บางครั้งการแข่งขันทางธุรกิจมันก็เปรียบได้ดั่งสนามรบของนักธุรกิจ เวลาที่ผ่านเลยไปในแต่ละวินาทีนั้นมีค่ามาก ซึ่งมันสามารถที่จะตัดสินได้เลยทีเดียวว่าใครที่จะเป็นฝ่ายแพ้ และใครที่จะเป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าการต่อสู้กับทางธุรกิจนั้นจะเป็นการต้องสู้กันโดยปราศจากอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการต่อสู้กันทางธุรกิจก็ดุเดือดไม่แพ้กันกับการต่อสู้กันจริง ๆ ในสนามรบเลย
หลังจากการโจมตีในตลาดหุ้นของซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเมื่อวานนี้ได้ทำให้หุ้นของเย่เชียนราคาตกลงไปอย่างฮวบฮาบ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นทั้งรายเล็กและรายใหญ่เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจในบริษัท แม้ว่าทางฝ่ายผู้บริหารจะพยายามจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหยุดแนวโน้มดัชนีที่ตกลงของราคาหุ้นได้เลย
ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อตลาดหุ้นเปิดในเช้าวันนี้ มันจะต้องมีการต่อสู้อย่างดุเดือดอีกครั้งสำหรับดัชนีและราคาหุ้นต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซึ่งผู้ที่แพ้นั้นคงจะไม่ได้อะไรกลับไปแต่ผู้ที่ชนะจะได้ครอบครองโลกธุรกิจไปโดยปริยาย!
ทว่าในความคิดของซ่งหลันนั้นไม่เหมือนกัน เธอคิดว่าผู้แพ้ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่ายแพ้เสมอไป และผู้ชนะก็อาจจะไม่ได้ชนะและครอบโลกแห่งธุรกิจเสมอไป ซึ่งก่อนที่เธอจะเดินทางมาเมืองหนานจิงนั้น ซ่งหลันได้คอยเฝ้าดูสงครามในตลาดหุ้นของเมื่อวานนี้อย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์บนใบหน้า
ตลาดหุ้นไม่ใช่พื้นที่ที่เหมาะสำหรับคนทุกคน เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการเล่นหุ้นได้ แต่สำหรับซ่งหลันนั้นเธอเป็นคนที่สามารถคาดคะเนตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำ ด้วยประสบการณ์ของเธอที่เธอเคยได้มีโอกาสไปร่วมมือกับนักธุรกิจรายใหญ่เพื่อร่วมมือกันปราบปรามเศรษฐกิจและธุรกิจของแถบอเมริกาใต้ ทำให้อเมริกาใต้เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจไปช่วงหนึ่ง ทำให้สามารถเข้าไปลงทุนและทำกำไรได้อย่างมหาศาลมาแล้วนั้น การต่อสู้ในตลาดหุ้นในครั้งนี้นั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายและไร้ซึ่งความท้าทายไปเลย
……
ในห้องประชุมใหญ่ของสโมสร
ผู้บริหารทั้งเจ็ดกำลังนั่งรอเย่เชียนอยู่ตรงที่นั่งประจำตำแหน่งของพวกเขา ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่บึ้งตึงและขมวดคิ้วกันแน่น พวกเขารู้ดีว่ามันจะจ้องมีศึกครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากวันนี้เป็นต้นไปอย่างแน่นอน พวกเขาก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กน้อยว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของจู้ซานและซูเจี้ยนจุนได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยและประหลาดใจอย่างมากก็คือเย่เชียน ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ เลย เพราะเขาเพียงแค่ให้เลขาเฉิงเหวินโทรไปนัดผู้บริหารแต่ละคนให้มาประชุมกันในเช้าวันนี้เท่านั้น
แม้ว่าจะเลยเวลานัดการประชุมไปหลายนาทีแล้ว แต่ทว่าเย่เชียนก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น ทำให้เหล่าบรรดาผู้บริหารชักจะเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา แต่หลังจากที่พวกเขาเคยเห็นกับตาตัวเองมาจากกรณีของกู๋หมิงเซียงแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรนอกไปเสียจากนั่งรอต่อไปอย่างไร้จุดหมายและไม่กล้าที่จะต่อต้านเย่เชียนอีก
ในที่สุดเย่เชียนก็เดินเข้ามาในห้องประชุม เมื่อเหล่าผู้บริหารเห็นเขาเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพอย่างนอบน้อมและพูดทักทายเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านประธาน!”
ที่ด้านหลังของเย่เชียนนั้นมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยเดินตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง เธอคนนั้นคือซ่งหลันนั่นเอง ซึ่งในอดีตเธอนั้นเคยเป็นถึงนักฆ่ามือฉมังขององค์กรดาร์คลิลลี่ แต่ปัจจุบันเธอได้ผันตัวเองมาเป็นประธานของน่านฟ้ากรุ๊ปและช่วยสนับสนุนเย่เชียนอย่างเต็มตัว เธอเดินตามเย่เชียนมาด้วยความมั่นใจเต็มร้อยพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเจืออยู่บนใบหน้า ทุกคนในห้องจ้องมองเธอเดินเข้ามาอย่างกับถูกมนตร์สะกดไว้ให้แน่นิ่งยังไงยังงั้น
ต่อจากซ่งหลัน คนที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก็คืออู๋หวนเฟิง ผู้ที่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็น เขาเพียงแค่เดินตามหลังมาด้วยความสงบเสงี่ยม
“ทุกคนนั่งลงได้… ผมต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอนานเลย” เย่เชียนพูดเสียงดังให้ได้ยินกันไปทั่วทั้งห้อง ขณะเดียวกันเขาเองก็ขยับเก้าอี้ข้าง ๆ เขาให้ซ่งหลันนั่ง
เหล่าผู้บริหารนั่งลงทีละคนอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรใด ๆ ออกมา พวกเขาเพียงแค่รอการตัดสินใจของเย่เชียนเพียงคนเดียวเท่านั้นว่าจะดำเนินการประชุมอย่างไรต่อไป
“เอาล่ะ… เรามาเริ่มกันเลย” เย่เชียนเริ่ม “ผมคิดว่าพูดคุณทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วเรื่องของกู๋หมิงเซียงที่เขาตัดสินใจขายอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของธุรกิจในส่วนของเขาให้กับจู้ซานและซูเจี้ยนจุน… พวกคุณมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?”
พูดจบเย่เชียนก็กวาดสายตามองไปที่ผู้บริหารแต่ละคนและรอคำตอบ ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าเย่เชียนคิดหรือรู้สึกยังไงในตอนนี้ มีเพียงความเย็นยะเยือกที่ล่องลอยอยู่ในห้องเท่านั้นที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้
ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมาสักคนเดียว หม่าชานเหอจึงตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อน “สำหรับผม… ผมคิดว่าคนที่ทรยศหักหลังพวกพ้องนั้นสมควรที่จะต้องตาย!”
คำพูดที่ออกมาจากปากของหม่าชานเหอนั้นไม่ได้ทำให้เย่เชียนรู้สึกแปลกใจอะไรเลย เพราะหม่าชานเหอเป็นถึงหนึ่งในรุ่นบุกเบิกที่คอยติดตามและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันมากับเฉินฟู่เฉิง พวกเขาล้วนต้องผ่านความยากลำบากต่าง ๆ นานากว่าที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างในวันนี้ได้ ในความคิดของหม่าชานเหอนั้น ถึงแม้ว่าเฉินฟู่เฉิงจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ธุรกิจต่าง ๆ ที่พวกเขาพยายามสร้างมันขึ้นมากับมือจะต้องไม่มีวันถูกขายให้กับศัตรูแบบนี้
การทรยศของกู๋หมิงเซียงไม่ได้ทำให้หม่าชานเหอไม่พอใจเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ผู้บริหารคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกไม่พอใจไม่แพ้กัน ทุกคนต่างเริ่มพากันพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้และพากันก่นด่าสาปแช่งกู๋หมิงเซียงอย่างเดือดดาล พวกเขาทั้งหมดเห็นด้วยกับหม่าชานเหอที่ว่าคนอย่างกู๋หมิงเซียงนั้นไม่สมคววรที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้อีกแล้ว
ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าบรรดาผู้บริหารที่ยังคงสาปแช่งกู๋หมิงเซียงจนเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ไปทั่วห้องทำให้เย่เชียนรู้สึกพอใจ เพราะมันเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดในห้องนี้ล้วนมีความเห็นที่ตรงกันจนก่อให้เกิดเป็นความสามัคคี
เย่เชียนชูมือขึ้นเป็นสัญญาณเตือนให้พวกเขาเงียบเสียงลง ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ผมเข้าใจดีว่าการกระทำของกู๋หมิงเซียงนั้นมันเป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ และผมเองก็ไม่ได้คิดที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตัวผมอาจจะยังใหม่อยู่สำหรับที่นี่ และเรื่องนี้มันก็อาจจะทำให้พวกคุณทุกคนรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อมั่นในตัวผม ผมอยากบอกทุกคนในที่นี้ว่าผมนั้นรู้สึกละอายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก”
หลังจากที่เย่เชียนตำหนิและตัดพ้อตัวเองนั้น เย่เชียนก็เหลือบมองไปที่เหล่าผู้บริหารพวกนั้น ซึ่งทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจยกเว้นเลขาเฉิงเหวินกับหม่าชานเหอ
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เย่เชียนก็พูดต่อไปว่า “พวกคุณจำสิ่งที่ผมเคยพูดกับพวกคุณเอาไว้ตอนที่ผมได้พบกับพวกคุณครั้งแรกได้มั้ย ? ว่าถ้ามีใครกล้าที่จะทรยศต่อองค์กรล่ะก็ เย่เชียนคนนี้จะไม่ปรานีอีกต่อไป และผมต้องขอบคุณพวกคุณทุกคนมากที่คอยติดตามและสนับสนุนท่านประธานเฉินตลอดมา แต่หลังจากนี้ไปธุรกิจของกู๋หมิงเซียงผมจะขอเป็นคนจัดการเอง แล้วถ้าใครในที่นี้ไม่พอใจหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปจากผม ผมก็ขอให้คุณพูดมาออกมาตรงนี้เลย แต่ถ้าไม่มี… ผมก็อยากจะฝากคำพูดหนึ่งเอาไว้ให้พวกคุณเก็บกลับไปคิดต่อ…
หากพวกคุณคนไหนต้องการที่จะถอนตัวหรือลาออก ผมก็จะไม่ทำให้คุณอับอายและเคารพในการตัดสินใจของพวกคุณอย่างดี แต่ถ้าหากว่าพวกคุณยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวของผมอยู่ล่ะก็… ผมก็หวังว่าพวกเราทุกคนจะสามารถรวมพลังกันและช่วยทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตราบใดที่พวกเรายังรวมกันเป็นหนึ่งมันก็จะไม่มีอะไรที่พวกเราแก้ไขไม่ได้”
“ใครจะกล้า!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังเข้ามาจากทางประตู ทำให้ทุกคนในห้องหันหน้าไปดูอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อมองไปพวกเขาก็เห็นชายร่างสูงกำยำคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับถุงในมือที่มีรอยเลือดเปื้อนอยู่เต็มไปหมด
ชายร่างสูงกำยำคนนั้นเดินเข้ามาหาเย่เชียนแล้วโค้งตัวอย่างเคารพและทักทายอย่างหนักแน่นว่า “สวัสดีท่านประธานเย่!”
เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “พี่หลัวจ้าน… พี่มาที่นี่ได้ไง ?”
หลัวจ้านเหลือบมองไปที่เหล่าผู้บริหารที่กำลังนั่งฟังและจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันได้ยินมาว่ามีคนกล้าที่จะทรยศและท้าทายอำนาจ ฉันก็เลยกลับมาจัดการสักหน่อย”
ชื่อเสียงของหลัวจ้านนั้นโด่งดังไปทั่วเมืองหนานจิง เพราะเขานั้นเป็นมือขวาของเฉินฟู่เฉิงผู้ที่มีฉายาว่า ผู้บัญชาการแห่งสงคราม และเคยสังหารผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อหลัวจ้านปรากฎตัวมันก็ช่วยไม่ผู้บริหารเหล่านี้จะแสดงออกถึงความหวาดกลัว พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าหลัวจ้านคนนี้เป็นดั่งดาบที่แหลมคมของเฉินฟู่เฉิง ทั้งในการดำเนินการตามกฎหมายและการดำเนินการทางใต้ดิน รวมไปถึงสิ่งต่าง ๆ ทางอาชญากรรม และหลัวจ้านผู้นี้ก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลง ตราบใดที่คนคนนั้นทรยศแล้วล่ะก็วีธีการเดียวเลยก็คือฆ่า!
“ประธาน… ฉันขอพูดอะไรสักหน่อยจะได้มั้ย ?” หลัวจ้านมองไปที่เย่เชียนและถามด้วยความเคารพ
“แน่นอน… พูดได้เลย!” เย่เชียนตอบอย่างสบาย ๆ ที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นก็รู้สึกชอบใจหลัวจ้านคนนี้อยู่เช่นกัน เขาคิดว่าหลัวจ้านคนนี้คงจะเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเฉินฟู่เฉิงเลยก็ว่าได้
หลัวจ้านก็หยุดไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันกลับมาและพูดว่า “เหตุผลที่ฉันกลับมาในวันนี้มีอยู่สองอย่าง… อย่างแรกเลยก็คือ ฉันแค่อยากจะชี้แจงและบอกความจริงกับพวกคุณ เพราะพวกคุณอาจจะคิดว่าฉันถูกประธานเย่บังคับให้ต้องวางมือไป… ฉันเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ก็เลยอยากจะมาบอกพวกคุณทุกคนว่าประธานเย่ไม่ได้บังคับและไล่ฉันออกหรอก มันกลับกันต่างหาก เพราะจริง ๆ แล้วประธานเย่ต้องการที่จะรั้งฉันเอาไว้มาตลอด มีแต่ฉันเองนี่แหละที่ยืนกรานอยากจะวางมือไป ซึ่งประธานเย่ก็เคารพในการตัดสินใจของฉันอย่างไม่เต็มใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยกดดันหรือบังคับฉันเลยสักครั้ง!”
เหล่าบรรดาผู้บริหารทั้งหลายต่างก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาแต่ละคนนั้นเคยมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวมาก่อน เพราะเอาจริง ๆ มันก็เป็นความคิดที่มีความเป็นไปได้มากว่าเมื่อผู้บริหารคนใหม่อย่างเย่เชียนก้าวเข้ามาบริหารจัดการธุรกิจก็ต้องกำจัดคนเก่า ๆ ออกไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหลัวจ้านนั้นก็เคยเป็นถึงมือขวาของเฉินฟู่เฉิง และเย่เชียนอาจจะไม่ไว้วางใจในตัวหลัวจ้านก็เลยกำจัดเขาออกไปให้พ้นทาง แต่ทว่าเวลานี้หลัวจ้านนั้นได้กลับมาชี้แจงตนเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบเป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วว่าเขานั้นเป็นคนที่ตัดสินใจวางมือไปเอง
เมื่อพูดเหตุผลอย่างแรกจบ หลัวจ้านก็มองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “และอย่างที่สอง… ฉันได้ข่าวว่ามีคนทรยศพวกเราโดยการขายธุรกิจของเราให้กับพวกศัตรูอย่างซูเจี้ยนจุนและจู้ซาน! การทรยศต่อเพื่อนพ้องนั้นเป็นสิ่งที่คนอย่างฉันรับไม่ได้อย่างที่สุด คนพวกนี้มันเห็นแก่ตัวแถมยังทำลายชื่อเสียงและผลประโยชน์ของบริษัทอีก ทั้งท่านประธานเฉินและพวกเราอีกหลายคนในห้องนี้ต่างก็พยายามต่อสู้กันมาอย่างลำบากกว่าที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนในวันนี้ได้ ฉันคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ยอมเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เด็ดขาด! และคนทรยศอย่างกู๋หมิงเซียงก็ต้องไปรับผลกรรมที่เขาก่อเอาไว้อย่างสาสม!”
หลัวจ้านไม่พูดเปล่า เขากระแทกถุงเปื้อนเลือดที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง และในนั้นมันคือ… หัวของกู๋หมิงเซียง!!!
คำถามของเย่เชียนได้รับคำตอบแล้วว่าใครกันที่เป็นคนลงมือฆ่ากู๋หมิงเซียงเมื่อคืนนี้ ขณะเดียวกันเหล่าผู้บริหารก็พากันตื่นตระหนกและเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที หัวของกู๋หมิงเซียงที่อาบไปด้วยเลือดนั้นทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนในท้องและแทบจะอาเจียนออกมา
“นี่คือจุดจบเดียวของคนที่คิดทรยศ! ถึงฉันจะพูดว่าฉันวางมือไปก็จริง แต่ถ้าฉันได้ยินข่าวแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ขอให้พวกคุณรู้เอาไว้เลยว่าฉันจะกลับมาลงโทษใครก็ตามที่ยังกล้าทำแบบนี้อีก!” หลัวจ้านพูดต่ออย่างไม่แยแส
หลัวจ้านไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างออกมา พวกผู้บริหารทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงในอนาคตถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งยังคิดที่จะกล้าทำอะไรเช่นนั้นอีก ในเมื่อจุดจบของคนเห็นแก่ตัวและต้องการที่จะแสวงหาความรุ่งโรจน์มันจะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็คงต้องรักตัวกลัวตายและไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองอีก แม้ว่าจะมีเงินมากมายแค่ไหนมากองอยู่ตรงหน้าก็ตาม
เย่เชียนพยักหน้าน้อย ๆ ให้กับหลัวจ้านเป็นการของคุณ เพราะการปรากฎตัวของเขาในวันนี้มันช่วยให้การทำงานของเย่เชียนง่ายขึ้นมาก เย่เชียนเชื่อว่าหลังจากวันนี้คงไม่มีใครในห้องที่จะกล้าคิดทรยศกับเขาอีกต่อไป อีกทั้งสวัสดิการและเงินปันผลของพวกเขานั้นก็ไม่ได้แย่เลย
“พี่หลัวจ้าน… พี่นั่งลงก่อนสิ ขอบคุณที่มาในวันนี้นะครับ” เย่เชียนถึงขั้นดึงเก้าอี้ออกมาให้หลัวจ้านนั่งเป็นการส่วนตัวเลยทีเดียว
ทว่าหลัวจ้านกลับปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าประธานเย่ ฉันมาเพื่อที่จะบอกแค่นี้แหละ ในเมื่อฉันได้ทำทุกอย่างตามที่ฉันอยากทำแล้ว ฉันก็จะไปละ แต่ถ้าประธานเย่มีปัญหาอะไรล่ะก็ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะครับ หลัวจ้านคนนี้ยินดีรับใช้เสมอ!”