หลังจากลงจากภูเขาสีม่วงกันแล้ว เย่เชียนกับจ้าวหยาก็ไปดินเนอร์มื้อค่ำกันต่อ หลังจากนั้นเย่เชียนก็ไปส่งเธอที่โรงแรม ซึ่งเย่เชียนนั้นต้องการที่จะขึ้นไปส่งจ้าวหยาให้ถึงที่ห้อง แต่จ้าวหยากลับปฏิเสธโดยบอกว่าเธอนั้นขึ้นไปคนเดียวได้และให้เย่เชียนรีบไปทำธุระของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะสับสนอยู่เล็กน้อยว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมเธอถึงทำตัวดี อ่อนโยนและเข้าใจตัวเขาได้ถึงขนาดนี้ แต่เย่เชียนคิดยังไงก็คิดไม่ออก เขาจึงได้แต่ทำตามที่เธอบอกแต่โดยดี
เมื่อเห็นรถของเย่เชียนออกไปแล้ว จ้าวหยาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาของเธอนั้นดูแน่วแน่และมั่นคงอย่างยิ่ง จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรออก หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เรียกรถแท็กซี่และนั่งออกจากโรงแรมไป
……
ครึ่งชั่วโมงต่อมาเย่เชียนก็ขับรถมาถึงที่ชมรมชาร์ปไนฟ์ เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าการตกแต่งของที่นี่นั้นให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและดุดันเหมาะสมกับผู้ใช้อย่างมาก
มีการ์ดสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู โดยทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดลายพรางของหน่วยรบพิเศษและยืนตัวตรงเหมือนกับทหาร เย่เชียนแอบถอนหายใจอย่างลับ ๆ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าของชมรมชาร์ปไนฟ์แห่งนี้คงจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ เพราะขนาดแค่การ์ดเฝ้าหน้าประตูยังเป็นคนของกองทัพเช่นนี้
เย่เชียนเดินตรงไปที่ประตู และแน่นอนว่าการ์ดทหารทั้งสองคนก็ขวางเขาเอาไว้ จากนั้นการ์ดทหารคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “คุณมีบัตรสมาชิกหรือเปล่า ?”
“ไม่มี… หวงฟู่เส้าเจี๋ยบอกให้ผมมาหา” เย่เชียนพูด
“คุณคือเย่เชียนใช่มั้ย ?” ทั้งสองคนถามพลางมองเย่เชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “หัวหน้ากองแจ้งพวกเราเอาไว้แล้ว… คุณเข้าไปได้เลย ตรงไปทางซ้ายผ่านทางเดินจากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าไปในห้อง หัวหน้ากำลังรอคุณอยู่ที่นั่น”
“ขอบคุณ!” เย่เชียนพยักหน้าตอบ จากนั้นก็เดินเข้าไป
“น้องชายรอเดี๋ยว!” หนึ่งในนั้นเรียกเย่เชียนให้หยุดและกระซิบข้าง ๆ หูของเย่เชียนว่า “เอาชนะให้ได้นะวันนี้ ช่วยสั่งสอนเขาที เขาจะได้ไม่คิดว่าตัวเองแน่อีก”
เย่เชียนเกือบจะหลุดขำออกมาแล้วเชียว นี่ขนาดคนของเขายังเป็นอย่างนี้! แต่เย่เชียนเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เขาเพียงยิ้มและพยักหน้ารับเท่านั้น
การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่าย แต่ก็แฝงไปด้วยความหรูหราทว่าดุดันในคราวเดียว บางครั้งก็จะมีเสียงปืนและเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้น ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ใครในที่นี้ตกใจกลัวแต่อย่างใด มันกลับทำให้พวกเขารู้สึกฮึกเหิมและมีพลังเสียมากกว่า ซึ่งเย่เชียนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว มันทำให้เย่เชียนคิดว่าตัวเองควรจะเปิดธุรกิจแบบเดียวกันนี้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ด้วยดีหรือไม่ เพราะเชื่อว่ามันจะสามารถดึงดูดความสนใจจากคนในกองทัพได้อย่างแน่นอน
