่แหละ ที่ต้องเกิดมาพร้อมกับความยากลำบากต่าง ๆ นานา แต่ด้วยความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของเขา มันจึงทำให้เขาถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มากมายในเมืองหนานจิง อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่เฉินฟู่เฉิงยังคงมีชีวิตอยู่ เขากลับไม่ได้ติดต่อกับซูเจี้ยนจุนมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ต่างก็มีความขัดแย้งซึ่งกันและกันในหลาย ๆ ธุรกิจ ซึ่งซูเจี้ยนจุนนั้นมักจะซ่อนความชั่วร้ายของเขาเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร เหตุนี้เองเขาจึงค่อนข้างที่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอีกคน
“ท่านประธานซูก็พูดเกินไป… ผมมันก็แค่คนธรราดา ๆ ที่มีโอกาสได้รับความไว้วางใจให้เข้ามารับช่วงต่อเท่านั้น แต่ที่ผมรู้มาท่านประธานเฉินกับท่านประธานซูไม่เคยติดต่อกันเลยไม่ใช่เหรอ ?” เย่เชียนพูด
“ที่คุณพูดมามันก็ไม่ผิดนักหรอก ใช่แล้ว… ในอดีตเราอาจจะไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ในอนาคตมันก็ไม่แน่หรอกจริงมั้ย ?” ซูเจี้ยนจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ว่าต่อให้คุณไม่ว่าง คุณก็จะหาโอกาสมาพบผมพรุ่งนี้อยู่ดี หึ ๆ ๆ ”
“ท่านประธานซูมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ ?” เย่เชียนพูดเบา ๆ
“หึ ๆ ๆ เรื่องแบบนี้ฉันไม่เคยพลาดอยู่แล้ว” ซูเจี้ยนจุนพูด
“คุณหมายความว่ายังไง ?” เย่เชียนขมวดคิ้วแน่นและถาม
“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก… คุณคิดว่าแสงจันทร์คืนนี้มันสวยมั้ยล่ะ ? ส่วนตัวฉันน่ะชอบมองดูพระจันทร์ในคืนเดือนมืดแบบนี้ ยิ่งคืนนี้ฉันมีสาวสวยคนนึงมานั่งดูด้วยกัน ฉันไปเจอเธอที่ทะเลสาบซวนหวู่เมื่อเย็น ก็เลยถือโอกาสชวนเธอมานั่งดูแสงจันทร์ด้วยกันที่บ้านน่ะ ท่านประธานเย่อยากมาเจอเธอมั้ยล่ะ ? เธอน่ะสวยอย่างกับนางฟ้าเชียว” ซูเจี้ยนจุนพูดอย่างคลุมเครือ
เมื่อซูเจี้ยนจุนพูดจบ เย่เชียนก็เดาได้ไม่ยากว่าผู้หญิงที่ซูเจี้ยนจุนกำลังพูดถึงอยู่นั้น คือจ้าวหยานั่นเอง! แต่สิ่งที่เย่เชียนไม่เข้าใจคือ ตัวเขานั้นเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งต่อจากเฉินฟู่เฉิงเมื่อวันก่อนนี้เอง ต่อให้ซูเจี้ยนจุนจะทำการสืบประวัติของเขา แต่เขาก็ไม่น่าที่จะรู้ลึกไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับจ้าวหยาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
“ผมว่าท่านประธานซูควรระวังตัวเอาไว้เอาไว้เสียหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวนี้ยมทูตท่านขยันทำงาน เอะอะก็มาพรากเอาชีวิตคนนั้นคนนี้ไปลงนรก โดยเฉพาะพวกที่ไปทำมิดีมิร้ายกับผู้หญิงเนี่ย ตัวดีเลย นี่ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ มันไม่คุ้มกันหรอก!” เย่เชียนพูด
“ฮ่า ๆ ๆ เอาเถอะท่านประธานเย่ ฉันต้องขอบคุณในความหวังดีของคุณที่อุตส่าห์มาพูดเตือนสติฉัน ว่าแต่… คุณจะมาหรือไม่มาล่ะ ?” ซูเจี้ยนจุนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเย่เชียนจากคำพูดของเขา แต่ตัวเขาเองก็ยังคงมีความมั่นใจเกินร้อยว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครในหนานจิงนี้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเป็นรองอเฉินฟู่เฉิงกับเย่เชียนอยู่เล็กน้อยก็ตามที ถ้าเปรียบเทียบให้เย่เชียนเป็นพระเอกในละคร ซูเจี้ยนจุนนั้นก็เป็นดั่งวายร้ายที่คอยทำให้เรื่องราวปั่นป่วนอยู่เสมอ คนอย่างซูเจี้ยนจุนนั้นถือคติว่าชีวิตนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เขาจึงพร้อมลุยกับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้ครอบครองเหมืองหนานจิงแห่งนี้ในที่สุด
อย่างไรก็ตามซูเจี้ยนจุนก็ยังคงรู้สึกแปลกใจที่เย่เชียนนั้นสามารถทำให้จิ้งจอกเฒ่ารุ่นบุกเบิกอย่างเฉินฟู่เฉิงให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านประธานคนใหม่คนนี้ยังกล้าไปท้าทายอำนาจของราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เข้ารับตำแหน่งอีก แค่เพียงเวลาไม่กี่วัน ชื่อเสียงของเย่เชียนก็โด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเมืองหนานจิง และถ้าหากทุกอย่างยังคงดำเนินไปได้ด้วยดีเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ สถานะของเย่เชียนก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก สิ่งนี้เองที่ทำให้ซูเจี้ยนจุนนั้นอยากจะพบกับเย่เชียนอย่างเป็นทางการ เพราะเขาต้องการที่จะรู้ว่าหนุ่มน้อยเลือดใหม่ไฟแรงคนนี้นั้นจะสามารถต่อสู้กับคนที่โชกโชนไปด้วยประสบการณ์เช่นเขาได้มากน้อยแค่ไหน
“ในเมื่อท่านประธานซูคะยั้นคะยออยากจะให้ผมไปพบขนาดนี้ ผมก็คงจะปฏิเสธไม่ได้… ไม่งั้นคนจะหาว่าผมนั้นเย่อหยิ่งและใจแคบไปเสียหมด” เย่เชียนพูด
“เอาล่ะ! งั้นก็ตกลงตามนั้น วันนี้มันดึกมากแล้ว ฉันชักจะง่วงแล้วสิ งั้นเอาไว้พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าคุณไปเจอกับผมที่สโมสรหมิงยู่โอเคมั้ย ? ” ซูเจี้ยนจุนถาม
“ตามนั้น!” เย่เชียนพูด
“ตกลง! แล้วอย่าไปสายล่ะ” ซูเจี้ยนจุนพูด
หลังจากวางสายไปแล้วเย่เชียนก็เอนเบาะนอนอยู่ในรถ ถึงเขาจะไม่ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับซูเจี้ยนจุนมากนัก แต่เขาก็คิดว่าซูเจี้ยนจุนคงจะยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรือทำร้ายจ้าวหยาในตอนนี้อย่างแน่นอน ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เย่เชียนก็ยังอดเป็นห่วงจ้าวหยาไม่ได้อยู่ดี
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเย่เชียนว่า ซูเจี้ยนจุนคนนี้น่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากที่จะรับมือด้วยอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขานั้นจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ดังเช่นเรื่องของจ้าวหยาที่เขานำมาใช้ในการต่อรองเพื่อให้เขาออกไปพบคราวนี้ อย่างที่ซุนวูเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ คำกล่าวนี้มันยังคงใช้ได้ผลอยู่ทุกยุคทุกสมัย สิ่งที่เย่เชียนสามารถทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแต่เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุดเพื่อรับมือกับอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตทั้งจากซูเจี้ยนจุนเอง และองค์กรอื่น ๆ ที่คาดว่าจะทำการเคลื่อนไหวในอนาคต
ทว่าในใจของเย่เชียนนั้นได้มีแผนการเตรียมไว้อยู่แล้วและเขาก็กำลังดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่ใด ๆ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่เย่เชียนอาบน้ำแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปยังสโมสรหมิงยู่ของซูเจี้ยนจุนทันที เมื่อคืนที่ผ่านมา เย่เชียนนั้นไม่ได้นอนเลยทั้งคืนด้วยความเป็นห่วงจ้าวหยา ความรู้สึกของเขานั้นเปรียบได้ดั่งก้างปลาที่ติดคออยู่ จะกลืนก็กลืนไม่ลง แต่ต่อให้จะพยายามไอเพื่อให้มันหลุดออกมามันก็กลับไม่ยอมหลุดเช่นกัน
ระหว่างทางเย่เชียนได้โทรไปหาโจวรุหลานเพื่อบอกกับเธอว่าเขามีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อยก่อน หลังจากทำธุระเสร็จแล้วเขาถึงจะสามารถพาเธอไปไหว้หลุมศพของเฉินฟู่เฉิงได้ตามสัญญา แน่นอนว่าเย่เชียนเลือกที่จะปกปิดเรื่องของจ้าวหยาต่อไปไม่ให้โจวรุหลานรู้ เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอต้องเป็นห่วงจ้าวหยาไปมากกว่านี้โดยไม่จำเป็น
เอี๊ยดดดดดดด!!! โครม!!!
เสียงเบรกรถดังขึ้นต่อด้วยเสียงรถยนต์สองคันชนกันดังสนั่น เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมาจากรถฮอนด้า แอคคอทด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ส่วนรถคู่กรณีนั้นเป็นรถโฟล์คสวาเกน สโกด้าซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังลงจากรถมาเช่นกัน ผมของเธอกระเซอะกระเซิงและใบหน้าของเธอก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ
เมื่อเย่เชียนขยี้ตามองดูชัด ๆ เขาก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วพึมพำกับตัวเองว่า ‘ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ?’
ความจริงต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้คือชายหนุ่มคนนั้นที่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจเบรกอย่างกระทันหันจึงทำให้รถของหญิงสาวชนท้ายเข้าให้
“นี่เธอขับรถเป็นจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย ? ขับรถประสาอะไรถึงได้มาชนท้ายรถคนอื่นเค้าแบบนี้! ถ้ายังขับไม่แข็งก็ไปเดินเอาไม่ดีกว่าเรอะ!!!” ชายหนุ่มพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
หญิงสาวคนนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่คุณ! คุณเองใช่ไม่รึไงที่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจเบรกกะทันหันแบบนี้น่ะ ? ยังจะมีหน้ามาโทษคนอื่นเขาอีก!”
“นี่เธอกล้าตะคอกใส่ฉันเรอะ ?!” ชายหนุ่มตะคอก
“ว่าละ! คุณมันไม่ใช่คนแถวนี้นี่” ชายหนุ่มพูดต่อหลังจากที่เหลือบไปมองป้ายทะเบียนรถของหญิงสาวและเห็นว่ามันไม่ใช่ป้ายทะเบียนของเมืองหนานจิง
“แล้วไง ?” หญิงสาวพูดอย่างไม่แยแส
“แล้วไงงั้นเหรอ ? ในเมื่อเธอเป็นคนมาชนฉัน เธอก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมาให้ฉันสิ มา! จ่ายมาหนึ่งแสนหยวน!” ชายหนุ่มพูด
“ว่าไงนะ !?” หญิงสาวอุทานด้วยความประหลาดใจ “รถของคุณมันราคาเท่าไหร่กัน ? ถึงได้กล้ามาเรียกค่าเสียหายเป็นแสนแบบนี้เนี่ย อีกอย่างมันต้องเป็นฉันไม่ใช่รึไงที่ต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากคุณน่ะ ?”
“รถคันนี้น่ะมันไม่ได้แพงอะไรหรอก แต่ที่แพงน่ะมันคือความรู้สึกของฉันต่างหาก! นี่มันรถของน้องสาวสุดที่รักของฉันนะ ถ้าเธอรู้ว่ามันบุบไปแบบนี้ เธอคงจะโกรธและเรียกร้องมากกว่านี้อีก” ชายหนุ่มพูด “แต่ถ้าเธอไม่อยากจ่ายแสนนึงมาให้ฉัน งั้นเธอก็มานอนกับฉันสักคืนแทนก็ได้ แล้วฉันจะถือว่าอุบัติเหตุในครั้งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย”
“หน้าด้าน!” หญิงสาวตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการเรื่องนี้ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครผิดใครถูก!”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ แม่สาวน้อย! เธอมันรู้น้อยไปซะแล้วว่าในเมืองหนานจิงเนี่ยไม่มีใครกล้ามีปัญหากับฉันหรอก ตำรวจก็ตำรวจเถอะ ต่อให้มาช่วยเคลียร์ ยังไงคุณก็ผิดอยู่ดี! แค่เธอยอมทำตามที่ฉันบอกมันจะง่ายกว่ามั้ย ?”
หญิงสาวเชิดหน้าหนี เธอขี้เกียจที่จะเถียงกับชายหนุ่มคนนี้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานตำรวจจราจรก็มาถึงที่เกิดเหตุ หลังจากที่ตำรวจผู้นั้นเดินลงมาจากรถ เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันและคิดกับตัวเองว่า ‘ให้ตายเถอะ! นี่เขาอีกแล้วหรือเนี่ย ?’
“นายน้อยจู้มีอะไรหรือครับ ?” ตำรวจผู้นั้นถามขึ้นหลังจากทำความเคารพเสร็จ
“นี่คุณตาบอดหรือไง ? ไม่เห็นเหรอว่ารถเธอมาชนท้ายผมเนี่ย ?” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง เขานั้นมีชื่อว่า จู้เหมา เป็นคนหนานจิงโดยกำเนิดและเป็นทายาทของบริษัทจู้กรุ๊ป เจ้าแห่งอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหนานจิง ซึ่งเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และมีทรัพย์สินมากถึงหลักหลายร้อยล้าน เขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของท่านประธาน จู้ซาน ทว่าเขานั้นกลับไม่เอาไหนและขี้เกียจ ซึ่งจู้ซานผู้เป็นพ่อก็ไม่อยากที่จะคอยประคบประหงมเขาแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของลูกชายคนนี้มาก และคิดว่าทรัพย์สินที่เขามี มันก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกชายของเขาคนนี้อยู่ได้อย่างสบาย ๆ ไปตลอดทั้งชีวิตแล้ว
เย่เชียนเคยเห็นชื่อของจู้กรุ๊ปผ่าน ๆ จากกองเอกสาร ซึ่งจู้กรุ๊ปนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับเย่เชียน ทว่าในตอนนี้เย่เชียนยังไม่ได้วางแผนที่จะริเริ่มสงครามใด ๆ กับใคร เพราะทางด้านจู้กรุ๊ปเองก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเช่นกัน
ถึงแม้ว่าตำรวจจราจรนั้นจะเป็นแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรก็ตาม แต่ตำรวจจราจรหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงยึดถือความซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมในการทำงาน เมื่อเขาเห็นว่าจู้เหมานั้นเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุในครั้งนี้ เขาก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ…” ตำรวจจราจรพูดในขณะที่มองหน้าจู้เหมา “ผมขอดูใบขับขี่และบัตรประชาชนของคุณด้วยครับ ขอบคุณครับ!”