ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้อู่หยางก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ มันไม่ใช่ว่าเขาเลียนแบบพระเอกหนังต่อสู้ในภาพยนตร์ต่างๆที่จะเปิดตัวและลงมือก็ต่อเมื่อถึงเวลาช่วงสำคัญๆเท่านั้น และมันก็ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวแต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องลงมือด้วยตัวเองเพราะอูหยางคิดว่าตนนั้นมีลูกน้องมากมายหากเขาลงมือเองมันจะเป็นการลดศักดิ์ศรีของเขาลง และความจริงอู่หยางก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใดเพราะพ่อของเขาเป็นถึงรองผู้อำนวยการของเมืองเซี่ยงไฮ้ สุนัขทุกตัวก็ต้องเชื่อฟังเจ้านาย และไม่มีใครในเซี่ยงไฮ้ที่กล้าท้าทายเขาเลย
อู่หยางก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรส่วนเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดจะลงมือกับเขา หลังจากเย่เชียนจัดการพวกลูกกระจ๊อกไปหมดแล้วเย่เชียนก็นั่งลงและคว้าแก้วไวน์บนโต๊ะมาและดื่มอย่างช้าๆ เขามองดูพวกที่โอดครวญอยู่บนพื้นและพูดว่า “หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ..”
ในช่วงเวลานี้หลินโรวโร่วและซูย่าหยิงก็วิ่งเข้ามาและหลินโรวโร่วก็ถามด้วยความกังวลว่า “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เย่เชียนยิ้มเบาๆและรู้สึกดีเมื่อเห็นว่าหลินโรวโร่วห่วงใยเขาจากนั้นก็พูดว่า “ผมจะบอกความลับอะไรให้..ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ผมไม่เคยแพ้จากการต่อสู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว..”
หลินโรวโร่วจ้องมองเขาอย่างจริงจังดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวลของคนรัก
จ้าวเซี่ยที่อยู่ข้างๆดูน่าเวทนาอย่างมาก เขาไม่ได้เข้าร่วมกับคนอื่นๆเขาได้แค่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ด้วยความกลัวเขาจึงโดนลูกหลงเข้าโดยบังเอิญ เย่เชียนเตะคนคนนึงกระเด็นมาใส่เขาโดยบังเอิญทำให้เขากระเด็นไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงทำให้กระดูกหลายๆส่วนในร่างกายหัก จนตอนนี้เขาก็ยังคงร้องโอดครวญอย่างน่าสยดสยองอยู่บนพื้น
ซูย่าหยิงรีบวิ่งไปหาจ้าวเซี่ยและประคองเขาจากนั้นเธอก็จ้องไปที่เย่เชียนแต่ทว่าเธอกลับพบกับสายตาที่คมเข้มราวกับดาบซึ่งมันทำให้เธอสั่นเทาไปตามๆกันและเธอก็หันไปหาหลินโรวโร่วและพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “โรวโร่ว..แฟนที่เธอพามาเขาคนแบบไหนกันเนี่ย..เขาเป็นอันธพาล!”
หลินโรวโร่วก็เถียงไปว่า “อันธพาล? ฉันชอบคนอันธพาล อย่างน้อยๆเขาก็แข็งแกร่งกว่าแฟนของเธอที่ทำได้แค่คอยตามเลียแข้งเลียขา!..”
“นี่เธอ!..” ซูย่าหยิงไม่คิดว่าว่าหลินโรวโร่วจะตอบกลับมาเช่นนี้ในทันทีและเธอก็จ้องมองอย่างว่างเปล่าไม่สามารถทำอะไรได้
หลินโรวโร่วพูดแทงใจดำซ้ำเติมไปว่า “ซูย่าหยิงอย่าคิดว่าเพียงแค่เธอได้ทำงานราชการแล้วเธอกลายเป็นนกฟีนิกซ์ถึงยังไงลูกเจี๊ยบก็เป็นลูกเจี๊ยบอยู่วันยันค่ำมันจะไม่กลายเป็นนกฟีนิกซ์อย่างที่เธอหวังเอาไว้หรอก ความฝันของเธอนั้นดีแต่ความเป็นจริงมันก็โหดร้ายนะฝันที่จะเป็นนกฟีนิกซ์แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอเป็นได้แค่ไก่แกล้มเบียร์”
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าหลินโรวโร่วจะกล้าหาญเพียงนี้เขาได้แต่จ้องมองเธออย่างปลาบปลื้มเขายกนิ้วให้เธอและชื่นชมว่า “คุณยอดเยี่ยมจริงๆ”
หลินโรวโร่วรู้สึกยินดีและยิ้มแย้มจากนั้นเธอก็โน้มตัวเองเข้าสู่อ้อมกอดของเย่เชียน
———————
หวังหูผู้ที่ตะโกนเมื่อก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มีอิทธิพลระดับประเทศแต่ถึงยังไงเขาก็มีชื่อเสียงในย่านนี้ น้อยมากที่จะมีใครกล้าสร้างปัญหาในผับของเขา ส่วนมากเขามีหน้าที่จัดหาสาวสวยให้นายน้อยอู่หยางเพราะเขารู้ถึงอิทธิพลของอู่หยางเป็นอย่างดีถึงแม้ว่ามันจะมีบางสิ่งที่ผิดศีลธรรมแต่เมื่อทำธุรกิจแล้วมันเป็นเรื่องของเงินและไม่เกี่ยวกับความผิดชอบชั่วดี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหาเขาเพื่อแสดงความเคารพ หวังหูไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอปัญหาเมื่อเขาเข้าไปเขาก็พบว่ากลุ่มคนพวกนี้ถูกสยบด้วยชายผู้นั้นเพียงคนเดียวนั้นทำให้คนเหล่านั้นทั้งหมดสยบแถบเท้าลงกับพื้น
หวังหูได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าเมื่อเขาเห้นว่าคนเหล่านี้ที่นอนอยู่บนพื้นทั้งหมดเขาเป็นคนของอู่หยาง ในเซี่ยงไฮ้แถบจะไม่มีใครกล้าท้าทายกับคนของอู่หยางเลย และไม่ต้องพูดถึงถ้าหากนายน้อยอู่หยางต้องประสบปัญหาใดๆในพื้นที่ของตนแล้วล่ะก็ หวังหูก็กังวลเล็กน้อยว่าเขาจะทำให้อู่หยางไม่พอใจและจะทำให้ชื่อเสียงของเขาตกต่ำลงอีกด้วย
หวังหูพาลูกน้องของเขามาด้วยสองสามคน และเดินไปหาคนเหล่านั้นด้วยความโกรธและเขาเห็นว่านายน้อยอู่หยางยังคงนั่งอยู่อย่างสงบและในที่สุดในใจของหวังหูก็ผ่อนคลายเล็กน้อย
หวังหูหยักพน้าพร้อมพูดกับอู่หยางเทียนหมิงว่า “นายน้อยอู่หยาง!”
อู่หยางเทียนหมิงพยักหน้าเบาๆและตอบว่า “อ่า” และไม่ได้พูดอะไรต่อ
หวังหูเหลือบไปมองเย่เชี่ยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโมโหว่า “มันโหดร้ายมากนะ ไม่ทราบว่ามันเป็นผลงานของคุณหรือไม่ ผับบาร์แห่งนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของฉัน คุณอย่ามาล้ำเส้น!”
เย่เชี่ยนมองไปที่หวังหูและยิ้มพร้อมคิดในใจว่าพ่อหนุ่มคนนี้ที่อยู่ท่ามกลางพวกจอมปลอมนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เย่เชียนจึงพูดไปว่า “พวกนี้ใช้อิทธิพลของพวกเขาเพื่อกดขี่คนอื่นหากผมไม่สอนบทเรียนให้พวกเขา..ผมกลัวว่าพวกเขาจะทำตัวเช่นนี้ตลอดไป!..”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนการแสดงออกของอู่หยางเทียนหมิงก็เปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัวในทันที แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย หวังหูตกตะลึงอย่างมากเขาไม่ได้คาดหวังว่าลูกวัวตัวนี้จะไม่กลัวเสือ เขามีผู้หนุนหลังอยู่เบื้องหลังเขาแบบไหนกันทำไมเขาจึงไม่เกรงกลัวนายน้อยอู่หยางเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งหวังหูก็รู้สึกว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเขาไม่แน่ใจในสถานะของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นหวังหูจึงไม่รู้ว่าวิธีไหนที่จะให้ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ขุ่นเคืองต่อตัวของเขาเอง หวังหูได้แต่เงียบและสิ้นหวังจากนั้นก็หันไปหาอู่หยางเทียนหมิง
เมื่ออู่หยางเทียนหมิงเห็นว่าหวังหูไม่ทำอะไรเลยได้แต่ยืนยิ่งๆอู่หยางเลยพูดอย่างไม่แยแสว่า “ที่นี่คือที่ของคุณ ทำตามที่คุณเห็นควรเถอะ!” ในขณะที่คำพูดเป็นคำพูดที่ดูธรรมดาๆ แต่ว่าความหมายที่อยู่เบื้องหลังของมันก็ชัดเจนแจ่มแจ้งและเห็นได้ชัดว่าเขาให้เหตุผลกับหวังหูเพื่อให้หวังหูทำในสิ่งที่ตนต้องการ
หวังหูสาปแช่งอู่หยางอยู่ในใจและเห็นได้ชัดว่าเป็นทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดปัญหานี้ด้วยกันทั้งหมด ตอนนี้หลังจากที่อู่หยางเสียหน้าเขาก็จะหนีปัญหานี้ไปด้วยการใช้ตนในการแก้ไข้ปัญหานี้แทน หวังหูไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมาได้แต่คิดในใจ เขาจึงมองและเย่เชียนอีกครั้งและพูดว่า “พี่ชายเราควรจะแก้ไขมันยังไงดีอย่างน้อยที่สุดคุณก็ควรให้คำอธิบายแก่ฉันหน่อย มิเช่นนั้นมันจะยากสำหรับฉันที่จะเคลียร์”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดอย่างเป็นกันเองว่า “ไอ้เสือเอ๋ย ตอนนี้นายกลายเป็นคุณยายแก่ๆที่ชอบบ่นไปแล้วเหรอ เป็นใหญ่เป็นโตแล้วเหรอเนี่ย?”
หวังหูมองเย่เซียนด้วยความตกตะลึงอย่างมาก เขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะพูดประโยคเช่นนี้ จากคำคำนั้นเขาฟังดูคุ้นเคยอย่างมากและเหมือนว่าเขาเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว เขาพยายามนึกคิดและตระหนักอย่างถี่ถ้วนแต่ก็นึกไม่ออกสักที จากนั้นหวังหูก็ถามว่า “คุณคือใคร”
“อะไร? นายจำฉันไม่ได้เหรอ ตอนที่นายถูกลุมทำร้าย ใครเป็นคนช่วยนายไว้ล่ะ..” เย่เชียนตอบกลับพร้อมร้อยยิ้มที่เป็นกันเอง
คำพูดนั้นมันกวนใจเขาอย่างถาโถมจากนั้นหวังหูก็นึกคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า ‘ไอ้เสือ?’ จากนั้นเขาก็เพ่งสายตาจ้องมองหน้าของเย่เชียนอย่างถี่ถ้วน ครู่หนึ่งเขารู้สึกเหมือนเดจาวู ทันใดนั้นเองร่างของชายคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขาตะโกออกมาอย่างดังว่า “ละ..ละ..ลูกพี่ คุณคือลูกพี่?”
.
.
.
.
.
.
.