เย่เชียนเดินมาตามทางที่การ์ดเฝ้าหน้าประตูบอก จนในที่สุดเขาก็มาถึงลานฝึกซ้อมในร่ม ที่ลานแห่งนี้มันเต็มไปด้วยกระสอบทรายและเสาไม้ต่าง ๆ และตรงจุดศูนย์กลางนั้นมีเวทีต่อสู้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งเวลานี้เองที่มีชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบชุดลายพรางกำลังประลองฝีมือกันอยู่บนเวที เย่เชียนเชียนยืนดูอยู่พักหนึ่งก็พบว่าการเคลื่อนไหวของทั้งคู่นั้นไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย มันเป็นการต่อสู้อย่างง่าย ๆ ทว่าแข็งแกร่งเลยทีเดียว ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นหลักสูตรที่ถูกสอนมาโดยกองทัพ หนึ่งในสองของชายบนเวทีนั้นค่อนข้างที่จะตัวเล็ก แต่แม้เขาจะตัวเล็ก แต่เขาก็มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วมาก ซึ่งเขามักจะไม่เลือกที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู่โดยตรง แต่มุ่งเน้นไปที่การโจมตีสวนกลับอย่างมีประสิทธิภาพหลังจากที่หลบหลีกการโดจมตีของคู่ต่อสู้ได้แล้ว มันแสดงให้เห็นว่าชายตัวเล็กคนนี้มีเทคนิคในการโจมตีอย่างชาญฉลาดเลยทีเดียว
โดยรอบของเวทีนั้นมีผู้คนมุงดูกันอยู่มากมายอย่างตื่นเต้น แต่ละคนดูท่าจะมีฝีมืออยู่ไม่เบาเลยทีเดียว ซึ่งหวงฟู่เส้าเจี๋ยเองก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเช่นกัน และเขาก็ตะโกนเชียร์อย่างตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ในที่สุดชายหนุ่มร่างเล็กก็ล้มคู่ต่อสู้ลงกับพื้นจนได้ ทำให้ทั้งเสียงเชียร์และเสียงโห่ดังกึกก้องมาจากผู้ชมจากข้างขอบเวที ซึ่งมันก็ไม่ได้หยาบคายหรืออะไรเลย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกเสียมากกว่า เพราะมีเพียงเพื่อนและมิตรสหายเท่านั้นที่สามารถยอมรับกับคำติชมและคำตำหนิเหล่านั้นได้ ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะในฐานะทหารแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ เช่นนี้ราวกับว่าเขาได้กลับไปที่ตะวันออกกลางและร่วมฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนทักษะกันกับเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าของเขา
“หัวหน้ากอง… คนที่คุณพูดถึงจะมามั้ยเนี่ย ? นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ!” หนึ่งในนั้นหันไปมองหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วถามขึ้น
หวงฟู่เส้าเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นและรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “หึ… ไม่ต้องห่วง เพราะถ้าเขาไม่มาล่ะก็… ฉันจะออกไปตามล่าเขาเอง”
เย่เชียนยิ้มมุมปาก เพราะในการประลองนั้นหากฝ่ายใดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้สงบได้ ฝ่ายนั้นมักจะกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ไปในที่สุด ซึ่งเห็นกันอยู่แล้วว่าอารมณ์ของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นไม่ได้อยู่ใกล้กับความสงบสุขุมเลย มันทำให้เย่เชียนรู้ได้โดยธรรมชาติว่า เขานั้นเข้าใกล้ชัยชนะไปแล้วครึ่งทาง
“ผมอยู่นี่แล้ว!” เย่เชียนตะโกน
สิ้นเสียงเย่เชียน ทุกสายตาก็หันขวับไปมองที่เขาทันที เมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่ดูผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้เนี่ยนะที่กล้ามาประลองฝีมือกับหัวหน้ากองของพวกเขา ? เพราะนอกจากรอบแผลเป็นบนใบหน้าที่ช่วยเพิ่มความดุดันให้กับเย่เชียนแล้ว ที่เหลือมันก็ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เอาเข้าจริงเย่เชียนนั้นดูเหมือนพวกเด็กนักเรียนหรือพวกหนุ่มพนักงานออฟฟิศทั่วไปมากกว่า ซึ่งถ้าเทียบกันกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่มีรูปร่างสูงกำยำและเป็นถึงหนึ่งในนักสู้ที่เก่งกาจที่สุดในชมรมแล้วนั้น มันคนละชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งในผู้คนเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากับหวงฟู่เส้าเจี๋ยและพูดว่า “หัวหน้ากอง! นี่คุณไม่ได้ดูถูกการประลองของพวกเราหรอกใช่มั้ย ?”
เมื่อตอนบ่าย หวงฟู่เส้าเจี๋ยมีโอกาสได้เห็นสเต็ปการต่อสู้ของเย่เชียนมาแล้วนิดหน่อย เขาจึงไม่กล้าที่จะดูถูกเย่เชียนมากนัก และเขาก็ต้องการให้ฝูงวัวเหล่านี้ได้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้เสียบ้างเขาจึงพูดว่า “พวกคุณยังไม่เคยเห็นเขาต่อสู้เลย แล้วพวกคุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันจะสามารถเอาชนะเขาได้ ? ฉันขอบอกเลยว่าฝีมือเขาน่ะไม่ใช่ย่อยเลย ไม่เชื่อก็ลองดูเอาเองละกัน!”
เย่เชียนเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปยืนตรงหน้าหวงฟู่เส้าเจี๋ย จากนั้นก็พูดว่า “ที่ฉันมาในคืนนี้ก็เพราะว่านายเรียกฉันมา… เพราะงั้นฉันจะไม่สู้กับคนอื่นนอกจากนาย!”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยกวาดสายตามองไปที่ผู้คนเหล่านั้นและตะโกนว่า “พวกคุณเห็นมั้ย !? นี่… มันต้องมั่นใจแบบนี้สิถึงจะดี!” จากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เชียนและพูดว่า “เอาเป็นว่าตามนั้น… แต่อย่าอ่อนข้อล่ะ ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“นี่นายจะสู้หรือว่าจะคุยเนี่ย ?” เย่เชียนถาม
“สู้สิ! มา ๆ ขึ้นเวทีได้เลย” หวงฟู่เส้าเจี๋ยทำท่าเชิญเพื่อส่งสัญญาณให้เย่เชียนขึ้นไปบนเวทีก่อน
เย่เชียนฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นเวทีไปด้วยความมั่นใจ เหล่าผู้ชมที่ยืนอยู่ติดขอบเวทีต่างก็อดไม่ได้ที่จะโห่ร้องอีกครั้งโดยคิดว่าเย่เชียนขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าทางที่เสแสร้งว่าใจกล้า แต่เย่เชียนก็ยังคงฉีกยิ้มและไม่แยแสพวกเขาที่โห่ร้องกันอยู่ข้างล่าง
หวงฟู่เส้าเจี๋ยเองก็มีรอยยิ้มที่มั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเช่นกัน เขากระโดดขึ้นไปบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้มีเสียงตะโกนเชียร์และเสียงนกหวีดดังขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นภูมิใจกับฝีมือและทักษะความสามารถของตัวเองอย่างมากเขาจึงโบกมือไปมาดั่งแชมป์ผู้ยิ่งใหญ่
“ในเมื่อเรากำลังอยู่ในการแข่งขันการประลอง… เพราะงั้นถ้าหากใครชนะก็ต้องได้รางวัลตอบแทนถูกมั้ย ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
“แน่นอน… แล้วนายต้องการอะไรล่ะ ?” เย่เชียนพยักหน้าและถาม
“ก็อย่างที่ฉันพูดไว้เมื่อตอนบ่ายนั่นแหละ ถ้านายแพ้ นายก็ต้องไปขอโทษเหว่ยเฉินหลงซะ ฉันจะได้หมดหนี้บุญคุณกับเขาเสียที!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างมีชัย
“ได้!” เย่เชียนตอบ
“เอาล่ะ งั้นมาลุยกันเลย!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดพร้อมทำท่าทางกำลังจะเริ่ม
“เดี๋ยวก่อน! นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าถ้าฉันชนะแล้วฉันจะได้อะไร” เย่เชียนพูดอย่างเฉยเมย
“เอ่อ… ถ้างั้นนายต้องการอะไรบอกมาได้เลย!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถึงกับผงะไปชั่วขณะ เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะตั้งแต่ที่เขาทำการประลองมาเขานั้นไม่เคยต้องพ่ายแพ้ให้กับใครเลย แม้ว่าการโจมตีของเย่เชียนเมื่อตอนบ่ายมันจะทรงพลังมากก็ตาม แต่สำหรับเขาแล้ว เขาก็ยังคงคิดว่ามันเป็นเพราะการโจมตีทีเผลอก็เท่านั้น
“ถ้านายแพ้… นายก็แค่คุกเข่าลงแล้วเรียกฉันว่าอาจารย์! แค่นั้นเองเป็นไง ?” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ
ผู้คนรอบ ๆ เวทีก็เริ่มตะโกนดังอีกครั้งเพื่อกระตุ้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยอย่างต่อเนื่อง ส่วนหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็กำลังตกตะลึงอยู่ แต่จากนั้นเขาก็กัดฟันพูดว่า “ยังไงก็ได้!” เพราะอย่างไรก็ตามหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ยังคงมั่นใจในทักษะและความสามารถของเขาราวกับว่าเขานั้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาเสมอ
เย่เชียนได้ฟังดังนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเตรียมพร้อม แล้วพูดว่า “เข้ามาเลย!”
การแสดงออกของเย่เชียนนั้นทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยเกิดความงุนงงในใจของเขา เพราะเมื่อเห็นเย่เชียนทำท่าทางอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ แล้วหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ตกตะลึงอย่างมาก แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเองจนเกินตัวของเขา มันก็ทำให้เขายิ่งคิดว่าเย่เชียนนั้นแค่พยายามทำให้เขาประหลาดใจเพื่อล่อหลอกและเบี่ยงเบนเขาเท่านั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งเข้าหาเย่เชียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหมัดขวาอันหนักหน่วงของหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็กำลังจะพุ่งเข้าไปปะทะที่ส่วนหน้าอกของเย่เชียน ซึ่งมันเป็นหมัดที่ทรงพลังอย่างมาก แต่ทว่าเย่เชียนก็ยังคงยืนอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่มีท่าทีที่จะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นฉากนี้บรรดากลุ่มผู้ชมที่ยืนอยู่ขอบเวทีก็ถึงกับร้องอุทานราวกับว่าพวกเขากำลังจะได้เห็นเย่เชียนถูกหวงฟู่เส้าเจี๋ยต่อยกระเด็นออกไปจากเวที ซึ่งมันก็น่าผิดหวังมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง การแข่งขันการประลองในครั้งนี้มันคงจะน่าเบื่อมาก เพราะพวกเขาคาดหวังเอาไว้ว่าเมื่อหวงฟู่เส้าเจี๋ยขึ้นไปสู้แล้ว พวกเขาจะได้เห็นอะไรที่มันสนุกมากกว่านี้ เพราะเหล่าทหารพวกนี้นั้นชอบที่จะได้เห็นการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันและสู้กันอย่างดุเดือดมากกว่า
ทางด้านของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่ได้คาดว่าทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนนั้นจะแย่ถึงขนาดนี้ หรือเขากลัวจนถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยเหรอ ? อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงบ่ายของวันนี้แล้ว หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไร้ความปรานี มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้ให้แก่เด็กคนนี้ ซึ่งเขาจะไม่ยอมเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี รวมไปถึงเกียรติยศของเขาทั้งหมดให้กับเย่เชียนแน่ ๆ
อีกแค่นิ้วเดียวหมัดของหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็จะปะทะเข้ากับหน้าอกของเย่เชียน วินาทีนั้นเองที่เย่เชียนขยับตัวไปทางด้านข้างแล้วยกมือขึ้นปัดหมัดอันทรงพลังของหวงฟู่เส้าเจี๋ยออกไป เพียงเท่านี้มันก็มากพอที่จะทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยสูญเสียการทรงตัวจนเดินโซเซไปสองสามก้าว โชคดีที่เขานั้นมีพื้นฐานและประสบการณ์การต่อสู้ที่ดี เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจะตกเวทีไปแล้วก็ได้
เย่เชียนไม่ได้คิดที่จะสยบหวงฟู่เส้าเจี๋ยด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวอยู่แล้ว เพราะเขายังคงรู้สึกประทับใจหวงฟู่เส้าเจี๋ยอยู่บ้างที่เขาไม่ใช่อิทธิพลและอำนาจของตระกูลเหมือนกับทายาทคนอื่น ๆ ที่หยิ่งผยองที่เขาเคยพบเจอมา ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากการแทรกแซงของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน มันก็ทำให้เย่เชียนต้องเกรงใจและไว้หน้าให้กับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เย่เชียนต้องทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะเอาชนะหวงฟู่เส้าเจี๋ยให้ได้โดยไม่ให้เขาโดนสบประมาทและทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวในตอนนี้ของหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะถือว่าเป็นมวยไทเก็กแท้ ๆ ซึ่งมีทักษะและกระบวนท่าที่ยุ่งยากอยู่มากมายก็ตาม ซึ่งถ้าหากต้องการล้มหวงฟู่เส้าเจี๋ยให้สมศักดิ์ศรีแล้วล่ะก็ เย่เชียนก็ต้องเอาชนะหวงฟู่เส้าเจี๋ยจากสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นมันพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเอง