“จะเป็นใครที่ไหนไปได้ล่ะ ? ถ้าไม่ใช่เฝิงเฝิงคนนี้น่ะ ฮ่า ๆ ๆ ” เสียงคำพูดของชายวัยกลางคนดังขึ้นก่อนที่คนในห้องจะทันได้เห็นเขาเดินเข้ามาเสียอีก
เฝิงเฝิงนั้นมีบุคลิกที่ดูหยิ่งผยองและวางมาดอยู่ไม่เบา อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนต่างก็มักจะให้ความสำคัญกับการมีตัวตนของเขาอยู่เสมอและปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงกษัตริย์ แม้แต่ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานในตอนนี้ก็ยังไม่เว้น พวกเขาลุกขึ้นยืนต้อนรับการเข้ามาของเฝิงเฝิงอย่างนอบน้อม
เมื่อเย่เชียนเห็นเฝิงเฝิงเดินเข้ามา เขาก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่น เพราะดูท่าว่าเฝิงเฝิงนั้นจะมาถึงเมืองหนานจิงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ทว่ากลับไม่เข้ามาพบเขาด้วยตัวเอง ได้แต่ส่งไป๋ฮวยมาแทน แล้วพอมาวันนี้เฝิงเฝิงจะมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะผูกมิตรกับเขาเนี่ยนะ ?
หลังจากที่เย่เชียนพินิจพิจารณาชายที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้ว ก็พบว่าเฝิงเฝิงนั้นเป็นคนหัวล้าน บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นที่ชัดเจนมากและมีรอยสักอยู่ที่ลำคอของเขา ถ้าเย่เชียนจำไม่ผิด เฉิงเหวินเคยเล่าให้เขาฟังว่าเฝิงเฝิงคนนี้นี่แหละที่เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลมากในมลฑลเจียงซู
เฝิงเฝิงนั้นมีความเป็นมาแตกต่างไปจากซูเจี้ยนจุนและจู้ซานอยู่ไม่น้อย เพราะเรื่องราวของเขานั้นมันเริ่มต้นมาจากกลุ่มอันธพาลเล็ก ๆ เท่านั้นเอง เขาจึงต้องต่อสู้อยู่ใต้ดินมาอย่างยาวนานกว่าที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่ในมลฑลเจียงซูได้อย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ใบหน้าของเฝิงเฝิงนั้นดูสงบ ไม่มีร่องรอยของความเคียดแค้นหรือการเป็นศัตรูในแววตาของเขาเหมือนกับซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเลย ทว่าเขากลับดูทรงพลังและดูยิ่งใหญ่มากกว่าฉินเทียนเสียอีก ซึ่งทำให้คนเช่นเขามักจะใช้ความทรงพลังนี้ในการข่มเหงและกดดันผู้อื่นอยู่เสมอ
สายตาของเฝิงเฝิงตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนั้นไม่เคยละออกไปจากการจ้องมองเย่เชียนเลยสักวินาทีเดียว มันเป็นสายตาแห่งความดูถูกเย้ยหยันและความหมายของมันก็ชัดเจนมาก นั่นคือเฝิงเฝิงเห็นเย่เชียนเป็นแค่ลูกไก่ในกำมืองของเขา และถ้าเขาอยากจะจัดการกับเย่เชียนวันไหน เขาก็สามารถทำได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ
หมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นติดตามเฝิงเฝิงมาที่นี่ด้วยอีกคน เย่เชียนเห็นเขาเดินอยู่ทางด้านหลังของเฝิงเฝิง ทว่าจังหวะที่เขาละสายตาไปมองเฝิงเฝิงอยู่นั้น ร่างของหมาป่าผีไป๋ฮวยก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านไปอย่างเชื่องช้ามากจนแทบจะรู้สึกราวกับว่าเวลานั้นได้หยุดลงไปชั่วขณะยังไงยังงั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็รู้สึกทึ่งไปกับออร่าอันเปล่งประกายของเฝิงเฝิง ยิ่งเมื่อเฝิงเฝิงนั่งลงใกล้ ๆ กับพวกเขา มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาแต่ละคนรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างบอกไม่ถูก เว้นก็แต่เย่เชียนเพียงคนเดียวที่ยังคนนิ่งเฉยและจิบชาอย่างสบาย ๆ ได้อยู่ เพราะเขานั้นเคยต้องเผชิญหน้ากับผู้คนที่มีความแข็งแกร่งและทรงพลังมาแล้วมากมาย และบางคนก็ยิ่งใหญ่กว่าเฝิงเฝิงไม่รู้จักกี่เท่า
เฝิงเฝิงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ ในห้องประชุม ในขณะที่เฝิงซื่อเหลียงลูกชายของเขายืนอยู่ทางด้านหลัง ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาด้วยนั้นยืนรอกันอยู่ที่หน้าห้อง
บรรยากาศในห้องประชุมตอนนี้มันช่างน่าอึดอัดใจยังไงพิกล ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องจะทำตัวไม่ถูกและสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปโดยปริยาย จะมีก็แต่เย่เชียนเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองสายตาของเฝิงเฝิงกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว เขาถือคติว่าแม้วันหนึ่งตัวเขานั้นจะต้องสิ้นชีพลง แต่เขาจะไม่มีวันเผยให้ศัตรูเห็นถึงความอ่อนแอของเขาเป็นอันขาด
เห็นได้ชัดว่าเฝิงเฝิงนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่ไม่น้อย ทว่าเขาก็ยังคงวางมาดนั่งเอาขาไขว่ห้างและกระดิกเท้าไปมา พร้อมกันนั้นเขาก็หยิบซิการ์ออกมาด้วยมวนหนึ่ง จู้ซานที่เห็นดังนั้นก็รีบหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดซิการ์ให้เขาด้วยความกระตือรือร้นโดยที่เฝิงเฝิงไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งโดยปกแล้วเวลาที่คนอื่นอาสาจุดบุหรี่หรือซิการ์ให้ คนผู้นั้นจะต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องใกล้ ๆ กับไฟที่กำลังถูกจุดอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็จะต้องยกขึ้นมาเพื่อแสดงความขอบคุณให้กับผู้ที่จุดไฟให้ แต่เฝิงเฝิงกลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะในสายตาของเฝิงเฝิง จู้ซานผู้นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาและคงไม่ควรค่าแก่การแสดงความเคารพของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เย่เชียนใช่มั้ย ? ยังหนุ่มยังแน่นแต่ได้มาเป็นผู้สืบทอดของเฉินฟู่เฉิงแบบนี้ นายคงมีฝีมือไม่เบาเลยสินะ… สมัยก่อนตอนฉันอายุเท่านาย ฉันยังเป็นแค่นักเลงข้างถนนอยู่เลย” เฝิงเฝิงพูดขึ้นอย่างวางท่า
“ครับ!” เย่เชียนตอบสั้น ๆ และไม่แยแสกับคำชมเชยอันเสแสร้งของเฝิงเฝิงเลยสักนิด
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฝิงเฝิง จากนั้นเขาก็พูดว่า “นายไม่ต้องมาถ่อมตัวอะไรกับฉันหรอก เส้นทางสู่ความเป็นใหญ่ในเมืองหนานจิงนี่มันไม่ง่ายนะ นายคิดว่าตัวเองจะถีบตัวเองขึ้นไปได้สูงแค่ไหนกัน ? ยิ่งถ้าเป็นในมลฑลเจียงซูที่ฉันดูแลอยู่ด้วยแล้ว ต่อให้เวลาผ่านไปสักสิบปี ฉันว่าอะไร ๆ มันก็จะยังคงเหมือนเดิม”
เย่เชียนได้ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเฝิงเฝิงมาที่นี่เพื่อล้างแค้นคืนให้กับลูกชายของตัวเอง ทว่าเย่เชียนนั้นไม่เคยมีความเกรงกลัวใด ๆ กับการท้าทายกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้อยู่แล้ว
“อย่างงั้นเหรอครับ ? คุณไม่คิดว่าคุณน่ะประเมินตัวเองสูงไปหน่อยเหรอ ?” เย่เชียนโต้กลับอย่างเกรี้ยวกราด
“กล้าหาญไม่เบานี่ รู้มั้ยว่านายเป็นคนแรกเลยที่กล้าพูดจากับฉันแบบนี้!” สีหน้าของเฝิงเฝิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเจอเย่เชียนตอกกลับใส่หน้าของเขาเช่นนั้น
“หึ ๆ ๆ ผมจะคิดซะว่านั่นคือคำชมของคุณก็แล้วกัน!” เย่เชียนตอบกลับด้วยท่าทางเฉยเมย
เฝิงเฝิงพยายามระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้ แล้วพูดต่อไปว่า “ทั้งเมืองหนานจิงและมลฑลเจียงซูต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เหมือนดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า… ฉันจะไม่ยอมแน่ถ้าใครหรืออะไรก็แล้วเข้ามาทำไม่ดีต่อมลฑลเจียงซูของฉัน! แต่ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้น่ะฉันมาเพื่อซูเจี้ยนจุน เขามีบางอย่างต้องจัดการฉันก็เลยมาช่วย”
คำพูดนั้นของเฝิงเฝิงมันยิ่งทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนมากขึ้นไปอีกว่า ทุกคนในห้องนี้ล้วนแล้วแต่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเย่เชียนและทุกคนต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเขาในวันนี้ให้จงได้ เย่เชียนจึงพูดขึ้นว่า “หึ ๆ ๆ แค่ผมคนเดียวพวกคุณถึงกับต้องยกโขยงกันมาขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ? ความสามารถของพวกคุณมันต่ำขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องมาเล่นพรรคเล่นพวกกันแบบนี้น่ะ ?”
ไม่เคยมีใครที่กล้าพูดจาโอหังจนทำให้เฝิงเฝิงต้องโกรธจัดขนาดนี้มาก่อน!
“เฮ้ย!” เฝิงเฝิงตะโกนพร้อมกับใช้กำปั้นของเขาทุบลงไปอย่างแรงที่โต๊ะ จากนั้นก็พูดต่อไปอีกว่า “แกกล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับคนอย่างฉัน ?! จริง ๆ แล้ววันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยเรื่องธุรกิจหรืออะไรทั้งนั้นแหละ แต่ฉันมาเพื่อแก้แค้นคืนให้กับลูกชายของฉันต่างหาก!”
เฝิงซื่อเหลียงที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะมันนานมากแล้วที่เขาเห็นพ่อของเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ มันทำให้เฝิงซื่อเหลียงยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เพราะเขาคิดว่ายังไงซะวันนี้เย่เชียนก็คงจะหนีไปไหนไม่รอดแน่
เย่เชียนหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าคุณคิดจะมาเพื่อแก้แค้น คุณก็แค่พูดมันออกมามาตรง ๆ ก็ได้นี่นา ทำไมต้องอ้อมค้อมให้มากเรื่องด้วย ? ผมว่าที่ไม่มีใครกล้าพูดกับคุณแบบนี้ มันก็เป็นเพราะว่าคุณน่ะยังไม่เคยเจอของจริงยังไงล่ะ!”
“ฮึ่ม! แกทำเป็นปากดีไปเถอะไอ้เด็กเมื่อวานซืน” เฝิงเฝิงโกรธจนตัวสั่น “ถ้าแกคิดว่าตัวเองเก่งนัก งั้นก็เอาชีวิตอันน่าสมเพชของแกให้รอดออกจากห้องนี้ไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเฝิงเฝิงก็มีชายหัวโล้นรอยสักเต็มตัวเดินเข้ามาสมทบในห้องด้วยอีกคน
เย่เชียนมองอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “คนที่จะฆ่าผมได้… ยังไม่ได้จุติและถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เลย!”
พูดจบเย่เชียนก็กระโดดเตะไปที่ลำคอของชายหัวโล้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ชายหัวโล้นไม่ทันได้ตั้งตัวกับการจู่โจมของเย่เชียน เขาจึงทำได้เพียงแค่ยกแขนขึ้นมาและพยายามป้องกันตัวเองเอาไว้
ขณะเดียวกันนั้นเองตรงดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้ามนั้น หมาป่าผีไป๋ฮวยกำลังมองผ่านกล้องส่องทางไกลเพื่อสังเกตุการณ์อยู่ด้วย เขาไม่ลืมที่จะแอบติดไมโครโฟนขนาดจิ๋วไว้ที่เสื้อของเฝิงซื่อเหลียงเพื่อดักฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นในห้องทั้งหมด หลังจากเห็นชายหัวโล้นเสียท่าให้กับเย่เชียนแล้ว รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋ฮวย
“โทษทีนะ… แต่ฉันคงจะช่วยอะไรนายไม่ได้แล้วล่ะ” ไป๋ฮวยพึมพำ
พลั่ก!!!
เย่เชียนเตะชายหัวโล้นเข้าไปที่แขน ซึ่งลูกเตะนั้นมันก็ทำให้ชายหัวโล้นตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปในทันที แขนของเขามันชาไปหมด จากนั้นเขาก็เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวและเกือบจะล้มลงกับพื้น
เฝิงเฝิงเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ดูเหมือนว่าเขานั้นจะประเมินความสามารถของเย่เชียนต่ำจนเกินไป แต่เฝิงเฝิงก็ยังมั่นใจอยู่ดีว่าชายหัวโล้นจะสามารถเอาชนะเย่เชียนได้ในที่สุด เพราะชายหัวโล้นคนนี้เป็นลูกน้องที่มีฝีมือในการการต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาลูกน้องของเขา
ชายหัวโล้นคนนี้นั้นเติบโตในวัดเส้าหลินตั้งแต่ยังเด็ก แต่ต่อมาเขาได้ละเมิดกฎเหล็กของวัดเส้าหลินจึงถูกขับไล่ออกจากวัด หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าเข้าสู่โลกอาชญากรรมภายใต้การควบคุมดูแลของเฝิงเฝิง ทักษะวิชาการต่อสู้ของเขานั้นถือได้ว่ายอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะไม่ได้มีวิชากำลังภายในเหมือนกับในภาพยนตร์ก็ตาม แต่พวกเขาเหล่านั้นก็มีทักษะและวิชามวยมากมาย นอกจากนี้ชายหัวโล้นคนนี้ก็ทั้งฉลาดและแข็งแกร่งมาก ดังนั้นทักษะและวิชาการต่อสู้ของเขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ชั้นหนึ่งอีกคนหนึ่งเช่นกัน
เฝิงเฝิงนั้นได้รับชัยชนะในการต่อสู้ในโลกอาชญากรรมมาโดยตลอด ตั้งแต่มีชายหัวโล้นคนนี้เข้ามาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ซึ่งการเผชิญหน้ากับเย่เชียนในครั้งนี้ เฝิงเฝิงนั้นไม่รู้ถึงรายละเอียดของเย่เชียนมากนัก แต่เพื่อความแน่ใจเขาจึงเลือกที่จะพาชายหัวโล้นมาที่นี่ด้วย
หลังจากที่ได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดของลูกเตะจากเย่เชียนในครั้งนี้แล้ว ชายหัวโล้นก็ตั้งการ์ดมวยเส้าหลินและพุ่งเข้าหาเย่เชียนทันทีที่เขาตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว
เย่เชียนตัดสินใจใช้ทักษะการต่อสู้ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะเขารู้สึกว่าการะประชุมคราวนี้มันชักจะยืดเยื้อและไร้สาระไปกันใหญ่แล้ว การจบมันอย่างเร็วที่สุดคงจะเป็นสิ่งที่เขาควรทำ ทันใดนั้นเองที่เย่เชียนกระโดดหมุนตัวเตะสลับขาทั้งสองข้างรัวเข้าไปยังชายหัวโล้นผู้โชคร้าย ลูกเตะเหล่านั้นมันรวดเร็วเสียจนมองตามแทบไม่ทัน ทว่ามันไม่ได้มีแค่ความเร็วเท่านั้น แต่ยังมีความรุนแรงสูงมากในลูกเตะแต่ละลูกอีกด้วย
ทางด้านไป๋ฮวยที่เห็นเย่เชียนกำลังรัวลูกเตะอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “เฮ้ย! นี่มันไม่เบาเลยนี่หว่า ฉันไม่เคยเห็นลูกเตะที่ทั้งเร็วและแรงแบบนั้นมาก่อนเลย”
น่าแปลกที่ตอนนี้เฝิงเฝิงยังคงวางท่าได้อยู่ ในขณะที่คนอื่น ๆ ในห้องนั้น หัวใจของพวกเขาได้ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มกันแล้ว
ทันใดนั้นประตูห้องประชุมส่วนตัวก็ถูกเปิดออก จากนั้นก็มีผู้เฒ่าอายุเกือบร้อยปีเดินเข้ามาอย่างสบาย ๆ หลังจากที่เขาเห็นฉากการต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว เขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “โอ้… ฉันนี่โชคดีจริงที่ได้มีโอกาสมาเห็นการต่อสู้ดี ๆ แบบนี้”
ทางด้านหลังของเขานั้นมีชายหญิงจำนวนหนึ่งเดินตามมาด้วยใบหน้าที่ดูสงบเสงี่ยม แต่เมื่อพวกเขาเหล่านั้นเห็นเย่เชียนกับชายหัวโล้นกำลังต่อสู้กันเช่นนี้ ความตื่นเต้นก็ฉายขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทันที