หลังจากที่เย่เชียนรู้ข่าวการทรยศของกู๋หมิงเซียงแล้ว เขาก็เริ่มตรวจสอบและยึดสิทธิ์การถือครองธุรกิจต่าง ๆ ของกู๋หมิงเซียงกลับคืนมา ถึงแม้ว่ากู๋หมิงเซียงจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นถึงหนึ่งในผู้บุกเบิกในการทำให้เมืองหนานจิงเฟื่องฟู เย่เชียนจึงไม่ต้องการที่จะลงโทษเขามากเกินไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เย่เชียนไม่คาดคิดคือ กู๋หมิงเซียงดูเหมือนจะหมดศรัทธากับเขาและย้ายฝั่งไปหาซูเจี้ยนจุนและจู้ซานแทน
ถ้าหากกู๋หมิงเซียงนั้นเข้ามาคุยกับเย่เชียนด้วยตัวเองถึงปัญหาต่าง ๆ ล่ะก็ เย่เชียนก็จะไม่ทำให้เขาลำบากใจเลย อีกทั้งยังเต็มใจช่วยเขาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลงตัวอีกด้วย ทว่าพฤติกรรมแย่ ๆ ของกู๋หมิงเซียงนั้นกลับทำให้เย่เชียนโกรธอยู่เล็กน้อย เพราะแม้ว่าการสูญเสียเงินกองทุนจะเป็นเรื่องที่รุนแรงมากก็ตาม แต่การขายพวกพ้องเพื่อที่จะแสวงหาความรุ่งโรจน์ของตัวเองนั้นมันไม่น่าให้อภัยยิ่งกว่า
เย่เชียนรู้ดีว่าการทรยศของกู๋หมิงเซียงในครั้งนี้ต้องได้รับการยุยงมากจากจู้ซานและซูเจี้ยนจุนอย่างแน่นอน พูดได้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กู๋หมิงเซียงดูแลอยู่ทั้งหมดนั้น ตอนนี้มันได้ตกไปอยู่ในกำมือของจู้ซานและซูเจี้ยนจุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมากับวิธีที่ร้ายกาจเช่นนี้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเย่เชียนจะโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ มากนัก เพราะนี่มันก็เป็นเพียงแค่การแข่งขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เพราะในตอนท้ายมันก็ยังไม่อาจรู้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กันแน่
“ท่านประธาน…” กู๋หมิงเซียงก้มหัวเล็กน้อยและเปิดปากของเขา
เย่เชียนมองเขาอย่างเย็นชา ขณะเดียวกันก็มีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเขา “ท่านประธาน ? อย่าเรียกผมแบบนั้นเลย ผมมันไม่มีคุณสมบัติมากพอหรอก ผู้จัดการกู๋ให้เกียรติผมเกินไปแล้ว”
คำพูดของเย่เชียนนั้นเหมือนตบหน้าของกู๋หมิงเซียงอย่างรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย การประชดประชันของเขาทำให้กู๋หมิงเซียงผู้ซึ่งมีความรู้สึกผิดอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกผิดหนักมากขึ้นไปอีกและเขาก็พูดอะไรไม่ออก
“นี่คุณถึงขั้นไปรบกวนท่านประธานจู้กับท่านประธานซูให้ออกมาพบกับผมเชียวหรือ ? เฮ้อ! ผมล่ะรู้สึกละอายใจแทนคุณจริง ๆ ” เย่เชียนพูดและมองไปที่จู้ซานและซูเจี้ยนจุน ซึ่งความหมายนั้นชัดเจนว่ากู๋หมิงเซียงนั้นไม่มีค่าพอที่จะเรียกสามประธานแนวหน้าแห่งเมืองหนานจิงมาพร้อมกันเช่นนี้เลย
“หมิงเซียง… บอกท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่ของคุณไปสิ ว่าคุณมีอะไรที่อยากจะพูด ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำให้พวกผมละอายใจที่ออกมากันในวันนี้หรอกนะ” จู้ซานพูดเหน็บด้วยท่าทางที่ดูเหมือนชอบธรรมและเห็นด้วยว่าเย่เชียนนั้นพูดถูก
ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว กู๋หมิงเซียงก็เข้าใจดีว่าตัวเองนั้นไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกอีกต่อไป เพราะตอนนี้มันเหมือนกับว่าเขานั้นได้ย่างเท้าเข้ามาในถ้ำเสือแล้ว ถ้าหากเขาไม่เดินหน้าต่อ ก็จะมีแต่โดนเสือตะครุบกินก็เท่านั้น แต่จะเป็นเสือตัวไหนนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ผมขอลาออก!” ในที่สุดคำพูดที่อักอั้นอยู่ในใจของกู๋หมิงเซียงก็หลุดออกมาจากปากของเขาจนได้
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่กู๋หมิงเซียงได้มองข้ามจุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งไป เพราะเย่เชียนนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่ที่เขาได้มาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานต่อจากเฉินฟู่เฉิง เขาได้มาด้วยโชคและความสามารถของตัวเขาเอง ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วจู้ซานกับซูเจี้ยนจุนนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติหรือความแข็งแกร่งมากพอที่จะมาต่อกรกับเย่เชียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนตัวของจู้ซานและซูเจี้ยนจุนเองก็ไม่รู้ถึงความจริงในข้อนี้เช่นกัน และตอนนี้พวกเขาก็กำลังรอให้ทรัพย์สินของเย่เชียนนั้นถูกพวกเขายึดครองอย่างมีความสุข
“ลาออก ?” เย่เชียนเงยหน้าขึ้นมองกู๋หมิงเซียงที่กำลังขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เย่เชียนสบตากับกู๋หมิงเซียงแล้ว หัวใจของกู๋หมิงเซียงก็สั่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงรีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยลืมสิ่งที่เขาเห็นในห้องประชุมในวันที่เย่เชียนเข้ารับตำแหน่งวันแรก
“ผู้จัดการกู๋… คุณอย่าลืมนะว่าถ้าคุณตัดสินใจลาออกตอนนี้จริง ๆ คุณจะไม่ได้รับเงินปันผลของคุณในไตรมาสนี้ทั้งหมด” เย่เชียนพูด
เงินปันผลรายไตรมาสนั้นมันไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย เมื่อเย่เชียนพูดมาแบบนั้น มันก็ทำให้กู๋หมิงเซียงรู้สึกเสียดายมันขึ้นมา เขาอดคิดไม่ได้ว่าบางทีถ้าเขาเลือกที่จะอยู่ติดตามเย่เชียน มันอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเขาก็ได้ แต่มันสายไปเสียแล้ว เพราะเขาได้พูดคำนั้นออกจากปากไปแล้ว อีกทั้งเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองนั้นได้ขายจิตวิญญาณของตัวเองให้กับคนอื่นไปแล้วด้วย
รอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู๋หมิงเซียง เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจเลือกข้างผิด!
“ในเมื่อผู้จัดการกู๋ตัดสินใจแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ที่จริงกะอีแค่การลาออก ผู้จัดการกู๋ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนท่านประธานซูกับท่านประธานจู้ก็ได้นี่ ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ และผมก็เคารพการตัดสินใจของทุกคนเสมอ ผมหวังว่าผู้จัดการกู๋จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือก” เย่เชียนพูดพลางตบไหล่ของกู๋หมิงเซียงเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ประธานเย่นี่เป็นคนใจกว้างจริง ๆ ” ซูเจี้ยนจุนพูดด้วยรอยยิ้มและมองไปที่เย่เชียนราวกับว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนโง่เขลาที่ไม่รู้ว่าทรัพย์สินของตัวเองนั้นถูกยึดมาทั้งหมดแล้ว
เย่เชียนยิ้มอย่างเยือกเย็นและไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากที่เงียบกันไปครู่หนึ่ง เย่เชียนก็เหลือบมองไปที่ซูเจี้ยนจุนและพูดว่า “เมื่อคืนนี้ ท่านประธานซูบอกผมว่า คุณไปเจอผู้หญิงที่สวยอย่างกับนางฟ้า ก็เลยอยากให้ผมมาเจอเธอไม่ใช่เหรอ ?”
ซูเจี้ยนจุนยิ้มเย้ยและพูดว่า “แล้วผู้หญิงคนนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับประธานเย่หรือเปล่าล่ะ ?”
“โธ่! ท่านประธานซู คุณพูดมาเถอะหน่า” เย่เชียนพูด
“ประธานเย่เองก็น่าจะรู้นะว่าเฉินฟู่เฉิงน่ะมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ?” ซูเจี้ยนจุนพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นคือลูกสาวของเฉินฟู่เฉิง ว่าแต่เธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับประธานเย่บ้างมั้ยล่ะ ?”
เย่เชียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าซูเจี้ยนจุนจะไม่รู้ว่าเขาและจ้าวหยานั้นรู้จักกัน “ท่านประธานเฉินบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะเสียน่ะ… แต่ผมก็ยุ่งแต่กับเรื่องที่บริษัทจนลืมเรื่องนี้ไปเลย” เย่เชียนพูด
“แล้วประธานเย่จะขอบคุณฉันยังไงดีล่ะ” ซูเจี้ยนจุนถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วท่านประธานซูคิดว่าผมควรจะขอบคุณคุณมั้ยล่ะ ?” เย่เชียนถามกลับ
ซูเจี้ยนจุนดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและคิดว่าเย่เชียนคงไม่ได้เตรียมตัวมาและไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ เขาจึงตอบกลับมาแบบโง่เขลาเช่นนั้น
“ประธานเย่หมายความว่ายังไงหรือ ?” ซูเจี้ยนจุนถามด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนแสร้งยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ ? ก็ตอนนี้ยัยลูกสาวตัวแสบของประธานเฉินดันโผล่มา มันก็หมายความว่า… ท่านประธานซูก็น่าจะเข้าใจนะ คุณคิดว่าผมควรจะขอบคุณมั้ยล่ะ ?”
เย่เชียนจงใจไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่ซูเจี้ยนจุนก็รู้ได้โดยธรรมชาติว่าเย่เชียนนั้นกำลังหมายถึงอะไร จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “โอ้… ฉันเข้าใจแล้ว แหม่! ฉันคนนี้นี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่มันเป็นการช่วยเหลือที่เปล่าประโยชน์เสียจริง ฉันหวังว่าประธานเย่คงจะไม่โกรธเคืองกันหรอกนะ”
“โธ่! ท่านประธานซู ในเมื่อตอนนี้เธอกลับมาแล้ว ผมก็ต้องรับผิดชอบบางอย่าง ไม่งั้นผมก็ต้องรู้สึกผิดกับประธานเฉินน่ะสิ ถ้างั้นท่านประธานซูให้ผมพาเธอกลับไปด้วยจะได้มั้ย ?” เย่เชียนพูด
ซูเจี้ยนจุนนั้นเป็นจิ้งจอกเฒ่า ซึ่งโดยปกติแล้วเขาคงจะไม่เชื่อคำพูดของเย่เชียนอย่างแน่นอน แต่คำพูดและความหมายที่เย่เชียนพูดออกมานั้นมันชัดเจนมากว่า เย่เชียนนั้นกลัวว่าลูกสาวของเฉินฟู่เฉิงจะมาแข่งขันกับเขาเพื่อแย่งชิงมรดกและสมบัติทั้งหมดของเฉินฟู่เฉิง แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นเพียงแค่คำพูดของเย่เชียนเท่านั้น และซูเจี้ยนจุนก็ยังไม่ทราบดีถึงระดับความน่าเชื่อถือของคำพูดนั้น ๆ
“ไม่ต้องกังวลไปประธานเย่… คุณสบายใจได้เลย ในเมื่อปัญหานี้มันเกิดจากฉันเอง ฉันก็สมควรที่จะต้องแก้มันด้วยตัวเอง” ซูเจี้ยนจุนพูดด้วยท่าทางที่ชอบธรรม
“ท่านประธานซูจะไม่ฆ่าเธอหรอกใช่มั้ย ? คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ เพราะผู้คนตามท้องถนนจะลือกันเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของพวกเราได้ แล้วถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปล่ะก็… พวกเราจบเห่แน่” เย่เชียนรู้สึกกังวลใจมาก แต่ก็พยายามคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ดูน่าสงสัยจนเกินไป เพราะตอนนี้จ้าวหยายังคงอยู่ในกำมือของซูเจี้ยนจุน และเพื่อความปลอดภัยของเธอ เย่เชียนก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามทำอะไรมากเกินไปได้ เขาต้องยื้อเวลาเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปช่วยจ้าวหยาทีหลัง
“ประธานเย่ก็กังวลเกินไป พวกเราทุกคนเป็นพลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมายและหลักศีลธรรม เราไม่ได้ต้องการฆ่าใคร” ซูเจี้ยนจุนพูด “ฉันแค่ต้องการแสดงความจริงใจในการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันกับประธานเย่เอง ในเมื่อฉันทำผิดพลาด ฉันก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วสิ”
หลังจากได้ยินคำพูดของซูเจี้ยนจุนแล้ว เย่เชียนก็สงบลงชั่วคราวและหวังในใจว่าซูเจี้ยนจุนคงจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับจ้าวหยา หรืออย่างน้อยก็ในตอนนี้ จากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านประธานซูเป็นคนที่ทรงเกียรติในจีนอย่างแท้จริง เย่เชียนคนนี้รู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้มาสนิทสนมกับท่านประธานซู”
“ประธานเย่ก็ยกยอฉันเกินไป… ฮ่า ๆ ๆ !” ซูเจี้ยนจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “เรามาดื่มชากันเถอะ” ซูเจี้ยนจุนทำท่าทางเชิญชวนเย่เชียนและหยิบชาที่เขาชงขึ้นมา
เย่เชียนรู้ดีว่าในเวลานี้จู้ซานและซูเจี้ยนจุนนั้นได้จัดตั้งพันธมิตรกันแล้ว และตัวเองก็ต้องกำจัดพวกเขาทั้งสองไปในเวลาเดียวกัน อีกอย่างที่เมืองเซี่ยงไฮ้เองก็ยังไม่มั่นคง เพราะชิงกรุ๊ป หงเหมินกรุ๊ปและตงเซียงกรุ๊ปต่างก็พร้อมที่จะทำการเคลื่อนไหว แล้วไหนจะไป๋ฮวยอีกคนล่ะ ถ้าหากเย่เชียนไม่ระวังล่ะก็ กลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเขาอาจจะต้องสูญสิ้นไปจริง ๆ ก็เป็นได้
มาจนถึงตอนนี้เย่เชียนก็ยังไม่เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของจู้ซานและซูเจี้ยนจุนเลย ถ้าพวกเขามาเพื่อกู๋หมิงเซียงเพียงอย่างเดียวมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องรวมตัวกันมาที่นี่ พวกเขาสามารถวางกู๋หมิงเซียงเอาไว้เป็นตัวหมากได้โดยไม่ต้องออกตัวเช่นนี้ เย่เชียนได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานาอยู่ในหัว
“ที่จริงก็มีอีกเรื่องนึงที่เรียกประธานเย่มาพบในวันนี้… มีเพื่อนของฉันคนนึง เขาอยากทำความรู้จักประธานเย่ แต่เขาไม่กล้าที่จะมาบอกกับประธานเย่เอง ฉันก็เลยมาเป็นคนกลางให้น่ะ” ซูเจี้ยนจุนพูด
เย่เชียนคิดว่านี่แหละคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาในการพบกันในครั้งนี้ “โอ้ว… เขาคนนั้นเป็นใครเหรอครับ ? ถึงขนาดต้องให้ท่านประธานซูมาแนะนำเองเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม