น้ำเสียงอันทรงพลังนั้นดังมาจากผู้ว่าการมณฑลเจียงซูนั่นเอง เขามีนามว่า เหมิงฉางเต๋อ ซึ่งที่เขามาถึงที่นี่ด้วยตัวเองในวันนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รับข่าวจากนายกเทศมนตรี อู๋จื้อปิง ว่าสถานีตำรวจในสังกัดของกรมตำรวจส่วนกลางกำลังถูกปิดล้อมอยู่โดยทหารทั้งกองทัพ แน่นอนว่าเมื่อเหมิงฉางเต๋อได้ยินเช่นนี้ มันก็ทำให้เขาตกใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ พวกทหารมักจะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกตำรวจ และการกระทำนี้ของพวกทหารมันเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของพวกเขามาก ๆ ซึ่งเหมิงฉางเต๋อก็เดาได้เพียงอย่างเดียวว่าพวกตำรวจคงจะไปมีเรื่องกับผู้ทรงอิทธิพลจากกองทัพอย่างแน่นอน
เหมิงฉางเต๋อได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ใคร ๆ ก็รู้ว่าทหารกับตำรวจนั้นทำงานแยกกันอย่างชัดเจน และพวกเขาจะไม่มีการก้าวก่ายซึ่งกันและกันอย่างแน่นอนถ้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกของทหาร เพราะพวกเขานั้นมีกฎเหล็กและข้อบังคับมากมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากเป็นเรื่องของประชาชนที่กระทำความผิด มันก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องจัดการไปตามสมควร ทว่าในครั้งนี้พวกทหารกลับยกพลเข้าไปล้อมสถานีตำรวจเอาไว้แบบนี้ นั่นก็หมายความว่าสถานการณ์มันคงจะบานปลายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และเขาเองก็มิอาจทราบได้ แต่ที่เหมิงฉางเต๋อแน่ใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็คือ เขาจะต้องรีบยุติเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
เมื่อใคร่ครวญทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เหมิงฉางเต๋อก็รีบพาเหล่าเลขาและบอดี้การ์ดของเขาไปยังสถานีตำรวจทันที ซึ่งพอเขาไปถึง เขาก็เห็นอู๋จื้อปิงยืนอยู่ที่หน้าสถานีแล้วเช่นกัน มันเป็นไปตามที่เขาได้ยินข่าวมาจริง ๆ ว่าทหารทั้งกองร้อยอาวุธครบมือกำลังปิดล้อมที่นี่เอาไว้อยู่ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเพียงแค่ยืนกันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ก่อความรุนแรงอะไรก็ตาม แต่ใครจะไปรู้ว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น ?
ภาพที่ปรากฏตรงหน้า มันก็ยิ่งทำให้เหมิงฉางเต๋อเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าใครกันนะที่เป็นตัวต้นเหตุของความวุ่นวายของเรื่องทั้งหมดนี้ ?
เหมิงฉางเต๋อและผู้ติดตามของเขาเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ทั้งเหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็รู้จักเหมิงฉางเต๋อเป็นอย่างดี จึงไม่มีใครกล้าหยุดเขาไม่ให้เข้าไปข้างในได้ แม้ว่าจะมีบางคนชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
เมื่อเข้าไปข้างในได้แล้ว เหมิงฉางเต๋อก็รีบเดินตรงเข้าไปหาผู้กำกับการสถานีตำรวจและสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดทันที เขาจึงได้รู้เป็นครั้งแรกว่าคนที่ถูกจับกุมมานั้นคือ เย่เชียน ยักษ์ใหญ่เลือดใหม่ของเมืองหนานจิง! ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการที่เย่เชียนถูกจับตัวมานั้นไปเกี่ยวอะไรกับทหารทั้งกองทัพ ? แต่ถ้าเขาสามารถทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างนี้ขึ้นได้ นั่นก็แสดงว่าเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้กำกับการแล้ว เหมิงฉางเต๋อก็เดินต่อไปยังห้องสอบสวนทันที แต่เมื่อเขาไปถึงที่หน้าประตู เขาก็บังเอิญได้ยินคำพูดของเย่เชียนเข้าพอดี ซึ่งคำพูดนั้นมันแสดงให้เห็นถึงความท้าทายแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมิงฉางเต๋อคาดว่าจะได้ยินสักเท่าไหร่ เพราะต่อให้เจียงเจิ้งยี่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้แย่สักแค่ไหนก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลางอยู่ดี
แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่นักธุรกิจเลือดใหม่ไฟแรง ทว่าการที่เขามีคนในกองทัพมาคอยสนับสนุนอยู่ด้วยเช่นนี้ เหมิงฉางเต๋อเองก็ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความร้าวฉานให้ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหมิงฉางเต๋อก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องสอบสวน…
“ท่านผู้ว่าเหมิง! ท่านนายกอู๋!” เจียงเจิ้งยี่ร้องขึ้นเมื่อเห็นเหมิงฉางเต๋อและกลุ่มผู้ติดตามเดินเข้ามา
ทว่าเย่เชียนนั้นเพียงแค่เหลือบมองพวกเขาเท่านั้น เขาพยักหน้าเบา ๆ เป็นการทักทายแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกไป
“คุณคือเย่เชียนใช่มั้ย ?” เหมิงฉางเต๋อถามด้วยรอยยิ้ม “นักธุรกิจเลือดใหม่ไฟแรงแห่งเมืองหนานจิง! ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ ดูท่า… อนาคตอันสดใสนั้นคงกำลังรอคุณอยู่ไม่ไกลเลยสิหน่า”
“ท่านผู้ว่าเหมิงพูดชมผมเกินไปแล้ว ผมมันก็แค่โชคดีเท่านั้นเองแหละครับ” เย่เชียนพูดอย่างถ่อมตน
“คุณไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นหรอกคุณเย่ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ฉันว่าเฉินฟู่เฉิงคงจะไม่ไว้วางใจมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณเป็นผู้ดูแลต่อหรอกจริงไหม ?” เหมิงฉางเต๋อพูดกับเย่เชียน จากนั้นก็หันหน้าไปหาหวงฟู่เส้าเจี๋ย “ส่วนคุณ… คุณคือหวงฟู่เส้าเจี๋ยใช่มั้ย ? คุณเป็นคนพาพวกทหารมาที่นี่งั้นเหรอ ?”
“ใช่แล้วครับ! ผมได้ข่าวว่าอาจารย์ของผมน่ะถูกจับกุมตัวมาไว้ที่นี่ ผมก็เลยต้องมา! แล้วดูสิ ผมมาถึงก็เห็นหน้าเขามีแต่รอยแผลฟกช้ำเต็มไปหมดแล้ว นี่มันเป็นการสอบปากคำประเภทไหนกัน ? นี่ถ้าผมมาไม่ทัน ป่านนี้อาจารย์ของผมจะไม่เจ็บตัวไปมากกว่านี้เหรอ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดพลางหันไปส่งสายตาอาฆาตให้กับเจียงเจิ้งยี่ ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นเบาลงไม่เกรี้ยวกราดมากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
“อาจารย์งั้นเหรอ ?” เหมิงฉางเต๋อถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้ยินหวงฟู่เส้าเจี๋ยวยกย่องให้เย่เชียนนั้นเป็นถึงอาจารย์ของเขา แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่สำคัญมากเท่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายผู้ต้องสงสัยหรอก
“ผู้อำนวยการเจียง! ผมจะให้โอกาสคุณอธิบายตัวเองมาเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่คุณกล้าทำเรื่องแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอ ? คำว่ากฎหมายและจรรยาบรรณมันไม่มีความหมายสำหรับคุณแล้วอย่างงั้นใช่มั้ย ?” เหมิงฉางเต๋อตะคอกใส่หน้าของเจียงเจิ้งยี่อย่างดุเดือด
“คือ… ผะ… ผม…” เจียงเจิ้งยี่ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก เขาไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรได้เลย
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูด คุณก็รีบไปขอโทษคุณเย่ซะ!” เหมิงฉางเต๋อตะคอก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับท่านผู้ว่าเหมิง… ผมเข้าใจว่าผู้อำนวยการเจียงเขาก็แค่ต้องทำตามหน้าที่ก็เท่านั้น” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความน่าสงสารในคราวเดียวกัน ทว่าสายตาของเขากับสื่อความหมายในทางตรงกันข้าม เพราะสายตาของเขานั้นกำลังจ้องไปที่เจียงเจิ้งยี่อย่างดุดัน เพราะอันที่จริงแล้วนั้นเขาก็ยังคงรอฟังคำขอโทษจากปากของเจียงเจิ้งยี่อยู่
ทว่าในสายตาของเหมิงฉางเต๋อเมื่อได้ฟังคำพูดนั้นของเย่เชียนแล้ว มันก็ทำให้ทัศนคติที่เขามีต่อเย่เชียนเปลี่ยนไป อันที่จริงเด็กคนนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดก็ได้ เพราะเขาดูเป็นเด็กหนุ่มที่ถ่อมตัวและสุภาพ ไม่เพียงเท่านั้นแต่เขายังใจกว้างและมองโลกในแง่บวกอีกต่างหาก ทั้งที่โดยทั่วไปพวกนักธุรกิจส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนนั้นจะอยู่ในจำพวกคนส่วนน้อย ซึ่งมันก็ทำให้เขานั้นอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาได้เย่เชียนมาช่วยงานเขาล่ะก็ มันก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ประธานเย่! เรื่องมั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง… ฉันต้องขอโทษด้วย!” ในที่สุดเจียงเจิ้งยี่ก็จำใจขอโทษเย่เชียน เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดผิดมหันต์ที่เข้ามามีเรื่องพัวพันกับเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้
“ไม่เป็นไรหรอกครับผู้อำนวยการเจียง… อันที่จริงผมเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ” เย่เชียนพูด
ทว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นทำให้เจียงเจิ้งยี่กลับรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก ตกลงเด็กคนนี้มันเป็นคนยังไงกันแน่นะ ? สิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อกี๊มันเป็นความรู้สึกของเขาจริง ๆ หรือว่าเขานั้นกำลังแกล้งเล่นละครตบตาเหมิงฉางเต๋ออยู่ ?
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นทำให้เหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงต่างก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดมันก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวต่าง ๆ จะจบลงด้วยดีสินะ ที่จริงแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ในตอนแรก
“ว่าแต่คุณเย่… ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างมันก็พอที่จะเคลียร์กันได้ด้วยดีแล้ว ฉันรบกวนให้คุณบอกให้พวกทหารที่รออยู่ข้างนอกนั่นกลับไปกันก่อนจะได้มั้ย ? ขืนอยู่ต่อนานกว่านี้พวกประชาชนจะแตกตื่นกันหมดนา…” เหมิงฉางเต๋อถาม
“จริงด้วยสิ! นี่ถ้าท่านไม่พูด ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย” เย่เชียนพูด จากนั้นเขาก็หันไปสั่งหวงฟู่เส้าเจี๋ย “เส้าเจี๋ย! นายพาคนของนายกลับไปกันก่อนเถอะ นี่ไปพาคนมาทั้งกองร้อยแบบนี้ทั้งที่ฉันบอกแล้วว่าให้มาคนเดียว กลับไปเราคงต้องคุยกันซักหน่อยแล้ว!”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยถึงกับตกตะลึง เขาคิดว่าการที่เขาพาทหารมาเป็นกำลังเสริมเยอะขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ เขาก็คงจะได้รับคำชมบ้างแหละหน่า แต่มันกลับตาลปัตร! นี่กลับไปเขาต้องถูกอาจารย์ด่าเพราะเรื่องนี้อีกเหรือเนี่ย ? ให้ตายสิ! เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการเป็นลูกศิษย์ของเย่เชียนมันจะซับซ้อนและยากเย็นขนาดนี้
แต่เมื่อหวงฟู่เส้าเจี๋ยเห็นแววตาของเย่เชียนแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปโดยไม่คิดนั้นมันไม่เข้าท่าจริง ๆ เขาทำตัวอย่างกับพวกนักเลงมาเฟียที่ยกพวกมาตีตำรวจยังไงยังงั้นแหละ
“อาจารย์แน่ใจนะว่าอาจารย์จะโอเคถ้าผมออกไปน่ะ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยยังคงถามให้แน่ชัดด้วยท่าทางกังวลอย่างมาก
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกหน่า… ท่านผู้ว่าการเหมิงและท่านนายกอู๋ก็อยู่ที่นี่ด้วย ฉันจะไปมีอันตรายอะไรได้อีกล่ะ ?” เย่เชียนพูด
“ใช่! คุณกลับไปเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก เดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบให้เอง” เหมิงฉางเต๋อพูด
“ในเมื่อท่านผู้ว่าเหมิงพูดมาขนาดนั้นแล้ว ผมก็หายห่วง งั้นฝากอาจารย์ไว้กับท่านด้วยนะครับ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเย่เชียนต่อ “อาจารย์… ถ้างั้นผมขอตัวก่อน ถ้าอาจารย์มีอะไรให้ผมช่วย อย่าลืมโทรหาผมด่วนเลยนะ”
“ไป ๆ รีบไปซะ!” เย่เชียนไล่พลางยื่นเท้าไปเตะก้นของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเบา ๆ
ในเมื่ออาจารย์ไล่เขาขนาดนี้แล้ว หวงฟู่เส้าเจี๋ยจึงรีบวิ่งออกไปจากห้องด้วยความเต็มใจ…
ฉากนี้ทำให้เหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนนั้นรู้ดีว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยเป็นใครในเมืองหนานจิงแห่งนี้ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถควบคุมเขาได้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าเย่เชียนคนนี้จะสามารถสยบความพยศของหวงฟู่เส้าเจี๋ยได้จนอยู่หมัด ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่จริง ๆ
เมื่อเห็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยออกไปแล้ว เหมิงฉางเต๋อก็ยิ้มและพูดว่า “คุณเย่เราไปคุยกันที่อื่นดีมั้ย ? ฉันว่าที่นี่มันร้อนไปหน่อย”
“ได้ครับท่านผู้ว่าเหมิง… ขอรบกวนด้วยครับ” เย่เชียนพูดอย่างนอบน้อม “เอ่อ… จริง ๆ แล้วท่านอย่างเรียกผมว่าคุณเย่เลยครับ เด็กอย่างผมรู้สึกไม่ดีเลย ท่านเรียกผมว่าเย่เชียนดีกว่าครับ”
เหมิงฉางเต๋อยิ้มกว้างและพูดว่า “ฉันเข้าใจ… เพราะฉันเองก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันเวลามีคนเรียกฉันแบบนี้น่ะ ฮ่า ๆ ๆ ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องพูดจากับแบบเป็นทางการแล้วก็ได้ เพราะสมัยที่เฉินฟู่เฉิงยังมีชีวิตอยู่น่ะ พวกเราก็สนิทกันพอสมควรเลย งั้นนายเรียกฉันว่าลุงเหมิงละกันนะ ตกลงไหมหลานเย่!”
“ช่างเป็นเกียรติของเด็กอย่างผมมากเลยครับ!” เย่เชียนพูดด้วยความเคารพ
เจียงเจิ้งยี่ได้แต่ยืนมองทั้งสองคนคุยกันตาปริบ ๆ และอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นี่แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำมันก็ทำให้ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ถึงขนาดนี้เลยเชียว ?
ส่วนทางด้านของอู๋จื้อปิงนั้นก็กำลังมองเหมิงฉางเต๋อด้วยแววตาชื่นชม เขาคิดว่าเหมิงฉางเต๋อนั้นยอดเยี่ยมมาก เพราะเขานั้นเพียงแค่ใช้วาจาศิลป์ในการแก้ไขปัญหาที่ใหญ่โตในครั้งนี้ให้จบลงด้วยดีได้ภายในเวลาอันสั้น ทั้งยังสามารถทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อเย่เชียนคนนี้มาเห็นพ้องต้องกันกับเขาเสียด้วย เขาจะต้องเรียนรู้และจดจำทักษะดี ๆ เช่นนี้เอาไว้ใช้บ้างแล้ว
แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ย้ายไปคุยกันในห้องทำงานของผู้อำนวยการเจียงเจิ้งยี่…
เหมิงฉางเต๋อยั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบไปมองเจียงเจิ้งยี่และพูดว่า “ผู้อำนวยการเจียง… ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว คุณไปทำงานส่วนอื่นต่อเถอะ ขอฉันกับนายกอู๋คุยกับเย่เชียนกันอย่างเป็นส่วนตัวสักพัก อ้อ… อย่าลืมบอกให้คนชงชาเข้ามาเสิร์ฟให้พวกฉันด้วยล่ะ คุณต้องดูแลแขกที่มาเยี่ยมเยือนให้ดีกว่านี้หน่อยนะ ปล่อยให้แขกคอแห้งแบบนี้ได้ไง ?”
วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของเขากันนะ ? เขาตั้งใจจับกุมเย่เชียนมาเพื่อสอบปากคำแท้ ๆ แต่ไหงตอนนี้เย่เชียนกลับกลายมาเป็นแขกของสถานีตำรวจได้ล่ะ ? เจี้ยงเจิ้งยี่ได้แต่คิดอย่าละเหี่ยใจอย่างลับ ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องบ้า ๆ พวกนี้หรอก
“หลานเย่… ทำตัวตามสบายเถอะ ถือซะว่าเรามานั่งคุยกันเล่น ๆ ก็แล้วกัน” เหมิงฉางเต๋อพูด “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันจะยังไม่ตัดสินหรอกนะว่าใครผิดใครถูก เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”
“ลุงเหมิงว่าไง ผมก็ว่าตามนั้นเลยครับ” เย่เชียนพูด
“ฮ่า ๆ ๆ งั้นก็ตามนั้น! ว่าแต่ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นไม่เสถียรเลยใช่มั้ย ราคาหุ้นของบริษัทของหลานเย่ก็ตกฮวบลงอย่างมากเลยด้วย ทำให้ผู้ถือหุ้นจำนวนมากขาดทุนไปตาม ๆ กัน แล้วหลานเย่คิดว่าจะแก้ไขมันยังไงหรือ ?” เหมิงฉางเต๋อพูด “ยกโทษให้ฉันด้วยในเรื่องนี้ ฉันน่ะเห็นใจประชาชนจริง ๆ พวกเขาต้องทำงานหนักมากเพื่อเก็บเงินทีละเล็กทีละน้อยเพื่อลงทุน แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่มีอะไรเหลือเลยเพียงชั่วข้ามคืน มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก และผลที่ตามมามันอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงของสังคมทางการเงิน”